บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 1 เฉินซี
บทที่ 1 เฉินซี
ความมืดแห่งยามราตรีเริ่มคืบคลานเข้ามาปกคลุมเมืองหมอกสน ในขณะที่ดวงตะวันคล้อยไปทางทิศตะวันตก
นับพันครั้งแล้วที่เฉินซีผลักประตูเปิดเข้าไปในร้านขายของสกุลจาง
ร้านขายของสกุลจางเป็นร้านค้าปลีกขนาดกลางที่ขายยันต์ซึ่งพวกเขาทำขึ้นเอง
สินค้าที่ขายได้มากที่สุด ได้แก่ ยันต์ระดับหนึ่งและระดับสอง ซึ่งเป็นรายได้สําคัญที่ทําให้ร้านค้าสกุลจางยังคงสามารถเลี้ยงตัวเองต่อไปได้แม้ยอดขายสินค้าอื่นไม่สู้ดีและส่วนต่างกำไรที่แม้จะไม่มากมายนัก
“กระดาษยันต์ พู่กันสําหรับเขียนยันต์ และหมึก มันเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างยันต์โดยปราศจากสิ่งของทั้งสามอย่างนี้ การสร้างยันต์มันดูเหมือนง่ายแต่ในความเป็นจริงมันซับซ้อนเป็นอย่างมาก ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าจะได้เรียนรู้วิธีการจําแนกประเภทกระดาษยันต์ วิธีจับพู่กัน และทุกอย่างเกี่ยวกับหมึก เมื่อใดที่พวกเจ้าเข้าใจความรู้พื้นฐานเหล่านี้จนขึ้นใจแล้ว ข้าจึงจะสอนพวกเจ้าเกี่ยวกับการสร้างยันต์อักขระ”
ขณะนี้เองที่เฉินซีเพิ่งตระหนักได้ว่าร้านขายของสกุลจางเพิ่งรับสมัครคนรุ่นเยาว์หน้าใหม่มาเจ็ดแปดคนเพื่อนำมาฝึกสอนให้เป็นนักสร้างยันต์อักขระฝึกหัด ส่วนคำพูดเมื่อครู่นี้เป็นของเจ้าของร้านที่มีนามว่าจางต้าหยง
“ข้าจะให้เวลาพวกเจ้าหนึ่งเดือน แต่หากผลงานที่พวกเจ้าทำออกมาไม่เป็นที่น่าพอใจสําหรับข้าเมื่อหนึ่งเดือนได้ผ่านไป พวกเจ้าจะต้องกลับบ้านตัวเองไปซะ และพวกเจ้าทั้งหมดจงจำใส่หัวเอาไว้ หนทางการเป็นปรมาจารย์ยันต์อักขระไม่มีทางลัด มีทางเดียวที่พวกเจ้าจะกลายเป็นปรมาจารย์ได้คือการทุ่มเทเรียนรู้และฝึกฝนให้หนักจนเลือดตากระเด็น ไม่มีปรมาจารย์ผู้ใดที่ไม่ทุ่มเทแล้วประสบความสำเร็จเลยสักคน!”
คนรุ่นเยาว์หน้าใหม่ทั้งหมดต่างจ้องมองกันเองด้วยความตื่นเต้นและกระตือรือร้น พวกเขารู้สึกคันไม้คันมืออยากจะลองสร้างยันต์อักขระด้วยตัวเองจนเต็มแก่
“หืม? เฉินซีเจ้ามาแล้วหรือ?” จางต้าหยงมองข้ามมายังหน้าประตูร้านและส่งยิ้มให้กับเฉินซี
“ลุงจาง นี่คือยันต์เมฆาอัคคีสามสิบแผ่นสําหรับวันนี้” พูดจบ เฉินซีก็หยิบยันต์สีครามปึกหนึ่งออกจากอกเสื้อและยื่นให้
จางต้าหยงโบกมือ “ยังไม่ต้องรีบร้อน ๆ ในเมื่อเจ้าอยู่ที่นี่แล้วเช่นนั้นก็มาช่วยข้าสอนพวกเด็กน้อยเหล่านี้ที ส่วนค่าจ้างสำหรับการสอนข้าจะคิดต่างหากให้ เอาเป็นว่าข้าจ่ายศิลาวิญญาณสามก้อนต่อครึ่งชั่วยามเจ้าจะว่าอย่างไร?”
เฉินซีพยักหน้าหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ย่อมได้!”
ยันต์เมฆาอัคคีสามสิบแผ่นสามารถขายได้ศิลาวิญญาณสิบก้อน แต่ต้องใช้เวลาในการสร้างถึงสองชั่วยามครึ่ง ดังนั้น การได้รับค่าจ้างเป็นศิลาวิญญาณสามก่อนต่อครึ่งชั่วยามจึงนับว่าเหมาะสมแล้ว
จางต้าหยงยิ้มก่อนที่จะมองไปยังเหล่าวัยรุ่นทั้งหลายและพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าจริงจัง “เต๋าแห่งยันต์อักขระนั้นลึกล้ำและซับซ้อน ดังนั้นเพื่อช่วยให้พวกเจ้าเข้าใจพื้นฐานได้ภายในเร็ววัน รุ่นพี่ของพวกเจ้า เฉินซีจะแสดงให้พวกเจ้าได้เห็นว่ายันต์เมฆาอัคคีระดับหนึ่งถูกสร้างขึ้นมาอย่างไร ข้าอาจจะไม่กล้ากล่าวยืนยันในเรื่องอื่น แต่ถ้ามีผู้ใดถามข้าว่าใครในเมืองของเราที่มีพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับยันต์อักขระมากที่สุด ข้ากล้าตอบได้อย่างเต็มปากชัดคำเลยว่าคนผู้นั้นคือเฉินซี!
ในเรื่องความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการสร้างยันต์อักขระ แม้กระทั่งตัวข้าเองก็ยังต้องยอมรับว่าตัวข้านั้นด้อยกว่าเฉินซีเช่นกัน ดังนั้นแล้วพวกเจ้าควรจับตาดูให้ดีและเรียนรู้ให้ได้มากที่สุด อย่าได้ปล่อยโอกาสเรียนรู้อันดีงามนี้เสียเปล่า”
ควับ!
ชายหนุ่มเจ็ดแปดคนหันไปมองยังเฉินซีแทบจะพร้อมกัน แต่เมื่อพวกเขาสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มที่อายุไม่น่าจะเยอะไปกว่าพวกเขามากนัก ความสงสัยจึงปรากฏขึ้นในดวงตาของพวกเขาทันที
สหายคนนี้วิเศษวิโสเหมือนที่ท่านลุงจางกล่าวเมื่อครู่จริงหรือ?
เฉินซีไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อยกับการถูกจับจ้อง เขาก้าวไปข้างหน้าและไปหยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะสําหรับสร้างยันต์
จากนั้นเขาก็หยิบกระดาษยันต์สีครามที่วางอยู่ริมโต๊ะขึ้นมาหนึ่งแผ่นและวางมันลงตรงกลางโต๊ะ ก่อนที่จะหยิบพู่กันขึ้นมาและจุ่มปลายพู่กันลงไปในหมึก เขาขยับพู่กันในมือไปมากวนหมึกเหลวอย่างไหลลื่นท่าทางดูเชี่ยวชาญราวกับว่าเคยทำเช่นนี้มาแล้วนับหมื่นนับแสนครั้ง
เหล่าคนรุ่นเยาว์ต่างรีบมารุมล้อมดูเฉินซีอย่างรวดเร็วเมื่อพวกเขาเห็นฉากนี้
ท่าทางของเฉินซียิ่งดูเหมือนมีมนต์ขลังเมื่อสีหน้าและแววตาของเขายิ่งจริงจังมากขึ้น ข้อมือของเขาเคลื่อนไหวไหลลื่นราวกับงูเลื้อย ปลายพู่กันดูคล่องแคล่วและสง่างาม ทุกการเคลื่อนไหวมีเสียงที่แผ่วเบาทว่าเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์… ลายเส้นดําแดงถูกวาดแต่งลงบนแผ่นยันต์อย่างเป็นธรรมชาติและราบรื่น คล้ายกับภาพมายาที่ไม่มีอยู่จริงแต่พอยิ่งนานไปมันเริ่มกลับกลายเป็นความเที่ยงแท้ที่สามารถจับต้องได้
เหล่าคนรุ่นเยาว์มองตามตาไม่กะพริบ ดวงตาของพวกเขาจ้องเขม็งไปที่ทุกขั้นตอนที่เฉินซีทำ และยิ่งเมื่อเห็นว่าลวดลายบนยันต์ค่อย ๆ เป็นรูปเป็นร่าง ความรู้สึกตะลึงในใจของพวกเขานั้นยิ่งมากขึ้นตามลำดับ
ยันต์ถูกแบ่งออกเป็นเก้าระดับ ยันต์เมฆาอัคคีเป็นยันต์ระดับแรก ซึ่งจัดว่าอยู่ในหมวดหมู่ยันต์พื้นฐานที่สุด เดิมทีพวกคนรุ่นเยาว์ไม่ได้สนใจเฉินซีที่เป็นคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพวกเขาเลย แต่ทว่าเมื่อพวกเขาได้เห็นความสามารถในการสร้างยันต์อันยอดเยี่ยมราวกับศิลปินเอกกำลังสร้างสรรค์ภาพวาด หัวใจของพวกเขากลับกลายเป็นถูกสยบไปโดยปริยาย
แววตาของเฉินซีขณะนี้จดจ่อและไม่สนใจสิ่งรอบข้างอย่างสิ้นเชิง เมื่อใดที่เขาสร้างยันต์ เขาจะจมเข้าสู่สภาวะใจสงบและจดจ่ออยู่เพียงแต่แผ่นยันต์ตรงหน้าเท่านั้น
จางต้าหยงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างเต็มที่เมื่อเขาเห็นสีหน้าตกตะลึงของบรรดาคนรุ่นเยาว์ อันที่จริงอย่าว่าแต่เด็กเหล่านี้เลย แม้แต่ตัวเขาเองก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกตะลึงทุกครั้งเมื่อเห็นเฉินซีสร้างยันต์ด้วยตาตนเอง
เฉินซีควบคุมปลายพู่กันของเขา สะบัด หมุนเป็นเกลียว ลากเป็นเส้นและปาดไปมาด้วยความเฉียบคมและแรงมือที่แม่นยํา ตามการเคลื่อนไหวของพู่กันในมือของเฉินซี ลวดลายที่ดูซับซ้อนค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างช้า ๆ บนกระดาษยันต์สีคราม
เวลาหนึ่งก้านธูปได้ผ่านไป
วิ้งงงง!
ทันใดนั้นกระดาษยันต์ส่องแสงเปล่งประกายเจิดจ้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนแสงจะหายวับกลับเข้าไปในยันต์ตามเดิมราวกับไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้
หลังจากที่วางยันต์ลงบนโต๊ะ เฉินซีรู้สึกว่าทั้งร่างเมื่อยล้าและไม่สบายตัว มันคล้ายกับทั้งร่างกําลังจะแตกสลาย ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเปลี่ยนเป็นซีดขาวคล้ายกับคนป่วย
ก่อนมาที่ร้านสกุลจาง เฉินซีได้ทําการสร้างยันต์เมฆาอัคคีไปแล้วสามสิบแผ่น ไม่ใช่เพียงแค่พลังแก่นแท้ของเขาใกล้จะหมด พลังจิตของเขาก็ใกล้จะหมดเช่นกัน ดังนั้นหลังจากสร้างยันต์นี้สําเร็จเขาจึงอยู่ในสภาพที่พลังทั้งหลายในร่างเหือดแห้งแทบหมด
ทว่าเหล่าคนรุ่นเยาว์ไม่ได้สังเกตเห็นเกี่ยวกับอาการนี้ของเฉินซีเพราะกำลังตกตะลึงกับวิธีที่เฉินซีสร้างยันต์ขึ้นมาด้วยความเชี่ยวชาญและคล่องแคล่ว
“น่าตื่นตาอะไรขนาดนี้! ทั้งความเร็ว ความคล่องแคล่ว และความแม่นยำในการใช้พู่กันทั้งหมดล้วนสุดแสนจะอัศจรรย์!”
“โว้ว! พี่เฉินซีสร้างยันต์สําเร็จในรวดเดียวโดยไม่พัก! ความสําเร็จขนาดนี้นับได้ว่าเชี่ยวชาญพอ ๆ กับปรมาจารย์!
“ต่อจากนี้ข้าจะขอคําชี้แนะจากพี่เฉินซีบ่อย ๆ! และอนาคตข้าจะต้องเชี่ยวชาญในการใช้พู่กันให้ได้แบบพี่เฉินซี!”
…
ทว่าทันใดนั้นประโยคอันเปี่ยมล้นด้วยความดูถูกดังก้องภายในร้าน
“เหอะ! กับอีแค่สร้างยันต์ระดับหนึ่งสำเร็จ ไม่เห็นจะยอดเยี่ยมอันใดเลย! ต่อให้พวกเจ้าจะโง่บื้อสักเพียงไร หากพวกเจ้าฝึกฝนสักห้าปีแบบเดียวกับไอ้เฉินหน้าตายผู้นี้ พวกเจ้าก็สามารถเชี่ยวชาญในการสร้างยันต์พื้นฐานแบบนี้ได้เหมือนกับมันดุจเดียวกัน จริง ๆ แล้วพวกเจ้าควรจะถามไอ้เฉินหน้าตายผู้นี้เกี่ยวกับการสร้างยันต์ระดับสองมากกว่า! แต่ก็ช่างเถิด ในเมื่อข้าผู้นี้มายืนอยู่ตรงนี้แล้วข้าจะบอกให้พวกเจ้าตาสว่างเอาบุญ เฉินหน้าตายผู้นี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าใช้ทักษะที่มันมีเท่าหางอึ่งอวดมือใหม่อย่างพวกเจ้าให้ยกยอตัวมันแค่เท่านั้น!”
คำเยินยอของทุกคนเงียบลงทันที จากนั้นทุกคนต่างหันกลับไปมองผู้ที่พูดประโยคนี้ซึ่งกำลังยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าร้าน เขาเป็นชายหนุ่มผู้มีใบหน้ายาวและตอบผอม ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยามและแขนทั้งสองของเขากําลังกอดอกแน่น ไม่มีใครรู้ว่าคนผู้นี้มาตั้งแต่เมื่อใด
จากนั้นทุกคนก็เริ่มนึกอะไรบางอย่างได้ออก คนที่พวกเขาเพิ่งยกยอเมื่อครู่ใช้เวลาในการฝึกฝนนานถึงห้าปี แต่กลับชำนาญแค่การสร้างยันต์ระดับหนึ่งเท่านั้นน่ะหรือ? ต้องบื้อแค่ไหนกันถึงมีความสำเร็จได้แค่นี้!
หืม? ประเดี๋ยวนะ… เฉินหน้าตาย…ชื่อเล่นแปลกประหลาดอะไรแบบนี้ หืม!? เดี๋ยวก่อนนี่มัน ‘เขา’ คนนั้นนั่นเอง!
ในที่สุดเหล่าคนรุ่นเยาว์ก็จําได้ว่าเฉินซีคือผู้ใดและสายตาของพวกเขาที่จ้องมองเฉินซีก็เปลี่ยนเป็นแปลกประหลาดทันที
ชื่อ ‘เฉินหน้าตาย’ นั้นเป็นที่รู้จักไปทั่วเมืองหมอกสน และเฉินซีก็คือผู้ที่เป็นเจ้าของฉายา ‘ตัวซวยอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า’
ในวันที่เฉินซีลืมตาดูโลก ตระกูลเฉินซึ่งเดิมทีเป็นตระกูลอันดับหนึ่งของเมืองได้ถูกทําลายย่อยยับโดยศัตรูในชั่วข้ามคืน มีเพียงปู่ พ่อ และแม่ของเฉินซีเท่านั้นที่รอดชีวิต
จากนั้นเมื่อตอนที่เฉินซีอายุครบหนึ่งขวบ ปู่ของเขาล้มป่วยอย่างกะทันหัน ซึ่งในท้ายที่สุดปู่ของเขาได้สูญเสียการบ่มเพาะทั้งหมดไปและกลายเป็นคนพิการ หลังจากนั้นครอบครัวของเขาทั้งหมดจึงถูกบังคับให้ย้ายออกไปอยู่ในแถบเสื่อมโทรมในเมืองหมอกสน
เมื่อเฉินซีอายุได้สองขวบปี น้องชายของเขาอย่างเฉินฮ่าวก็ได้กําเนิดขึ้น แต่แม่ของเขาจั่วชิวเสวี่ยกลับหายตัวไป มีข่าวลือว่านางเอือมระอาตระกูลเฉินและไม่สามารถทนอยู่กับความยากจนได้ ดังนั้นจึงหนีไปอยู่กับนายน้อยผู้หล่อเหล่าซึ่งเป็นคนจากตระกูลร่ำรวย
จากนั้นเมื่อเฉินซีอายุสามขวบปี พ่อของเขาเฉินหลิงจวินก็ออกจากตระกูลไปและไม่กลับมาอีกเลย
ยามเมื่ออายุย่างเข้าสี่ขวบ ตระกูลซูจากดินแดนทางใต้ซึ่งเคยทําสัญญาหมั้นหมายให้บุตรีของตระกูลแต่งกับเฉินซีตั้งแต่ตอนก่อนที่เขาจะถือกําเนิด วันนั้นตระกูลซูส่งผู้อาวุโสซึ่งมีระดับการบ่มเพาะอยู่ในขอบเขตเคหาทองคำมามากกว่าสิบคน เมื่อมาถึง คนของตระกูลซูลอยตัวอยู่กลางท้องฟ้าอย่างดูแคลน และฉีกสัญญาหมั้นทิ้งต่อหน้าของทุกผู้คนในเมืองหมอกสนก่อนจะบินจากไปอย่างมิแยแส
ความโชคร้ายประดังประเดเกิดขึ้นกับเฉินซีเป็นเวลานานถึงห้าปีติดต่อกัน และแต่ละความโชคร้ายนั้นนับว่าเป็นเรื่องใหญ่ซึ่งสั่นสะเทือนไปทั้งเมืองหมอกสนและเมืองใกล้เคียง จนส่งผลให้นามของเฉินซีตัวซวยอันดับหนึ่งโด่งดังไปทั่วทั้งทศทิศ
บุคลิกของเฉินซีนั้นเย็นชาและเงียบขรึม ไม่มีใครเคยเห็นเขายิ้มมาก่อน และเมื่อรวมกับการแสดงออกทางร่างกายที่แสนเฉื่อยชา ฉายา ‘เฉินหน้าตาย’ จึงเป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งเมืองหมอกสน
“ลุงจาง ข้าจะมาที่นี่อีกครั้งในวันพรุ่งนี้”
เฉินซีสัมผัสได้ถึงความแปลกพิกลของผู้คนรอบข้างเขา แต่มันไม่ได้ทำให้เขาหวั่นไหวแม้แต่น้อย เพราะสายตาและท่าทางแบบนี้ที่คนอื่น ๆ มองเขานั้นคือสิ่งที่เขาเจอมาทั้งชีวิตแล้ว
เขาพยักหน้าให้กับจางต้าหยงก่อนที่จะหันหลังและจากไปด้วยท่าทางที่ใจเย็น
“ฮึ่ม!”
ไม่นานหลังจากที่เฉินซีจากไป จางต้าหยงมองอย่างดุร้ายไปที่ชายหนุ่มตรงทางเข้าร้านก่อนจะตวาดดังลั่น “อวิ๋นหง เจ้ามากับข้า!”
ชายหนุ่มสะดุ้งสุดตัว “ล…ลุงจาง ข้า…” ก่อนที่เขาจะทันได้อธิบาย จางต้าหยงผู้เป็นลุงของเขาก็ได้เดินเข้าไปในห้องด้านหลังแล้ว อวิ๋นหงรีบวิ่งตามไปอย่างรวดเร็วพลางพึมพำด้วยความรู้สึกขุ่นเคือง “ไม่อาจเข้าใจเลยจริง ๆ เหตุใดต้องโกรธเคืองข้าขนาดนี้? ข้าก็แค่พูดเรื่องจริงเกี่ยวกับไอ้เฉินหน้าตายเท่านั้น เหตุใดเขาต้องจริงจังขนาดนี้ด้วย?”
หลังจากที่ทั้งสองหายลับไปหลังร้าน กลุ่มของคนรุ่นเยาว์ผู้ซึ่งกำลังจะเข้ารับการฝึกเป็นนักสร้างยันต์ฝึกหัด อดไม่ได้ที่จะสบถกันเองจากสิ่งที่พวกเขาเพิ่งประสบ
“เฮ้อ…นั่นคือเฉินหน้าตาย ถ้าข้ารู้ก่อนหน้านี้ข้าจะไม่มาที่นี่แน่นอน ข้าสงสัยว่าหลังจากที่ข้าได้เห็นวิธีเขาสร้างยันต์แล้วข้าจะได้รับความโชคร้ายเกี่ยวกับเส้นทางการเป็นนักสร้างยันต์หรือไม่”
“บัดซบ! เฉินหน้าตายผู้นี้เป็นคนที่ไม่ควรยุ่งเกี่ยวด้วยมากที่สุดแต่เมื่อครู่นี้ข้าเพิ่งชมเชยเขาไป! ไม่ได้การแล้ว! ข้าต้องรีบกลับบ้านไปชําระล้างร่างกายเดี๋ยวนี้เพื่อล้างซวย!”
“ฮ่า ๆ พวกเจ้านี่มันใจเสาะกันเสียจริง พ่อของข้าเคยกล่าวว่าเฉินหน้าตายจะนําภัยพิบัติมาสู่ตระกูลเฉินเท่านั้น มันไม่ส่งผลอันใดกับเราหรอก”
…
ท้องฟ้ายามค่ำคืนนั้นมืดมิดประหนึ่งหมึก หมู่ดาราเหลือคณานับส่องแสงพร่างพราว
ภายใต้สายลมอันหนาวเหน็บไปถึงกระดูก เฉินซีคลายกําปั้นของเขาออกอย่างเงียบ ๆ ซึ่งก่อนหน้านี้เขากำแน่นจนข้อนิ้วกลายเป็นสีซีดขาว ขณะนี้เขากำลังเดินมุ่งหน้ากลับไปที่บ้านของเขาอย่างรวดเร็ว
ทว่าเมื่อเฉินซีมาถึงหน้าประตูบ้าน เขาเห็นชายหนุ่มร่างกายผอมแห้งกำลังนั่งอยู่หน้าประตู ต้องขอบคุณแสงของหมู่ดาว เฉินซีจึงสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่านั่นคือน้องชายของเขา เฉินฮ่าว
“ท่านพี่ ท่านกลับมาแล้ว!” เฉินฮ่าวอายุเพียงสิบสองปี เขายืนขึ้นและตะโกนด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสุข ก่อนที่จะพบว่ามีบางสิ่งผิดปกติซึ่งทําให้เขารีบก้มศีรษะลง
เฉินซีกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยโทสะ “เงยหน้าของเจ้าขึ้นมา!”
เฉินฮ่าวแสดงท่าทางราวกับเด็กที่เพิ่งสร้างวีรกรรมแย่ เขาไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงกังวล “ท่านพี่ ท่านปู่กําลังรอท่านกินอาหารเย็น พวกเราเข้าไปด้านในกันก่อนเถอะ…”
หลังจากที่พูดจบประโยค เฉินฮ่าวก็ลุกอย่างรวดเร็วและรีบหันหลังกลับ เด็กน้อยต้องการจะเข้าไปในบ้าน แต่เขากลับถูกหยุดไว้ด้วยมือของเฉินซีจากด้านหลัง
“เจ้าไปมีเรื่องกับใครมาอีกแล้วใช่หรือไม่?” เฉินซีหมุนร่างของเฉินฮ่าวให้เผชิญหน้ากับตนก่อนจะเชิดคางอีกฝ่าย คิ้วของเขาขมวดหลังจากที่เห็นรอยฟกช้ำสีแดงปูดบวมบนใบหน้าเล็ก ๆ ของน้องชาย
เฉินฮ่าวพยายามอย่างหนักเพื่อที่ขยับศีรษะออกจากมือของเฉินซีพลางกล่าวด้วยเสียงดัง พร้อมกับสายตาที่เต็มไปด้วยความดื้อรั้น “ไอ้พวกบัดซบนั่นมันเรียกข้าว่าเด็กกำพร้าและเรียกท่านว่าเป็นตัวซวยนำพาความโชคร้ายมาสู่ตระกูลของเรา และพวกมันบอกอีกว่าพวกเราทั้งหมดจะตายในเร็ว ๆ นี้ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่อาจยอมรับคำพูดของพวกมันได้ ข้าจำเป็นต้องสั่งสอนพวกมันทั้งหมด!”
เฉินซีมองไปที่น้องชายของตนเองอย่างเพ่งพินิจ เขามองเห็นความโกรธเกรี้ยวและความเจ็บปวดในแววตาของน้องชาย สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดรุนแรงอย่างฉับพลันจนแทบควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่
…………………………………