บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 1032 ศาลาเซียนคลื่นทองคำ
บทที่ 1032 ศาลาเซียนคลื่นทองคำ
บทที่ 1032 ศาลาเซียนคลื่นทองคำ
ไม่มีค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติในเมืองรัศมีเมฆา!
เฉินซีได้ข้อสรุป เมื่อค้นหาจนรอบเมือง ทำให้รู้สึกหดหู่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สิ่งที่ทำให้หดหู่เป็นพิเศษคือ เมื่อครู่นี้ เขาถูกต้อนเข้าไปในตรอก หากไม่สบโอกาสหลบหนีออกมาได้อย่างรวดเร็ว เกรงว่าคงถูกกลุ่มคนเหล่านั้นเล่นงานไปแล้ว
หลังจากนั้น เขาก็พบว่า ราชันเซียนลิ่นฮ่าวได้ตั้งค่าหัวของตนและกระจายข่าวออกไปทั่วทั้งทวีปสันติบูรพา รางวัลที่เสนอมาก็ค่อนข้างใจกว้างไม่เบา
นั่นหมายความว่า เฉินซีกลายเป็นหนูข้างถนนที่หากถูกพบตัว ทุกคนจะกระโจนเข้าสังหารทันที
เมื่อไม่มีทางเลือก เฉินซีจำต้องเปลี่ยนรูปลักษณ์ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหามากมายที่อาจจะตามมา
เขาในตอนนี้ กลายเป็นผู้ชายที่ดูธรรมดา อารมณ์หมองหม่น ธรรมดาจนไม่มีใครสนใจยามอยู่ท่ามกลางฝูงชน
น่าเสียดายที่กลยุทธ์นี้ใช้หลอกได้กับคนธรรมดาเท่านั้น ทันทีที่เจอผู้ที่มีเคล็ดวิชาพิเศษเฉพาะ หรือมีพลังอิทธิฤทธิ์เข้า เกรงว่าการปลอมแปลงนี้จะถูกมองออกทันที
เฉินซีกำลังเดินอยู่ในถนนที่พลุกพล่าน คิ้วเรียวขมวดแน่น เขาไม่อาจตามหาค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติได้ จนบัดนี้กลายเป็นอาชญากรมีค่าหัวอีกครั้ง เรียกได้ว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีนัก
เท่าที่เฉินซีรู้ สิ่งที่คล้ายกับค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติในทวีปสันติบูรพา เชื่อมต่อระหว่างทวีปหนึ่งกับอีกทวีปหนึ่ง หนึ่งในนั้นตั้งอยู่ที่เมืองวิหคเพลิงพำนัก เป็นสถานที่ที่ตำหนักราชันเซียนตั้งอยู่ เฉินซีจึงไม่สนใจตรงนั้น
อีกแห่งตั้งอยู่ในเมืองรัศมีวิญญาณ แต่มันอยู่ห่างจากเมืองรัศมีเมฆาหลายล้านลี้ หากเป็นภพมนุษย์ ระยะห่างนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเฉินซี เขาสามารถไปถึงได้ด้วยการเคลื่อนย้ายในเวลาอันสั้น
แต่นี่คือภพเซียน มีเพียงเซียนทองคำเท่านั้นที่สามารถเดินทางผ่านความว่างเปล่าได้อย่างอิสระ หากต่ำกว่าขอบเขตเซียนทองคำ จำต้องพึ่งสมบัติวิเศษ หรือใช้เคล็ดวิชาตัวเบาเท่านั้นจึงจะเดินทางไปได้
ที่สำคัญ เฉินซีเกรงว่า ยามนี้เมืองรัศมีวิญญาณ จะต้องมีกองกำลังขนาดใหญ่ประจำการอยู่ และรอให้เขากระโจนออกมาเป็นแน่
แสดงว่าราชันเซียนลิ่นฮ่าวคงคาดเดาไว้แล้ว หากจะหลบหนีด้วยพละกำลังที่มีในตอนนี้ มีแต่ต้องออกจากทวีปสันติบูรพาเท่านั้น ไม่มีทางเลือกอื่น
กล่าวได้ว่า ขอเพียงคุ้มกันเมืองวิหคเพลิงพำนักกับเมืองรัศมีวิญญาณเอาไว้ เขาย่อมไม่ต่างจากปลาในตาข่าย เต่าในโกศ เมื่อเวลาผ่านไป สถานการณ์จะยิ่งอันตรายมากขึ้น
‘ตั้งใจจะฆ่าจริง ๆ สินะ… ราชันเซียนลิ่นฮ่าว ไม่ว่าเจ้าจะส่งใครมาจัดการข้า เฉินซีผู้นี้จะมาสะสางบัญชีกับเจ้าในสักวันหนึ่ง!’
เฉินซีลอบหมายมั่นไว้ในใจ เขาถูกล่าในฐานะอาชญากรมีค่าหัวทันทีที่เข้าสู่ภพเซียน ไม่มีใครยอมรับเรื่องเช่นนี้ได้แน่นอน
โดยไม่ทันรู้ตัว เฉินซีก็เดินมาถึงหน้าศาลางดงามหาที่ใดเปรียบ รูปลักษณ์คล้ายทำจากหยกขาว ความสูงเทียมท้องนภา ปกคลุมด้วยแสงสว่างเลือนรางราวกับมวลเมฆ
เทียบกับสิ่งปลูกสร้างรอบข้างแล้ว ศาลาหลังนี้โดดเด่นเป็นสง่ายิ่ง เหมือนนกกระเรียนท่ามกลางฝูงไก่
บนแผ่นป้าย มีตัวอักษรโบราณเขียนไว้ว่า “ศาลาเซียนคลื่นทองคำ” ลายเส้นหนักแน่นราวถูกกับทับด้วยภูผาหนักล้านจวิน ทั้งยังรับรู้ถึงความรู้สึกราวกับนาคาทะยานออก เมื่อมองจากไกล ๆ ทำให้ผู้คนรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายหนักอึ้งและยิ่งใหญ่พุ่งใส่
‘ช่างเป็นรอยประทับวิญญาณที่ทรงพลังนัก ถึงแม้จะมีเพียงร่องรอยเดียว แต่กลับหนักแน่นราวกับขุนเขา จนไม่อาจทำลายได้ คนที่เขียนแผ่นป้ายนี้จะต้องมีระดับการบ่มเพาะเหนือกว่าขอบเขตเซียนทองคำเป็นแน่แท้!’
เฉินซีตกตะลึงและลอบนับถืออยู่ในใจ แค่ดูจากแผ่นป้ายนี้ ก็มองออกแล้วว่ารากฐานของศาลาเซียนคลื่นทองคำยอดเยี่ยมเพียงใด
เฉินซีเดินเข้าไปโดยไม่ลังเล
ตามข้อมูลที่เพิ่งรู้มา ศาลาเซียนคลื่นทองคำเป็นสมาคมการค้าขนาดใหญ่ที่กระจายอยู่ในภพเซียน ในบรรดาทวีปเซียนสี่พันเก้าร้อยแห่ง เกือบหนึ่งในสี่เป็นร้านของพวกเขา
เรียกได้ว่ามีอยู่ทุกหนแห่ง มั่งคั่งที่สุดในภพเซียน
ศาลาเซียนคลื่นทองคำไม่เพียงขายสมบัติวิเศษหายากจำนวนมาก แต่ยังมีโอสถรักษา เคล็ดการบ่มเพาะ โอสถวิญญาณ… ของทั้งหมดนี้จำเป็นต่อการบ่มเพาะอย่างยิ่ง เรียกได้ว่าครอบคลุมทุกด้าน
เฉินซีมาที่นี่ เพียงเพื่อกำจัดศิลากำเนิดวิญญาณครามในมือ ก่อนแลกเปลี่ยนพวกมันเป็นวัตถุเซียนบางส่วน
ทว่า ยังไม่ทันก้าวเข้าสู่ประตูศาลาเซียนคลื่นทองคำ กลุ่มเสี่ยวเอ้อร์ทั้งชายหญิงพลันพุ่งออกมาจากประตู ม้วนพรมสีชาดจากห้องใต้หลังคา จนมาถึงนอกประตู
ในระหว่างนั้น แขกที่วางแผนจะเข้าศาลาเซียนคลื่นทองคำอย่างเฉินซี ย่อมถูกกันไว้ด้านหนึ่ง แต่ไม่มีใครพูดอะไรมากนัก แค่ป้ายศาลาเซียนคลื่นทองคำเพียงอย่างเดียว ก็ไม่มีใครกล้าสร้างปัญหาแล้ว
จากนั้น เหล่าเสี่ยวเอ้อร์ก็แบ่งออกเป็นสองแถว ทุกคนยืนอยู่ทั้งสองฝั่งของพรมสีชาดด้วยท่าทีเคร่งขรึม ราวกับกำลังจะต้อนรับบุคคลสำคัญคนหนึ่ง
“ขอโทษทุกท่าน วันนี้แขกผู้มีเกียรติมาที่ศาลาเซียนคลื่นทองคำ โปรดอภัยด้วย แล้วค่อยกลับมาใหม่ในวันพรุ่งนี้” ชายวัยกลางคนที่มีรูปลักษณ์เหมือนพ่อบ้านเดินออกมา ประสานกำปั้นเข้าด้วยกัน กล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“เข้าใจ ๆ แต่ผู้จัดการเลี่ยว หากศาลาเซียนคลื่นทองคำปิดหนึ่งวัน เกรงว่าจะทำให้สูญศิลาอมตะไปหลายหมื่นก้อนไม่ใช่หรือ?” ลูกค้าคนหนึ่งถามติดตลก
ผู้จัดการเลี่ยวยิ้ม แต่ไม่พูดอะไร
“ผู้จัดการเลี่ยว ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าแขกผู้มีเกียรติที่ว่าคือผู้ใด ถึงทำให้ท่านต้องออกมารับด้วยตัวเอง?” ใครบางคนถามด้วยความสงสัย
พอเป็นเรื่องนี้ ผู้จัดการเลี่ยวแค่ยิ้มออกมา และไม่ตอบอะไรดังเดิม
เป็นเหตุให้แขกที่มาใช้บริการศาลาเซียนคลื่นทองคำบ่อย ๆ ยิ่งสงสัยเข้าไปอีก เท่าที่ทุกคนรู้ หากไม่ใช่เจ้านิกายรัศมีเมฆา เกรงว่าผู้จัดการเลี่ยวคงไม่ออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง
แต่ตอนนี้ ด้วยท่าทางดังกล่าว ประกอบกับการเตรียมตัวล่วงหน้า ช่างน่าสงสัยยิ่งนัก หรือว่าอีกฝ่ายจะเป็นแขกผู้มีเกียรติที่เหนือกว่าขอบเขตเซียนทองคำ?
คิดถึงตรงนี้ อารมณ์ของเฉินซีก็ยิ่งหดหู่มากขึ้น เขารู้สึกว่าโชคในวันนี้ไม่ดีเอาเสียเลย
ตอนแรก เขาไม่สามารถหาค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติได้ จากนั้นก็ถูกล่าในฐานะอาชญากรมีค่าหัว ตอนนี้จะมาแลกเปลี่ยนวัตถุเซียน ก็ถูกผลักไสอีก แถมยังบอกว่าวันนี้จะปิดทำการ เจอแบบนี้จะไม่ให้หดหู่ได้อย่างไร?
เฉินซีส่ายหน้าแล้วหันหลังจากไป ส่วนตัวตนของคนที่กำลังมาเยือนศาลาเซียนคลื่นทองคำ เขาคร้านจะใส่ใจ
…
ภัตตาคารเซียนหลงระเริง
ชั้นสอง
เฉินซีสั่งอาหารและสุรา จากนั้นรินเครื่องดื่มให้ตัวเอง แล้วครุ่นคิดถึงสิ่งที่เผชิญมาในช่วงหลายวันมานี้ จนอดที่จะรู้สึกสงสัยไม่ได้ หรือโชคของเขาจะแย่ลงเมื่อไม่มีไป๋คุยอยู่ข้างกาย
ต่อให้ปล่อยวางทุกสิ่งที่ประสบในเมืองรัศมีเมฆาวันนี้ แล้วมาคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากเข้าสู่ภพเซียน เฉินซีค้นพบว่า เขาไม่เคยเผชิญเรื่องดีเลยแม้แต่ครั้งเดียว!
“เฮ้อ ข้าทำได้เพียงไปศาลาเซียนคลื่นทองคำวันพรุ่งนี้สินะ…” เฉินซีส่ายหน้า เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง
ภัตตาคารเซียนหลงระเริงเป็นชื่อที่ไม่ค่อยมีรสนิยมเท่าไหร่ เพราะในภพมนุษย์ มีป้ายเช่นนี้อยู่ดาษดื่น ราวกับหากไม่ใช้ป้ายเช่นนี้ ก็คงไม่มีใครเชื่อว่าเป็นภัตตาคาร
ทว่าในเมืองรัศมีเมฆา ถึงป้ายของภัตตาคารเซียนหลงระเริงจะไม่มีรสนิยม แต่ก็เป็นภัตตาคารชั้นหนึ่ง แขกที่สามารถเข้ามาใช้บริการ ล้วนแต่งกายหรูหรา มารยาทดี ทำให้เฉินซีดูแปลกแยกจากแขกคนอื่น ๆ
ด้วยรูปลักษณ์ธรรมดาหมองหม่น เพราะดูธรรมดาเกินไป เขาจึงดูโทรมเล็กน้อย
แต่เฉินซีไม่สนใจ ในใจรู้สึกหดหู่เช่นนี้ จะมามัวสนใจรายละเอียดพวกนี้ไปไย?
ในตอนนี้เอง ปรากฏกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่บันได เป็นกลุ่มคนหนุ่มสาว สวมเสื้อผ้าดูดี ผู้ชายดูหรูหรา ผู้หญิงดูงดงาม
ครึ่งหนึ่งในนั้นแผ่ความผันผวนของปราณเซียนพิสุทธิ์ออกมาอย่างรุนแรง เผยระดับพละกำลังออกมาได้เป็นอย่างดี
“นั่นหวงเทียนหู่ ลูกชายคนโตของตระกูลหวงไม่ใช่หรือ?”
“ทั้งยังมีเหริ่นเยว่เอ๋อร์จากตระกูลเริ่น กัวอวี่จากตระกูลกัว…”
“จ้าวเฉิง ศิษย์ยอดฝีมือจากนิกายรัศมีเมฆาก็มาเช่นกัน แหม ๆ สี่ในเจ็ดยอดฝีมือจากเมืองรัศมีเมฆามาที่นี่แล้ว!”
แขกบนชั้นสองกระซิบกระซาบกัน เห็นได้ชัดว่ารู้จักกลุ่มหนุ่มสาวนี้ จึงพากันประหลาดใจยิ่ง
เฉินซีชำเลืองมองอีกฝ่ายอย่างไม่ใส่ใจ เมื่อเห็นว่าพวกเขาเป็นเพียงกลุ่มหนุ่มสาวเซียนสวรรค์ เขาจึงถอนสายตากลับไป จมสู่ห้วงความคิดอีกครั้ง
กลุ่มชายสามหญิงหนึ่งนี้ล้วนมีอำนาจกฎ พวกเขานับว่าโดดเด่นในหมู่อัจฉริยะ แต่ในความคิดของเฉินซี แม้จะอยู่ในเกณฑ์ดีแต่ไม่ควรค่าแก่การจดจำ
ไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา คนกลุ่มนั้นก็นั่งลง พวกเขาสนทนาเสียงดัง สร้างความสนใจให้กับผู้คนรอบข้าง กลายเป็นที่จับตามองของทุกคน
ท่ามกลางคนเหล่านี้ ชายหนุ่มผู้มีผมสีน้ำตาลนั่งอยู่ตรงกลาง ผิวเรียบเนียน ดวงตาเรียวสีแดงเพลิง กลิ่นอายแข็งแกร่งเย็นชากระจายทั่วทั้งร่าง ทุกคนที่อยู่รอบตัวมองเขาด้วยความเคารพ
“พี่จ้าวเฉิง เรียกข้ามาที่ในครั้งนี้ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรหรือ?” หลังจากทักทายแล้ว ชายหนุ่มคนหนึ่งอดที่จะถามไม่ได้
ทุกคนตกอยู่ในความเงียบเช่นกัน สายตามองชายหนุ่มผมสีน้ำตาล
ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลนามจ้าวเฉิงได้ยินคำถามดังกล่าว คิ้วหนาขมวดทันพลัน “พวกเจ้ายังไม่รู้อีกหรือ? วันนี้มีชื่อแปลกประหลาดปรากฏขึ้นบนกำแพงลอยแห่งแสง ทั้งอันดับยังเหนือกว่าศิษย์พี่หรานจิงอีก หากจำไม่ผิด เด็กคนนั้นน่าจะเป็นอาชญากรมีค่าหัวของตำหนักราชันเซียน”
“เจ้าหมายถึงเฉินซีคนนั้นหรือ?”
ผู้หญิงที่นั่งด้านข้างเอ่ยถาม นางสวมชุดสีน้ำเงิน รูปร่างเร่าร้อนยวนกาย คิ้วเรียวงาม ริมฝีปากอวบอิ่ม เครื่องหน้างดงาม ชื่อของนางคือเหริ่นเยว่เอ๋อร์ นางมาจากตระกูลเหริ่นแห่งเมืองรัศมีเมฆา
“ใช่แล้ว!”
จ้าวเฉิงพยักหน้า สีหน้าเย็นชาขึ้น “เหอะ เจ้าโจรนั่นเพิ่งก้าวเข้าสู่ภพเซียน แต่กลับกล้าก่อปัญหาในภพเซียน ข้าได้ยินมาว่าเขาปรากฏตัวในเมืองรัศมีเมฆา ตอนนี้เป็นโอกาสดีที่จะจับกุมเขา!”
“จ้าวเฉิง เจ้าเรียกพวกข้ามา เพื่อจะให้ช่วยจับเฉินซีอย่างนั้นหรือ?”
อีกคนกล่าวด้วยความประหลาดใจ “เขาสังหารเซียนลึกลับได้เชียวนะ ตอนนี้อยู่อันดับที่หนึ่งร้อยสามสิบเจ็ดในเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีป เหนือกว่าอันดับของข้าอีก ถ้าพวกเรา…”
ยังไม่ทันได้กล่าวจนจบ กลับถูกจ้าวเฉิงชักสีหน้าใส่เสียก่อน “กัวอวี่ ถ้าเจ้าไม่กล้า ก็จงไปเสียตอนนี้!”
สีหน้าของกัวอวี่เปลี่ยนไป เขาอับอายเล็กน้อย
เหริ่นเยว่เอ๋อร์รีบเกลี้ยกล่อมจากด้านข้าง “เอาล่ะ ในเมื่อศิษย์พี่จ้าวเฉิงกล่าวเช่นนี้ แสดงว่าต้องเตรียมการมาดีอยู่แล้ว ทำไมไม่ฟังแผนการของเขาก่อน แล้วค่อยตัดสินใจทีหลังล่ะ”
กัวอวี่พ่นลมออกจมูก และตัดสินใจรอฟัง
สีหน้าของจ้าวเฉิงดีขึ้น เขากวาดมองรอบข้าง กล่าวว่า “ข้าจ้าวเฉิงแห่งนิกายรัศมีเมฆา สหายกับข้ามีเรื่องสำคัญจะต้องสนทนากัน จึงอยากขอจองชั้นสองของภัตตาคารนี้ ทุกท่าน โปรดออกไปตอนนี้ ค่าอาหารทั้งหมดข้าจะออกให้เอง”
เมื่อได้ยินดังนี้ แขกทุกคนบนชั้นสองลุกขึ้นคนแล้วคนเล่า ก่อนออกไปอย่างว่าง่าย หลายคนทักทายจ้าวเฉิง ไม่ได้รู้สึกอึดอัดใจแต่อย่างใด
ผ่านไปไม่นาน ทั่วทั้งชั้นสองว่างเปล่า นอกจากพวกจ้าวเฉิง แขกส่วนใหญ่กลับไปหมดแล้ว เว้นแต่ที่มุมหนึ่งของหน้าต่าง เฉินซียังคงนั่งอยู่ตรงนั้น เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง