บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 1007 ตาข่ายครอบคลุมสวรรค์
บทที่ 1007 ตาข่ายครอบคลุมสวรรค์
บทที่ 1007 ตาข่ายครอบคลุมสวรรค์
“เก็บเกี่ยวผลประโยชน์หรือขอรับ?”
เฉินซีตกตะลึง ในขณะที่เขาจ้องมองไปยังการต่อสู้อันน่าสะพรึงกลัวบนท้องฟ้าที่ดูเหมือนว่ามันจะสามารถทำลายล้างโลกได้ และชายหนุ่มไม่กล้าจินตนาการแม้แต่น้อยว่า เขาจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากมันอย่างไรภายใต้สถานการณ์เช่นนี้
นี่ไม่แตกต่างกับการหยิบเกาลัดออกจากกองไฟ ที่ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจจบลงด้วยความตาย!
โอม!
ก่อนเฉินซีจะฟื้นตัวจากอาการตกใจ หลียางก็ได้ลงมือแล้ว ตาข่ายโปร่งแสงขนาดใหญ่พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า และทันใดนั้นก็เปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งเข้าสู่สมรภูมิเหนือนภา
ตาข่ายใหญ่นั้นโปร่งแสงราวกับผลึก มันส่องประกายแวววาวด้วยแสงดาวที่เย็นยะเยือก ทำให้มันดูราวกับเป็นภาพลวงตา และบางเบาราวกับไม่มีอยู่จริง ยิ่งกว่านั้น มันยังอบอวลไปด้วยกลิ่นอายที่ทำให้หัวใจต้องมนต์เสน่ห์
แต่สิ่งที่น่าแปลกใจคือ ทุกที่ที่ตาข่ายนี้ผ่านไป ร่างอันทรงพลังกับตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวและลึกลับเหล่านั้น ซึ่งกำลังต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายในสนามรบ กลับไม่สังเกตเห็นมันเลยแม้แต่น้อย และปล่อยให้ตาข่ายยักษ์ทะยานผ่านด้านข้างไปได้
เฉินซียังมองเห็นมือขนาดใหญ่ที่สามารถทำลายท้องฟ้าซึ่งยื่นออกมาจากจักรวาล กวาดผ่านทะเลดวงดาว ในขณะที่นิ้วของมันท่วมท้นไปด้วยพลังกฎที่ลึกล้ำ บดขยี้เวลาและห้วงมิติเป็นเสี่ยง ๆ พร้อมเคลื่อนผ่านตาข่ายใหญ่โดยตรง
อย่างไรก็ตาม ราวกับมือนั่นพุ่งผ่านเงา บังเกิดเป็นระลอกคลื่นจากตาข่ายขนาดใหญ่ จากนั้นมันก็กลับสู่สภาพเดิมโดยไม่มีความเสียหายใด ๆ จะมีก็เพียงมือใหญ่ที่จู่ ๆ ก็หยุดนิ่งไปชั่วครู่
“เอ๊ะ?” เสียงศักดิ์สิทธิ์ที่น่าตกตะลึงดังก้องมาจากห้วงจักรวาล และดูเหมือนว่าเจ้าของมือใหญ่จะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง แต่ในไม่ช้า อีกฝ่ายก็ไม่ใส่ใจกับเรื่องทั้งหมดนี้ และพลิกฝ่ามือเพื่อโจมตีศัตรูที่อยู่ตรงหน้าแทน
ตาข่ายขนาดใหญ่ยังคงเคลื่อนไปยังส่วนลึกของจักรวาลแทน มันดูเหมือนแสงมายาที่เคลื่อนคล้อยดุจความฝัน ซึ่งไม่ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อม
“สิ่งนั้นคือ?” เฉินซีเหม่อมองตาข่ายอย่างว่างเปล่า
“ตาข่ายครอบคลุมสวรรค์ มันหล่อหลอมจากทรายวิญญาณดาราและศิลาห้าสีแห่งความโกลาหล มันเป็นหนึ่งในสมบัติวิญญาณธรรมชาติที่ท่านอาจารย์ได้ทิ้งไว้ ดังคำกล่าวที่ว่า แม้ตาข่ายแห่งสวรรค์จะมีช่องตาข่ายขนาดใหญ่ แต่ก็ไม่มีสิ่งใดจะทะลุผ่านไปได้ ดังนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าสมบัติชิ้นนี้ แม้แต่เต๋ารู้แจ้ง กฎ รวมถึงกรรมที่ไม่มีตัวตนและไม่ชัดเจน ก็จะสามารถดักจับได้” หลียางคลี่ยิ้มบาง ซึ่งเผยถึงกำลังใจที่ฮึกเหิม
“สมบัติวิญญาณธรรมชาติ!”
ตาข่ายครอบคลุมสวรรค์!
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินซีได้ยินเกี่ยวกับสมบัติดังกล่าว และเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกตะลึง เมื่อคิดว่าสมบัติชิ้นนี้สามารถดักจับเต๋ารู้แจ้ง กฎ กรรม หรือสิ่งที่ไม่มีตัวตนและไม่ชัดเจนอื่น ๆ อีกมากมายได้ ชายหนุ่มไม่กล้าเชื่อว่าสมบัติในโลกชิ้นนี้ จะมีผลที่น่าอัศจรรย์เช่นนั้นจริง ๆ
ในช่วงเวลาสั้น ๆ ดวงตาของหลียางเป็นประกาย ก่อนที่นางจะกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ปลาเข้ามาในร่างแหนแล้ว ศิษย์น้อยเล็ก รีบนั่งสมาธิเร็วเข้า เพราะปลาตัวนี้เป็นเศษเสี้ยวที่แตกสลายของกฎเต๋าแห่งสวรรค์!”
“กฎเต๋าแห่งสวรรค์!”
เฉินซีประหลาดใจอีกครั้ง “ศิษย์พี่หญิงของข้าคนนี้ ทำให้ประหลาดใจมากเกินไปจริง ๆ”
หากเฉินซีไม่ได้ตกลงที่จะตามหลียางมาที่นี่ เพื่อร่วมเป็นสักขีพยานในการต่อสู้ระหว่างผู้ยิ่งใหญ่ของภพทั้งสาม เขาคงไม่เชื่อว่าทุกสิ่งที่เห็นและได้ยินที่นี่จะเป็นเรื่องจริง
แต่ในขณะนี้เฉินซีไม่มีเวลาครุ่นคิดมากนัก เขารีบกลั้นหายใจพร้อมกับทำจิตใจให้สงบ ก่อนจะนั่งขัดสมาธิ จากนั้นก็ละทิ้งความคิดฟุ้งซ่านในจิตใจ เริ่มทำสมาธิ
เปรี้ยง!
ทันทีที่เฉินซีเพิ่งเข้าสู่สภาวะการทำสมาธิ เขารู้สึกว่าร่างกายกำลังถูกผูกมัดด้วยกระแสพลังที่ร้อนแรง พลังที่อยู่ภายในกระแสนั้นทั้งบริสุทธิ์ กว้างใหญ่ และหมุนวนด้วยพลังของกฎเต๋าแห่งสวรรค์นับไม่ถ้วน
มันเหมือนกับสุรารสเข้มที่บ่มจากกฎนับไม่ถ้วน และเต๋ารู้แจ้งได้เข้าสู่ร่างชายหนุ่มผ่านทางรูขุมขน ทำให้เส้นเอ็นและกระดูกในร่างกายของเฉินซีเปล่งเสียงคำรามของราชสีห์กับมังกร บังเกิดเป็นระลอกคลื่นที่แผ่ขยายไปทั่วทั้งร่างกาย ก่อตัวเป็นวงแหวนเต๋าที่เรืองรองออกมา
หลังจากนั้น พลังงานที่น่าอัศจรรย์และอธิบายไม่ได้นี้ก็เริ่มซึมเข้าสู่เลือด เส้นลมปราณ อวัยวะทั่วกาย… ในชั่วพริบตา มันเหมือนกับหยดน้ำที่ตกลงในกระทะน้ำมัน ซึ่งระเบิดอย่างโครมคราม
แดนฮุ่นตุ้นในท้องทะเลแห่งลมปราณของเฉินซีไหลเวียนอย่างบ้าคลั่ง ในขณะที่อักขระยันต์มากมายเดือดพล่านและเปล่งประกายแสงเจิดจ้าอันไร้ขอบเขต ในชั่วพริบตานั้น แม้แต่ปราณเซียนในสภาพแวดล้อมก็เริ่มไหลเวียน
เฉินซีในยามนี้ดูจะกลายเป็นมหาสมุทรแห่งอักขระยันต์ ทุกรูขุมขนในร่างกายของเขาเปล่งลำแสงเต๋าที่เรืองรอง ในขณะที่ปราณเซียนต่างส่งเสียงดังกึกก้องและไหลเวียนโดยไม่มีที่สิ้นสุดภายในเส้นลมปราณ อวัยวะภายใน จุดชีพจรและแดนฮุ่นตุ้น ซึ่งกลิ่นอายของเต๋าที่อธิบายไม่ได้กำลังพลุ่งพล่านไปทั่วร่างกายของเขาเช่นกัน
ร่างกายของเฉินซีได้หลอมรวมเข้ากับเต๋ารู้แจ้งและผสานเข้ากับฟ้าดิน
จิตใจและร่างกายของเฉินซีได้เข้าสู่เต๋า และเต๋าก่อตัวเป็นอักขระยันต์
“ศิษย์น้องเล็กไม่ธรรมดาจริง ๆ เขาจารึกอักขระยันต์บนเส้นลมปราณทั่วทั้งร่างกายและแดนฮุ่นตุ้นของเขา ทำให้พวกมันสร้างกลิ่นอายของเต๋า ด้วยวิธีนี้ ภายในร่างกายของเขาจะสว่างไสวด้วยเปลวไฟแห่งพลังชีวิต ในขณะที่ภายนอกสะท้อนถึงการไหลเวียนของโลก ถ้าเขาบรรลุขอบเขตเซียนสวรรค์ เขาอาจจะสามารถควบแน่นพลังของกฎได้ในระยะเวลาอันสั้นมาก…” ใบหน้าของหลียางที่อยู่ใกล้ ๆ นั้นดูซีดเซียวเล็กน้อย ในขณะที่ความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของนางก็ยากจะปกปิด แต่สายตาที่นางมองไปยังเฉินซีกลับเต็มไปด้วยความสุขและความพึงพอใจแทน
เศษเสี้ยวของเต๋าแห่งสวรรค์นี้ เป็นพลังงานของระเบียบสูงสุดที่คอยรักษาโลก มันเป็นตัวแทนของพลังแห่งสวรรค์ ซึ่งทั้งไร้ความรู้สึกและยิ่งใหญ่มาก เต๋ารู้แจ้งและพลังกฎที่สรรพสิ่งในโลกเข้าใจนั้นล้วนมาจากภายในเต๋าแห่งสวรรค์
ในตอนนี้ หลียางได้คว้าโอกาสเมื่อภัยพิบัติปะทุขึ้น ซึ่งในขณะที่เต๋าแห่งสวรรค์พังทลายลงและแตกเป็นเสี่ยง ๆ นางได้ดักจับเศษเสี้ยวของเต๋าแห่งสวรรค์ที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ ด้วยตาข่ายครอบคลุมสวรรค์ เพื่อให้เฉินซีได้ใช้ประโยชน์จากมัน โดยไม่สนใจว่าสิ่งนี้จะเผาผลาญพลังของนางไปมากสักปานใด
สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า พลังที่อยู่ภายในเศษเสี้ยวของเต๋าแห่งสวรรค์นั้นน่ากลัวเพียงใด
คงไม่ใช่เรื่องเกินจริง หากจะบอกว่าเศษเสี้ยวของเต๋าแห่งสวรรค์ดังกล่าวคือ สมบัติล้ำค่าที่ผู้เป็นเซียนยังใฝ่ฝันถึงแม้แต่ในภพเซียน!
เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ
ภายใต้พลังของเต๋าแห่งสวรรค์ที่พลุ่งพล่านราวกับมหาสมุทร พลังชีวิตและปราณเซียนของเฉินซีได้บรรลุจุดสูงสุดของขอบเขตเซียนปฐพี มันสมบูรณ์และไร้ที่ติ ซึ่งในแง่ของความหนาแน่นของปราณเซียน มันหนาแน่นกว่าตัวตนในขอบเขตเซียนปฐพีทั่วไปถึงร้อยเท่า!
ในเวลาเดียวกัน ความเข้าใจต่อเต๋ารู้แจ้งประเภทต่าง ๆ ของเขาได้เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ตัวอย่างเช่น เต๋ารู้แจ้งเบญจธาตุ เต๋ารู้แจ้งของหยินและหยาง เต๋ารู้แจ้งแห่งวายุ เต๋ารู้แจ้งแห่งอัสนี เต๋ารู้แจ้งแห่งดารา เต๋ารู้แจ้งแห่งปารมิตา เต๋ารู้แจ้งแห่งการลืมเลือน และอื่น ๆ ที่ได้บรรลุขอบเขตสมบูรณ์เมื่อนานมาแล้ว ตอนนี้พวกมันเริ่มควบแน่นและแสดงสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงเป็นโซ่ศักดิ์สิทธิ์ของกฎอยู่จาง ๆ
ในทางกลับกัน มหาเต๋าที่ลึกล้ำ เช่น มหาเต๋าแห่งการลืมเลือน มหาเต๋าแห่งนิรันดร์ มหาเต๋าแห่งการกลืนกิน มหาเต๋าแห่งการรังสรรค์ มหาเต๋าแห่งการพิพากษา และอื่น ๆ ที่ยังไม่บรรลุขอบเขตสมบูรณ์ พวกมันกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วด้วยอัตราที่ก้าวกระโดดอย่างมาก
ถ้าคนอื่นเห็นฉากนี้ พวกเขาคงตกตะลึงจนหมดสติไปแล้ว
นี่คือพลังของเศษเสี้ยวเต๋าแห่งสวรรค์ มันเป็นตัวแทนของพลังสวรรค์และคำสั่งสูงสุด ซึ่งไหลเวียนอยู่ภายในโลกทั้งสามพันใบของภพมนุษย์ ดังนั้นพลังที่อยู่ภายในนั้นจะธรรมดาได้อย่างไร?
แน่นอนว่าความสามารถที่สูงล้ำถึงเพียงนี้ของมัน ย่อมไม่สามารถทำได้หากไม่มีรากฐานที่มั่นคง …หากชายหนุ่มไม่บรรลุถึงขีดจำกัดของขอบเขตเซียนปฐพี และไม่เข้าใจมหาเต๋าที่ลึกล้ำกว่าสิบประเภท เฉินซีย่อมไม่อาจปลดปล่อยพลังของเศษเสี้ยวเต๋าแห่งสวรรค์ได้อย่างสมบูรณ์
ยกตัวอย่างเช่นเต๋ารู้แจ้ง หากเป็นผู้บ่มเพาะที่ไม่เข้าใจเต๋ารู้แจ้งใด ๆ แม้ว่าเขาจะได้รับเศษเสี้ยวของเต๋าแห่งสวรรค์มาสิบชิ้น เขาย่อมไม่มีทางเข้าใจความลึกล้ำต่าง ๆ ที่อยู่ภายในนั้นได้
นี่เป็นเหมือนความสัมพันธ์ระหว่างเมล็ดพืชกับสายฝน เฉินซีได้เพาะเมล็ดพืชต่าง ๆ ไว้แล้ว ส่วนเศษเสี้ยวของเต๋าแห่งสวรรค์ได้แปรเปลี่ยนเป็นสายฝนที่ทำให้เมล็ดงอกและเจริญเติบโต…
ถ้าไม่มีเมล็ด ต่อให้สายฝนจะโปรยปรายสักเพียงใด มันก็ไร้ประโยชน์
หลังจากไม่ทราบว่าผ่านไปนานเพียงใด เฉินซีก็ลืมตาขึ้นจากการทำสมาธิ สายตาของเขาสงบนิ่งและลึกล้ำยิ่งขึ้น จากนั้นแสงสวรรค์ก็ปรากฏขึ้น ก่อนที่พวกมันจะแปรเปลี่ยนเป็นแผนภาพอันน่าอัศจรรย์ต่าง ๆ ที่ส่องประกายในดวงตา และหายวับไป
“ทัณฑ์สวรรค์ของข้ากำลังจะมาถึงในอีกสี่สิบเก้าวัน…”
เฉินซีได้บังเกิดความเข้าใจในขณะนี้ เขาสัมผัสได้ถึงช่วงเวลาแห่งโอกาสที่จะบรรลุไปสู่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับเก้า และทะยานขึ้นสู่ภพเซียน
เมื่อชายหนุ่มหวนคิดถึงทุกสิ่งที่เขาประสบตลอดเส้นทางมาจนถึงจุดนี้ และไตร่ตรองว่าเขากำลังจะขึ้นไปสู่ภพเซียนได้อย่างไร ความตื่นเต้นในใจของเฉินซีก็เปลี่ยนเป็นความสงบในที่สุด
เขารู้ว่าวันนี้จะมาถึง!
เช่นเดียวกับที่เขาเชื่อมั่นว่าตนจะสามารถบรรลุความปรารถนาใด ๆ ได้ตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่!
และเนื่องจากชายหนุ่มไม่เคยสังเกตหรือสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ในอดีต …เขาจึงดูสงบและสุขุมมากในเวลานี้
“ขอแสดงความยินดีกับศิษย์น้องเล็ก ด้วยพรสวรรค์ของเจ้า จะไม่มีผู้ใดกล้าดูถูกเจ้า เมื่อเจ้าไปถึงภพเซียนแล้ว” หลียางที่อยู่ใกล้ ๆ หัวเราะออกมาเบา ๆ ขณะที่นางพินิจมองเฉินซีอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนางก็เผยรอยยิ้มที่มากด้วยเสน่ห์ออกมา
เฉินซียืนขึ้นและป้องมือของเขา ในขณะที่กล่าวว่า “ข้าต้องขอบคุณศิษย์พี่ที่ช่วยให้ข้าบรรลุเป้าหมายทั้งหมดนี้”
เขาทราบดีว่าหากไม่ได้ครอบครองเศษเสี้ยวของเต๋าแห่งสวรรค์นี้ ชายหนุ่มอาจจะต้องเข้าสู่การปิดด่านบ่มเพาะเป็นเวลานานมาก เพื่อทำความเข้าใจต่อปัจจัยที่สำคัญ เพื่อบรรลุขอบเขตเซียนปฐพีระดับเก้า
“เอาล่ะ ม่านแห่งภัยพิบัติได้ถูกรูดปิดลงแล้ว และข้าก็ควรจะจากไปเช่นกัน” หลียางยิ้มขณะที่นางกล่าวด้วยเสียงเบา
“ม่านแห่งภัยพิบัติได้ถูกรูดปิดลงแล้ว…”
เฉินซีตกตะลึง จากนั้นเขาก็มองขึ้นไปบนท้องฟ้า และเห็นท้องนภาที่ฉีกขาดราวกับผืนผ้าไหม สมรภูมิกว้างใหญ่ที่เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ต่อสู้กันอย่างดุเดือด และกระแสพลังผันผวนอันน่าสะพรึงกลัวที่ปกคลุมไปทั่วฟ้าดิน ซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งการทำลายล้าง ความโกลาหล และการเข่นฆ่าทั้งหมดได้หายไปโดยที่เขาไม่ทันได้สังเกตเห็น
ท้องฟ้าในยามนี้ปลอดโปร่ง ในขณะที่พลังเต๋าแห่งสวรรค์ไหลเวียนอยู่ภายใน และทุกอย่างก็ฟื้นคืนสู่สภาวะสงบเหมือนเมื่อก่อน
“มันจบเช่นนั้นหรือ?” เฉินซีนึกถึงเหตุการณ์ที่น่าตกใจก่อนหน้านี้ และเขายังคงมึนงงอย่างมาก
“พวกเขาต่อสู้กันมาเจ็ดวันเจ็ดคืนแล้ว และคนที่สมควรตายก็ตายไปแล้ว ในขณะที่คนซึ่งไม่ควรอยู่ ก็ถูกดึงเข้าไปในภพเซียน สรุปแล้ว สหายเก่าเหล่านั้นจากภพทั้งสามที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง ถือได้ว่าได้รับชัยชนะเล็กน้อยในระหว่างการต่อสู้ครั้งนี้” รอยยิ้มเยาะเย้ยที่คุ้นเคยได้ปรากฏขึ้นที่มุมปากของหลียางอีกครั้ง
“แต่ในท้ายที่สุด ผู้คนบางส่วนต้องถูกสังเวยในการต่อสู้ และแน่นอนว่าผู้ใดจะหัวเราะในตอนท้าย เราจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อกลียุคของทั้งสามภพมาถึงแล้วเท่านั้น…”
เฉินซียังไม่สามารถเข้าใจทั้งหมดนี้ได้ในตอนนี้ แต่ชายหนุ่มเชื่อว่าเมื่อกลียุคของทั้งสามภพมาถึง เขาจะสามารถเข้าใจเหตุและผลของทุกสิ่งได้อย่างแน่นอน
เพราะมันเป็นอย่างที่หลียางได้กล่าวไว้ ในเวลานั้นไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงจากการพัวพันกับมันได้!
หลังจากนั้น หลียางก็ไม่ได้รั้งอยู่ที่นี่อีกต่อไป จากนั้นนางก็พาเฉินซีหายตัวไปจากยอดเขาเดียวดายอย่างรวดเร็ว
ณ นิกายกระบี่เก้าเรืองรอง
บรรยากาศอึมครึม และไม่ว่าผู้อาวุโสหรือศิษย์ทุกคนล้วนมีสีหน้าเศร้าโศก
เมื่อเฉินซีกลับมา เขาพบว่าสามปราชญ์แห่งเก้าเรืองรอง เฟิงถิง เฟยหลิง และเติ้งเฉินได้เสียชีวิตลงในช่วงภัยพิบัติ
นี่เป็นความเสียหายครั้งใหญ่ต่อนิกายกระบี่เก้าเรืองรองอย่างไม่ต้องสงสัย
อันที่จริง มันไม่ใช่แค่นิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ไม่ว่าจะเป็นผู้ละทิ้งสวรรค์หรือผู้อาวุโสที่เก็บตัวสันโดษ ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับเก้าหรือสูงกว่าในแดนภวังค์ทมิฬ พวกเขาล้วนได้รับผลกระทบจากภัยพิบัตินี้!
บางคนเสียชีวิตในช่วงภัยพิบัติ และมีบางคนที่โชคดีพอที่จะรอดชีวิตมาได้ แต่พวกเขาก็ถูกดึงเข้าไปในภพเซียน และไม่สามารถกลับมายังภพมนุษย์ได้อีกต่อไป
“บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดภัยพิบัติเช่นนี้ขึ้น? เพื่อประโยชน์ของการใช้พลังภัยพิบัติเพื่อกำจัดกองกำลังทั้งหมดที่เกินขีดจำกัดของภพมนุษย์อย่างสมบูรณ์?”
เฉินซีไม่สามารถหยุดความคิดนี้ได้ และความรู้สึกของเขาหนักอึ้งเล็กน้อย
หลังจากนั้นชายหนุ่มก็ส่ายศีรษะ และหยุดคิดถึงเรื่องนี้
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่ไกลตัวสำหรับเขามากเกินไป ดังนั้นแม้ว่าภัยพิบัติครั้งนี้จะเป็นแผนการที่ใครบางคนสร้างขึ้นอย่างรอบคอบเมื่อนานมาแล้ว แล้วมันจะเป็นอย่างไร?
เมื่อความแข็งแกร่งของผู้ใดไม่เพียงพอ คนผู้นั้นจะถูกลดบทบาทลงเป็นเพียงตัวหมากเท่านั้น
“ข้าสงสัยว่าสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าอยู่ที่ใดในภพเซียน…” จู่ ๆ เฉินซีก็นึกถึงคำแนะนำของหลียาง ยามก่อนที่นางจะจากไป และเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงร่องรอยความคาดหวัง