บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 1000 กฎแห่งแสง
บทที่ 1000 กฎแห่งแสง
บทที่ 1000 กฎแห่งแสง
จูอวิ๋นโส่วและหญิงเฒ่าเฟยจิวต่างเผยให้เห็นความโกรธแค้นบนใบหน้า แต่ก่อนเสียงของพวกเขาจะดังก้องไปในอากาศ แรงกดดันที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็ดังหวีดหวิวมาจากนอกห้องโถง
แรงกดดันนี้น่ากลัวเป็นอย่างมาก ราวกับว่าจะหอบเอาฟ้าดินมาด้วยเมื่อมันมาถึง มันจึงทั้งน่าเกรงขาม เย็นยะเยือกและกว้างใหญ่ดั่งดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์!
ตู้ม! ตู้ม!
เหล่าชายหญิงทุกคนที่อยู่ทางด้านหลังของจูอวิ๋นโส่วและหญิงเฒ่าเฟยจิวไม่มีโอกาสแม้แต่จะโต้ตอบ ก่อนที่พวกเขาจะถูกกระแสลมซัดกระหน่ำ เลือดพุ่งออกจากปากและจมูก ขณะที่ตัวคนถูกระเบิดจนปลิวว่อน และกระจัดกระจายกองอยู่กับพื้น พลางร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดไม่รู้จบ
จูอวิ๋นโส่วกับหญิงเฒ่าเฟยจิวต่างรู้สึกว่าร่างกายหนาวยะเยือก พวกเขาจึงรีบหลบโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย เพราะพวกเขาไม่กล้าเผชิญหน้ากับแรงกดดันนี้
กลิ่นอายอันน่าเกรงขามนี้น่าสะพรึงกลัวเกินไป ทุกที่ที่มันผ่านไป ไม่มีใครกล้าปะทะกับมันโดยตรง อีกทั้งยังทำให้ความรู้สึกตกตะลึงแล่นวาบในใจของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจะกล้าปะทะกับมันได้อย่างไร?
ทันใดนั้น ประตูทางเข้าห้องโถงที่หน้าทางเดินก็เปิดออกอย่างแรง และไม่มีร่างใดกล้าขวางอีกต่อไป
“ผู้ใดกัน?”
“คนผู้นี้เป็นใครกันแน่?”
สีหน้าของจูอวิ๋นโส่วและหญิงเฒ่าเฟยจิวเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ในขณะที่ดวงตาของพวกเขาทอประกายแสงจ้า มองจากระยะไกลไปยังบริเวณนอกห้องโถง ในขณะที่ตั้งท่าเตรียมพร้อมต่อสู้ และพวกเขาไม่มีเวลามาสนใจคนอื่น ๆ ที่อยู่ในห้องโถง
เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดนี้ ทำให้ฟู่อวิ๋นและคนอื่น ๆ ตกตะลึงเช่นกัน จากนั้นพวกเขาก็เผยสีหน้าประหลาดใจ ในขณะที่หัวใจอันตึงเครียดของพวกเขาก็ผ่อนคลายลงอย่างมาก
“คนผู้นั้นมีกลิ่นอายที่น่าเกรงขามมาก หรือว่าบรรพบุรุษทั้งสามของนิกายจะมาช่วยเราแล้ว?”
ทุกคนต่างมีท่าทางตื่นเต้น ขณะที่พวกเขาจ้องมองออกไปด้านนอกห้องโถง
ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงัด ร่างสองร่างได้เดินเข้ามาในห้องโถง ซึ่งเป็นหนึ่งชายหนึ่งหญิง
ผู้ชายคนนั้นมีรูปร่างสูงใหญ่และท่าทางที่ไม่ธรรมดา ดวงตาของเขาลึกล้ำและกว้างใหญ่ดั่งท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว และทุกท่วงท่าของเขาได้เปล่งกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวออกมาอย่างท่วมท้น
ส่วนหญิงสาวอีกคนมีรูปลักษณ์ที่สง่างามยิ่ง นางทั้งงดงามและให้ความรู้สึกที่ไม่ธรรมดา ทั่วทั้งร่างของหญิงสาวถูกปกคลุมด้วยรัศมีที่คลุมเครือ ซึ่งดูราวกับสายฝนที่โปรยปราย และนางก็เหมือนกับเทพธิดาที่จุติมายังภพมนุษย์ จากตำหนักของทวยเทพบนดวงจันทร์
“ผู้อาวุโสเฉินซี!” เมื่อเห็นหน้าของชายคนนั้น ดวงตาของฟู่อวิ๋นและคนอื่น ๆ ก็เบิกกว้าง พวกเขาต่างจ้องมองมาที่ชายหนุ่ม ในขณะที่ใบหน้าของทุกคนเผยให้เห็นถึงความตื่นเต้นและความไม่เชื่อ
หลังจากเฉินซีสังหารร่างอวตารของปิงซื่อเทียนในวันนั้น เขาก็ถูกพัดพาไปยังยมโลก และหายตัวไปโดยไม่ทราบชะตากรรม ทำให้ทั้งนิกายกระบี่เก้าเรืองรองสั่นคลอนอย่างมาก และถ้าไม่ใช่เพราะการรุกรานของต่างพิภพกับสงครามที่ปะทุขึ้น นิกายกระบี่เก้าเรืองรองก็คงบุกไปที่นิกายวิถีกระแสสวรรค์เพื่อแก้แค้นให้กับเฉินซีแล้ว
ทว่าตอนนี้พวกเขากลับเห็นเฉินซีปรากฏตัวออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แล้วฟู่อวิ๋นกับผู้อาวุโสคนอื่น ๆ จะไม่ตกใจและตื่นเต้นได้อย่างไร?
แม้ว่าชื่อของเฉินซีจะเหมือนกับฟ้าผ่าที่ดังกึกก้องอยู่ในหูของพวกเขา แต่ศิษย์รุ่นเยาว์ส่วนใหญ่ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองไม่เคยเห็นเฉินซีด้วยตาตนเอง ดังนั้น เมื่อตอนนี้ได้พบว่าชายหนุ่มรูปงามคือผู้อาวุโสเฉินซีที่มีชื่อเสียงของนิกาย ทุกคนจึงอ้าปากค้าง ในขณะที่ร่างกายสั่นเทาด้วยความตื่นเต้น
ผู้ที่มาถึงคือเฉินซีกับชิงซิ่วอี้ และเฉินซีก็เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดแล้ว ดังนั้นใบหน้าของเขาจึงเปลี่ยนเป็นเย็นชา จากนั้นจึงพยักหน้าให้แก่ผู้อาวุโสฟู่อวิ๋นเล็กน้อย ก่อนจะจ้องมองไปทางด้านข้างของผู้อาวุโสฟู่อวิ๋น
มีเด็กหนุ่มรูปงามกำลังรักษาบาดแผลที่ข้อมือ เขามีท่าทางที่สงบและแน่วแน่ ส่วนรูปร่างหน้าตาของอีกฝ่ายก็คล้ายกับชิงซิ่วอี้ถึงเจ็ดส่วน
ชั่วพริบตา เฉินซีก็รู้ว่านั่นคือบุตรชายของเขา …เฉินอัน!
ทันใดนั้น เฉินซีทั้งตื่นเต้นและเดือดดาลอยู่ในใจ เขาตื่นเต้นเพราะในที่สุดเขาก็ได้พบกับบุตรชายของตนเองหลังจากผ่านมานานหลายปี และมันเป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูด
ในขณะเดียวกัน เขาเดือดดาลเพราะบุตรชายของเขาได้รับบาดเจ็บ! ยิ่งกว่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะเขาและชิงซิ่วอี้มาถึงทันเวลา ชีวิตของเฉินอันอาจตกอยู่ในอันตรายด้วยซ้ำ!
“ไอ้พวกบัดซบ!”
จู่ ๆ เปลวไฟแห่งโทสะก็พวยพุ่งขึ้นในหัวใจของเฉินซี และเขาก็เหมือนกับมังกรที่ถูกแตะเกล็ดย้อน ซึ่งเกือบจะไม่สามารถยับยั้งจิตสังหารของเขาได้
“ท่านพ่อ ท่านแม่…” ในขณะเดียวกัน เฉินอันก็สังเกตเห็นเฉินซีกับชิงซิ่วอี้เช่นกัน ทำให้เขาตกตะลึงด้วยสีหน้าที่งุนงง ราวกับไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้กับบิดามารดาของตนที่นี่
คำพูดนี้ทำให้หัวใจของเฉินซีสั่นไหว ในขณะที่ความเศร้าก่อตัวขึ้นในใจ ชายหนุ่มทั้งยินดีและรู้สึกผิด ทำให้อารมณ์ของเขาเกือบจะควบคุมไม่ได้
“ท่านลุง” ในขณะเดียวกัน เฉินอวี่ก็ยิ้มและโบกมืออย่างตื่นเต้นเช่นกัน
เสียงนี้ทำให้เฉินซีได้สติในทันที และเมื่อเขาแหงนหน้าขึ้นมอง เฉินซีก็เห็นเด็กหนุ่มร่างสูงกำยำและสง่างามที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เฉินอัน นอกจากนี้ ใบหน้าของเด็กคนนี้ยังราวกับถอดแบบออกมาจากพิมพ์เดียวกันกับเฉินฮ่าว
“อวี่เอ๋อร์!” เฉินซีตกตะลึง จากนั้นจึงเผยสีหน้ายินดีออกมา เพราะเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าหลานชายคนนี้จะมาที่แดนภวังค์ทมิฬพร้อมกับเฉินอัน และความประหลาดใจที่น่ายินดีทั้งสองครั้งนี้ ทำให้หัวใจของชายหนุ่มสั่นไหวเล็กน้อย เนื่องจากกลัวเป็นอย่างมากว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความฝัน
ตั้งแต่ตอนที่เขาเข้าไปในห้องโถง จนกระทั่งจำเฉินอันและพบกับเฉินอวี่ มันก็ผ่านไปเพียงไม่กี่อึดลมหายใจเท่านั้น แต่เฉินซีกลับรู้สึกราวกับได้สัมผัสกับความทรงจำในอดีตที่ยาวนาน
ความคิดล่องลอยอยู่ในใจของเขา ในขณะที่ฉากในอดีตได้แวบเข้ามาในหัว
หากมีใครลอบโจมตีในตอนนี้ คนผู้นั้นจะต้องลงมือสำเร็จอย่างแน่นอน
จูอวิ๋นโส่วและหญิงเฒ่าเฟยจิวย่อมสังเกตเห็นสิ่งนี้เช่นกัน แต่พวกเขาไม่กล้าลงมือ เพราะฉากที่ชายหญิงคู่นี้พังประตูทางเข้า และบุกเข้ามาก่อนหน้านี้น่าตกใจเกินไป กอปรกับแรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนั้น ทำให้พวกเขาไม่กล้าเสี่ยงลงมือ
เมื่อเทียบกับความตื่นเต้นของเฉินซีแล้ว ชิงซิ่วอี้กลับดูจะสงบกว่ามาก แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครสังเกตเห็นว่า เมื่อนางสังเกตเห็นมือขวาที่บาดเจ็บของเฉินอัน ดวงตาสุกใสที่ราวกับอัญมณีส่องประกายแวววาวของหญิงสาว พลันเต็มไปด้วยความเยือกเย็นและจิตสังหารที่ไร้ความปรานี
“ดูแลพวกเขาสองคนด้วย ส่วนคนเหล่านี้ให้ข้าจัดการเอง” ชิงซิ่วอี้หันกลับมา ผมสีดำขลับที่คล้ายกับน้ำตกของนางพลิ้วไหว ในขณะที่ใบหน้าอันงดงามเต็มไปด้วยความเย็นชาและเฉยเมย แม้ว่าน้ำเสียงของหญิงสาวจะสงบ แต่ความหมายที่แฝงอยู่ในนั้น กลับทำให้หัวใจของทุกคนหนาวเหน็บ
เฉินซีเงยหน้าขึ้นมองจูอวิ๋นโส่วกับคนอื่น ๆ ก่อนจะถอนสายตาและพยักหน้า
เพราะเขารู้ดีว่า แม้ภายนอกชิงซิ่วอี้จะดูสงบ แต่เปลวไฟแห่งโทสะและจิตสังหารในใจของนางกลับรุนแรงยิ่งกว่าเขา ดังนั้นจึงเป็นการดีที่จะปล่อยให้นางได้ระบายออกมา
เขาจึงปกป้องเฉินอันกับเฉินอวี่ที่อยู่ข้างหลังทันที ก่อนจะกล่าวผ่านกระแสปราณกับผู้อาวุโสฟู่อวิ๋นว่าไม่ต้องกังวลไป และเฝ้าดูอย่างสงบก็พอ
“ผู้อาวุโสเฉินซี คนเหล่านั้นดูเหมือนจะมาจากภพเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสองคนนั้นที่เป็นผู้นำ พวกเขาทั้งสองมีการบ่มเพาะที่ขอบเขตเซียนสวรรค์ หรืออาจสูงกว่านั้น…” ฟู่อวิ๋นยังคงกังวลเล็กน้อย และบอกเฉินซีเกี่ยวกับการคาดเดาทั้งหมดของตนผ่านกระแสปราณ
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” เฉินซีพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจ “อย่าได้กังวล ครั้งนี้จะไม่มีผู้ใดหลบหนีไปได้” เสียงของเขาสงบและเผยให้เห็นถึงพลังอำนาจที่น่าเชื่อถือ
ทันใดนั้น สถานการณ์ในห้องโถงก็เปลี่ยนเป็นชิงซิ่วอี้เผชิญหน้ากับจูอวิ๋นโส่ว หญิงเฒ่าเฟยจิว และคนอื่น ๆ เพียงลำพัง
แม้ว่านางจะเผชิญหน้าเพียงลำพัง แต่ก็ไม่มีใครกล้าดูถูกนาง
เนื่องจากกลิ่นอายที่ปกคลุมร่างกายของหญิงสาว เป็นเหมือนขุมนรกไร้ก้นบึ้ง ซึ่งกดดันจูอวิ๋นโส่วกับคนอื่น ๆ เสียจนพวกเขาแทบหายใจไม่ออก
สิ่งนี้ทำให้สีหน้าของพวกเขาหนักอึ้ง พวกเขาจึงรู้สึกประหลาดใจและงุนงงเล็กน้อย
“เจ้าสัตว์หน้าขน เป็นเจ้าหรือที่ทำร้ายบุตรชายของข้าก่อนหน้านี้?” จู่ ๆ ชิงซิ่วอี้ก็กล่าวอย่างกะทันหัน ดวงตาของนางปราศจากอารมณ์ใด ขณะจับจ้องไปยังนกแก้วขนดำที่อยู่บนไหล่ของจูอวิ๋นโส่ว
เมื่อมันได้ยินคำว่า ‘เจ้าสัตว์หน้าขน’ นกแก้วขนดำก็โกรธอย่างสุดขีดจนสบถออกมาว่า “กล้าดียังไง! ถึงเรียกข้าเช่น…”
ตู้ม!
มันยังกล่าวไม่ทันจบ เมื่อพลังไร้รูปร่างปกคลุมมันไว้อย่างเงียบเชียบ และพลังนั้นก็เหมือนกับมือไร้รูปร่างที่คว้าจับนกแก้วอย่างรุนแรง ก่อนจะลากมันเข้ามาหาตัวชิงซิ่วอี้ ทำให้นกแก้วหยุดร้องเสียงแหลมทันทีเช่นกัน
ทุกคนรู้สึกถึงแสงวูบวาบตรงหน้าพวกเขา และเมื่อมองอีกครั้ง ทุกคนต่างเห็นนกแก้วขนดำเป็นเหมือนปลาที่ถูกแช่แข็งในชั้นน้ำแข็ง มันลอยอยู่ตรงหน้าชิงซิ่วอี้ แต่กลับไม่สามารถหลบหนีได้ ไม่ว่ามันจะดิ้นรนอย่างไรก็ตาม
สิ่งที่น่าประหลาดใจอย่างยิ่งคือ มันกำลังกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง แต่กลับไม่มีใครได้ยินอะไรเลย ทำให้ดูแปลกประหลาดยิ่ง
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นฉับพลันเช่นนี้ ทำให้หัวใจของชายชราจูอวิ๋นโส่ว หญิงเฒ่าเฟยจิวและคนอื่น ๆ หนาวสั่น
พวกเขาทราบอย่างชัดเจนว่า นกแก้วขนดำนี้เป็นสัตว์อสูรบินจากภพเซียน ซึ่งกำเนิดจากรังที่เป็นก้นเปลวเพลิง ทันทีที่มันถือกำเนิด มันก็มีความแข็งแกร่งที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าเซียนสวรรค์!
แต่ตอนนี้มันกลับถูกคว้าจับอย่างไม่ได้ใส่ใจ และขัดขืนไม่ได้แม้แต่น้อย ดังนั้นการบ่มเพาะของตัวตนที่กระทำเช่นนี้ได้ จะน่าเกรงขามเพียงใด?
ไม่ใช่แค่พวกเขา แม้แต่ผู้อาวุโสฟู่อวิ๋นกับคนอื่น ๆ ก็เบิกตากว้างและตกใจอย่างมาก เพราะพวกเขาได้เป็นพยานต่อความแข็งแกร่งของนกแก้วขนดำตัวนี้เมื่อสักครู่นี้เอง!
ชิงซิ่วอี้เป็นสตรีที่มีหัวใจหยิ่งทะนงและเย็นชา และนางไม่ชมชอบการกล่าววาจาไร้สาระ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจิตสังหารผุดขึ้นในใจ นางจะไม่กล่าวอันใดออกมาเลย
ก่อนทุกคนจะทันได้ตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาพลันได้ยินเสียงดังโครมคราม ก่อนที่ร่างของนกแก้วจะระเบิดกลางอากาศ และกลายเป็นละอองเลือดหายไปสู่ความว่างเปล่า
มันตายอย่างเรียบง่ายและหมดจด ราวกับบี้มดตัวจ้อยให้ตกตาย
ทุกคนตกตะลึง ใบหน้าของพวกเขาแข็งทื่อ
“ความแข็งแกร่งเช่นนี้ไม่น่ากลัวเกินไปหน่อยหรือ!?”
“เจ้า…ช่างบังอาจเสียเหลือเกิน! เจ้ารู้หรือไม่ว่าเรามาจากที่ใดกัน?” จูอวิ๋นโส่วจ้องมองที่นาง ขณะที่สีหน้าเศร้าหมองและโกรธเกรี้ยวปรากฏขึ้นบนใบหน้า พร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงอันน่าสะพรึงกลัว
แม้ดูเหมือนว่าแสดงออกอย่างดุร้าย แต่กลิ่นอายของเขากลับอ่อนลงอย่างมาก ทำให้ไม่ได้น่าเกรงขามและดุร้ายเหมือนเมื่อก่อน
ในขณะนี้ จูอวิ๋นโส่วจะแยกแยะไม่ออกได้อย่างไรว่า ความแข็งแกร่งของชิงซิ่วอี้นั้นเหนือกว่าตัวเขาอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งยังน่ากลัวถึงขีดสุด ดังนั้นเจ้าตัวจึงพยายามรักษาขวัญกำลังใจ และวางแผนจัดการกับนางอย่างระมัดระวัง
“เท่าที่ข้ารู้ ก็คือเจ้าจงใจบังคับบุตรชายข้าให้เป็นศิษย์! ดังนั้นเจ้าสมควรตาย!” เสียงของชิงซิ่วอี้ทั้งเย็นชาและนิ่งสงบ ราวกับนางกำลังกล่าวถึงเรื่องที่ธรรมดามาก แต่น้ำเสียงของนางกลับเผยให้เห็นถึงอำนาจควบคุมที่เหนือกว่า จนจูอวิ๋นโส่วไม่อาจปฏิเสธได้
สิ่งนี้ทำให้จูอวิ๋นโส่วรู้สึกหวาดกลัวในใจ จนเขาตะโกนออกมาทันทีด้วยเสียงที่น่ากลัว “บังอาจ! พวกเรามาจากภพเซียน…”
เขายังกล่าวไม่ทันจบ แต่ชิงซิ่วอี้กลับลงมืออย่างฉับพลัน ซึ่งแท้จริงแล้ว นางไม่ได้สนใจในคำพูดของเขาด้วยซ้ำ อีกทั้งหญิงสาวยังแสดงท่าทีตรงไปตรงมาและเด็ดเดี่ยวยิ่ง
โอม!
มือที่ขาวและเรียวยาวเหยียดออก ในขณะที่ฝ่ามือของนางดูเหมือนจะปกคลุมท้องฟ้าและสามารถพลิกโลกาได้ ยิ่งกว่านั้น มันยังระเบิดพลังแห่งกฎเกณฑ์ที่พร่างพราย เจิดจรัส และเปล่งประกายราวกับเกล็ดหิมะ
ทันใดนั้น ทั่วทั้งห้องโถงก็ถูกปกคลุมไปด้วยแสงสว่าง ราวกับดวงอาทิตย์สาดส่องลงมายังโลก มันกลายเป็นกฎแห่งแสงที่น่าสะพรึงกลัว ซึ่งเต็มไปด้วยเสียงสวดมนต์ของมหาเต๋าและเหล่าทวยเทพ มันช่างศักดิ์สิทธิ์ เจิดจรัส และไร้ขอบเขต!
“กฎของเซียนทองคำ! พลังแห่งแสง! เจ้าเป็นเซียนทองคำ!” จูอวิ๋นโส่วเป็นคนแรกที่ปะทะการโจมตีนี้ และตัวเขาถูกปกคลุมด้วยกฎแห่งแสง ทำให้รู้สึกเจ็บแปลบที่ดวงตา แต่เมื่อเทียบกับสิ่งนี้ ความหวาดกลัวในใจได้กลบฝังขวัญกำลังใจของเขาไปสิ้นแล้ว และเขาก็อดไม่ได้ที่จะร้องออกมา
เสียงของเขาเต็มไปด้วยความตกใจและหวาดกลัว เพราะดูเหมือนว่าจูอวิ๋นโส่วจะไม่เคยคิดมาก่อนว่า การที่ได้ลงมายังภพมนุษย์ในครั้งนี้ ตนจะได้พบกับเซียนทองคำที่ค้นพบร่องรอยแก่นแท้ของปราณสรรค์สร้าง!