บัญชามังกรเดือด - บทที่ 969 อำลา
บัญชามังกรเดือด บทที่ 969 อำลา
เมื่อเห็นฉินเทียนยืนอยู่ที่หัวเรือโดยไม่พูดอะไรสักคำ หูเถิงกัดฟันและเอ่ยเสียงแผ่วเบา “คุณอย่าได้คิดมากเลย”
“คุณหนูใหญ่ตอบรับสัญญาแต่งงาน พวกเราต่างก็ไม่อยากเห็น แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เพราะคุณหรอก”
“คุณลองคิดดู ถ้าหากคุณไม่ลงมือ เจ้านกแร้งนั้นไม่เพียงแต่จะสังหารสือโถว แต่ท้ายที่สุด พวกเราตงไห่ก็ยังต้องยอมรับความพ่ายแพ้และทำสัญญาแต่งงานอยู่ดี”
“แม้ว่าคุณจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงตอนจบ แต่ทว่าก็สังหารเจ้านกแร้ง สังหารความน่าเกรงขามอันยิ่งใหญ่ของเซี่ยหมิงและทางเหนือ พวกเราตงไห่ต้องขอบคุณคุณเสียด้วยซ้ำ”
“ฉันเชื่อ มีบทเรียนเช่นนี้แล้ว หากคุณหนูใหญ่แต่งงานไป เซี่ยหมิงไม่กล้ารังแกหล่อนอย่างแน่นอน”
“อีกอย่าง ตอนนี้ก็เป็นเพียงแค่สัญญาแต่งงาน ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาจะแต่งกันเมื่อไร”
“ตราบใดที่คุณหนูใหญ่ยืดเยื้อเวลา ทางเหนือก็ไม่สามารถทำอะไรได้”
ไป๋หลิงเอ่ยเสียงแผ่วเบา “อันนี้ก็จริง”
“ดังนั้นพี่เทียน คุณอย่าได้ตำหนิตัวเองเลย”
ได้ยินคำพูดของพวกเขา อารมณ์ของฉินเทียนก็ดีขึ้นเล็กน้อย
เขาเอ่ยเสียงแผ่วเบา “เพื่อฉัน คุณหนูใหญ่ยอมตกลงตอบรับสัญญาขายร่างกายของตัวเอง สำหรับเรื่องนี้ ฉันฉินเทียนจะต้องจัดการให้ถึงที่สุด”
“ในอนาคต หากเธอต้องการอะไร คนตระกูลฉินจะยอมบุกน้ำลุยไฟ ต่อให้ต้องตายนับหมื่นครั้งก็จะไม่ปฏิเสธ”
หูเถิงแสดงสีหน้าประทับใจ เอ่ยด้วยความตื่นเต้น “พี่เทียน คุณเป็นผู้ชายที่มีความชอบธรรมจริงๆ!”
“ฉันหูเถิง ตลอดทั้งชีวิตไม่เคยเคารพผู้ใด ราชาจั่วเจียนของพวกเรานั้นนับเป็นหนึ่ง สือโถวครึ่งหนึ่ง”
“ตอนนี้ ฉันเคารพพี่เทียนเป็นอย่างยิ่ง!”
ฉินเทียนหัวเราะ เขารู้สึกว่าคนขับผู้ช่วยของราชาจั่วเจียน แม้ว่าจะเป็นคนกะล่อนปลิ้นปล้อนและจิตใจคับแคบ แต่โดยรวมแล้วก็เป็นคนดีมาก
“ขอบใจมาก”
“หลังจากนี้หากไปยังทางใต้ ต้องการอะไรก็สามารถมาหาฉันได้”
“จริงหรือ?” นัยน์ตาของหูเถิงส่องประกายอย่างตื่นเต้น เขานั้นรู้ดี เขาเป็นเพียงมนุษย์ต่ำต้อย
เมื่อเทียบกับฉินเทียนแล้ว ฉินเทียนก็เหมือนนกอินทรีที่โบยบินทะยานสู่สวรรค์ทั้งเก้า เขาเป็นเพียงนกกระจอกที่ร้องจิ๊บๆอยู่ภายในรังหญ้า
ตอนนี้ เขาสามารถเห็นได้ ฉินเทียนนั้นไม่ได้หยามเหยียดเขาเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังนับว่าเขาเป็นเพื่อนอย่างแท้จริง
ความรู้สึกประทับใจเช่นนี้ ไม่อาจหาสิ่งใดมาเทียบเทียมได้
เขาจงใจขับเรืออย่างเชื่องช้า ราวกับว่ามีเรื่องอยู่ภายในใจ สายตาคู่หนึ่งมองย้อนกลับไปอยู่เสมอ
เช่นเดียวกับเขา ไป๋หลิงและคนอื่นต่างก็มองไปรอบด้านอยู่เสมอ พวกเขานั้นไม่ได้เพ่งเล็งไปยังสถานที่เดียวกัน แต่ทุกคนต่างรู้ กำลังรอคอยการปรากฏตัวของใครคนหนึ่ง
เวลาล่วงเลยไปเนิ่นนาน ท้องฟ้าพลันแปรเปลี่ยนเป็นสีมืดดำ
น้ำทะเลสีดำ ราวกับว่าสัตว์ร้ายกำลังจะตื่นขึ้น น้ำทะเลโหมซัดสาด
สายตาของทุกคนปรากฏความไม่สบายใจ
หรือว่าจะเกิดเรื่องเหนือความคาดหมายขึ้นงั้นหรือ?
“มาแล้ว! ดูเร็ว! คุณหนูใหญ่มาแล้ว!”
ฉับพลัน หูเถิงร้องตะโกนอย่างตื่นเต้นและชี้นิ้วไปในสถานที่ห่างไกลออกไป
เห็นเพียงว่าท่ามกลางคลื่นที่ปั่นป่วน วาฬหัวทุยตัวหนึ่งกระโดดขึ้นสูง บริเวณหลังของมันเกิดเสียงแผ่วเบาดังขึ้นอย่างน่าประทับใจ
คือหวังตัวยวี่!
เธอขี่วาฬมาแล้ว!
วินาทีนั้นฉินเทียนพลันพังทลายลงทันที ความรู้สึกภายในหัวใจของเขานั้นซับซ้อน ราวกับคลื่นทะเลที่กำลังโหมกระหน่ำอยู่ตรงหน้า
ในไม่ช้า วาฬหัวทุยก็เข้าใกล้บริเวณเรือมากยิ่งขึ้น หวังตัวยวี่สวมชุดสีดำ ใบหน้าของเธอเยือกเย็นและสงบ
เธอจ้องมองฉินเทียนด้วยความเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเอ่ยเสียงแผ่วเบา “มานี่เถอะ ฉันจะไปส่งคุณ”
ฉินเทียนเงียบงัน เขายืนขึ้นและกระโดดออกไปเหมือนตอนนั้นที่ได้พบกันเป็นครั้งแรก เหยียบคลื่น กระโดดขึ้นไปบนหลังวาฬหัวทุยและยืนอยู่ด้านหลังของหวังตัวยวี่
“ยืนดีแล้วล่ะ” หวังตัวยวี่เอ่ยเสียงเบาตามสัญชาตญาณ เธอก้มลงและตบบริเวณร่างกายของวาฬหัวทุยอย่างเบามือ
วาฬหัวทุยสะบัดหางและกวาดเกลียวคลื่นขนาดใหญ่
ร่างกายเหมือนเรือดำน้ำพุ่งออกไปในระยะไกล ในไม่ช้าก็หายไปจากสายตาของไป๋หลิงและคนอื่น
“พี่เทียนจะไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” ไป๋หลิงกล่าวอย่างเป็นกังวล
หูเถิงเอ่ยเสียงแผ่วเบา “วางใจเถอะ คุณหนูใหญ่ไม่เคยปฏิบัติต่อใครอย่างจริงใจเช่นนี้มาก่อน”
“เธอยอมแลกความสุขของตัวเองกับส่วนผสมของยาเพียงชนิดเดียว จะทำร้ายพี่เทียนได้อย่างไร”
“เธอมาเพื่ออำลาพี่เทียน”
“พวกเราไปรอพวกเขาที่ฝั่งตรงข้ามเถอะ”
เขาเหยียบคันเร่ง เรือเร็วแล่นฝ่าลมและเกลียวคลื่น เพิ่มความเร็วและพุ่งไปยังด้านหน้า
….
ภายใต้ความเงียบสงัด ฉินเทียนยืนอยู่ด้านหลังของหวังตัวยวี่ เห็นว่าร่างกายของเธอนั้นราวกับว่าผอมลงอย่างกะทันหัน ผมยาวปลิวไสวอยู่ด้านหน้าตามแรงของลมทะเล ทั้งสองคนต่างก็นิ่งเงียบไม่มีใครพูดอะไร
เป็นเช่นนี้ ล่องลอยอย่างเงียบงันบนท้องทะเล
ระหว่างทางมีเมฆก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งลอยมา จากนั้นฝนก็เริ่มตก
ฉินเทียนมองเรือนร่างที่ผอมบางของหวังตัวยวี่ เขาเอ่ยอย่างอดไม่ได้ “คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
ก่อนหน้านี้ เขาและหวังตัวยวี่ขี่วาฬหัวทุย พวกเขาพบเจอวาฬเพชฌฆาตสามตัว จากนั้นเหตุการณ์น่ากลัวก็เกิดขึ้น
แม้ว่าหวังตัวยวี่นั้นจะไม่เป็นอะไร แต่ก็ยังคงมึนอยู่เล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม เพียงเธอได้รับการสนับสนุนจากพลังแห่งความสุข สีหน้าและท่าทางของเธอพลันเปล่งประกายสดใส
พลังแห่งความสุขนี้พังทลายลงเมื่อได้รับรู้ว่าฉินเทียนนั้นแต่งงานและมีลูกแล้ว และเขาเต็มใจยอมตายเพื่อช่วยผู้หญิงคนนั้นและลูกในท้องของเธอ
ตอนนั้นเธอแทบจะสลบไปในทันใด
ภายในระยะเวลาอันแสนสั้น อย่างไรก็ไม่อาจฟื้นฟูพละกำลังให้กลับมาได้หรอก อีกทั้งยังขี่วาฬท่ามกลางท้องทะเลและยังต้องเปียกปอนด้วยน้ำฝนที่หนาวยะเยือก ฉินเทียนกังวลว่าเธอนั้นจะไม่สามารถทนรับได้
“ไม่เป็นอะไร”
ใบหน้าของหวังตัวยวี่ซีดเผือดจนน่ากลัว แต่ทว่าเธอยังคงหันศีรษะกลับมาพร้อมรอยยิ้ม
“มีฝนแล้วเดี๋ยวก็จะมีสายรุ้ง ไม่ใช่หรือไง?”
ฉินเทียนพยักหน้าด้วยความเงียบงัน
….
หนึ่งชั่วโมงต่อมา ท้ายที่สุดวาฬหัวทุยก็เข้าใกล้ท่าเรือแล้ว ทอดสายตามองไปจากระยะไกล สามารถเห็นเรือสำราญและเรือเร็วจอดอยู่บริเวณที่ท่าเรือ
“ดูนั่นเร็ว สายรุ้ง!”
“มีสายรุ้งจริงด้วย!”
ฉับพลันหวังตัวยวี่ก็ชี้ไปยังระยะไกลและส่งเสียงร้องออกมาด้วยความดีใจ
ฉินเทียนก็เห็นเช่นกัน ระยะไกลท่ามกลางหมอกจาง สายรุ้งนั้นโอบล้อมทะเลราวกับว่ามันเป็นประตูแห่งสวรรค์
วาฬหัวทุยกระโดดข้ามสายรุ้ง
ในที่สุดก็ถึงเวลากล่าวอำลาแล้ว
ใบหน้าของหวังตัวยวี่สีหน้าเมื่อสักครู่ที่ได้เห็นสายรุ้งนั้นพลันหายไปอีกครั้ง
“อาจจะเป็นชะตาชีวิตของฉัน”
เธอยิ้มอย่างขื่นขมพลางหยิบกล่องไม้ประณีตให้กับฉินเทียน
“รับไป รีบนำกลับไปเถอะ ไปช่วยชีวิตคนรักและลูกที่แสนดีของคุณ”
“ครบกำหนดคลอดเมื่อไร จงจำไว้เมื่อถึงเวลานั้นจะต้องเลี้ยงน้ำจัณฑ์แก่ฉัน”
ฉินเทียนยิ้มและกล่าว “แน่นอน”
เมื่อรับกล่องไม้มา ราวกับว่ากล่องนั้นหนักมา
“ขอบคุณ” เขากล่าวด้วยความจริงใจ
หวังตัวยวี่ยิ้มและเอ่ย “ฉันเองก็ต้องขอบคุณคุณ ทำให้สายรุ้งปรากฏขึ้นภายในชีวิตของฉัน”
“ไว้เจอกันใหม่!”
เมื่อฉินเทียนขึ้นฝั่ง เธอโบกมือไปมา ยืนอยู่บนหลังวาฬ ในเวลาอันรวดเร็วก็หายลับไปท่ามกลางท้องทะเลกว้างใหญ่
“พี่เทียน พวกเราต้องไปแล้ว” ไป๋หลิงเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา
ฉินเทียนพยักหน้า จ้องมองท้องทะเลอันกว้างใหญ่เป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นเขาหันหลังกลับและจากไปในทันใด
….
ขณะเดียวกัน เกาะหวัง บนภูเขาสูงชันแห่งหนึ่ง
ชายคนหนึ่งรูปร่างค่อนข้างอ้วน สวมหมวกไม้ไผ่สาน ยืนอยู่บนก้อนหินใหญ่
เบื้องหน้าเขา ชายวัยรุ่นคนหนึ่งกำลังคุกเข่าอยู่
“เรื่องราวทั้งหมดจบลงเช่นนี้ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดี”
“มีเรื่องราวท้าทาย เช่นนั้นก็มีโอกาส ต่อจากนี้ไป นายรู้หรือไม่ว่าควรทำอย่างไร?”
ชายหนุ่มโค้งคำนับและพูดด้วยความเคารพ “ผมรู้ครับ”
“ขอบคุณอาจารย์สำหรับคำสั่งสอน”
ชายคนนั้นพยักหน้า จ้องมองท้องอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตสิ้นสุด ความทะเยอทะยานพลุ่งพล่านในดวงตาของเขา
“อาณาเขตของตงไห่ในสายตาของนายอาจจะยิ่งใหญ่มาก นั่นเป็นเพราะว่านายยังไม่เคยพบเจอโลกที่ยิ่งใหญ่กว่านี้”
“ถ้าหากสามารถควบคุมตงไห่ได้ นายก็จะมีรากฐานที่สามารถเจริญก้าวหน้าได้”
“เดินทางด้วยฐานะครูตนเองนั้นไม่ได้เปล่าประโยชน์”
“เอาล่ะ นายกลับไปเถอะ ฉันก็ต้องไปแล้ว”
ชายหนุ่มคนนั้นคือหวังหลี และชายอ้วนที่เป็นอาจารย์ของเขานั้นคือหัวหน้ามังกรซ่อนรูปทางเหนือ เฮยสุ่ย