บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 1036 บทสอบเต๋าแห่งยันต์อักขระ
บทที่ 1036 บทสอบเต๋าแห่งยันต์อักขระ
บทที่ 1036 บทสอบเต๋าแห่งยันต์อักขระ
ภายในห้องส่วนตัว ปรมาจารย์อวี๋ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วกล่าวว่า “สมบัติล้ำค่าหายากอย่างหยกเทวะวิญญาณครามไม่อาจใช้ศิลาอมตะประเมินได้ หากข้าเดาไม่ผิด คุณชายคงไม่ได้นำมาแลกกับศิลาอมตะสินะ”
เฉินซีพยักหน้าตอบ “ถูกต้อง”
แน่นอนว่าเขาไม่ได้นำมันมาแลกศิลาอมตะ และหากไม่เกิดเหตุอะไรขึ้นก็คงไม่นำหยกเทวะวิญญาณครามมาขายเช่นนี้ แต่ในเมื่อมาถึงขนาดนี้แล้วชายหนุ่มก็มิอาจถอยได้อีกแล้ว
“ข้าต้องการวัตถุดิบเซียนทั้งหมดนี้” เขาพูดแล้วก็หยิบพู่กันพร้อมกระดาษขึ้นเขียนรายชื่อวัตถุดิบเซียน จากนั้นส่งให้ปรมาจารย์อวี๋
ทองกลืนวิญญาณ วารีเพลิงเยือกแข็ง ไผ่จุดเหลือง… ปรมาจารย์อวี๋กวาดตาดูรายการของ คิ้วสีขาวเลิกขึ้นสูง “ศาลาเซียนคลื่นทองคำมีวัตถุดิบเซียนขั้นสูงทั้งสิบหกอย่างนี้แน่นอน แต่จำนวนที่ขอมากเกินไปหน่อย”
พูดจบคิ้วขาวก็มุ่นเข้าหากัน เห็นได้ชัดว่าชายชรารู้สึกถึงความต้องการเฉินซีนั้นมากเกินไป
เฉินซีกลับคลี่ยิ้มแน่วแน่ “ข้าเชื่อว่ามูลค่าของหยกเทวะวิญญาณครามชิ้นนี้มากกว่าวัตถุดิบเซียนมากนัก ของอย่างหนึ่งใช้เงินซื้อได้ อีกอย่างต้องมีโชคถึงได้มา หากจะให้พูดเปรียบกัน ราคาที่ข้าร้องขอนับว่าต่ำมากแล้ว”
พูดแล้วเขาก็คว้าพู่กันมาเขียนรายการวัตถุดิบเซียนอีกกว่าหนึ่งร้อยอย่างแล้วส่งให้เพิ่ม “หากเพิ่มของพวกนี้ไปถึงยิ่งยุติธรรมมากขึ้น”
จริง ๆ แล้วเขาไม่รู้ราคาตลาดของหยกเทวะวิญญาณคราม แต่ยึดมั่นในกฎหลักข้อหนึ่งนั่นก็คือ หยกเทวะวิญญาณครามเป็นสมบัติล้ำค่าหายากที่ไม่มีขายในตลาด ดังนั้นราคาจึงถูกกำหนดโดยขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้ซื้อ
ปรมาจารย์อวี๋ยื่นมือไปรับกระดาษอีกแผ่น พออ่านแล้วมุมปากถึงกลับกระตุก พลางเอ่ยด้วยเสียงไม่พอใจเล็กน้อย “เจ้าหนู จะมากเกินไปแล้วนะ”
เฉินซีถอนหายใจ “เช่นนั้นข้าคงได้แต่เก็บหยกเทวะวิญญาณครามชิ้นนี้กลับไปเสียแล้ว”
เขาพูดจบก็คิดจะเก็บของกลับ แต่ปรมาจารย์อวี๋รีบเอ่ยปากหยุดเขาไว้ “เอาล่ะ ๆ ราคาเป็นไปตามที่เจ้าขอ”
เฉินซียิ้มและนั่งลงตามเดิมราวกับคาดเดาทุกอย่างเอาไว้แล้ว
ปรมาจารย์อวี๋ตวัดสายตามอง “สหายน้อย หากไม่ใช่ว่าศาลาเซียนคลื่นทองคำของข้าต้องการสมบัติชิ้นนี้เป็นการด่วน เจ้ามาขอราคาเช่นนี้คงถูกเตะออกไปนานแล้ว!”
เฉินซีป้องมือเอ่ยเสียงจริงจัง “ขอบคุณผู้อาวุโสที่เมตตา”
ปรมาจารย์อวี๋จึงคลายสีหน้าลง ตาจ้องหยกเทวะวิญญาณครามในมือนิ่ง จากนั้นเอ่ยเหมือนกำลังตกอยู่ในภวังค์ “เจ้ามีหยกเทวะวิญญาณครามอยู่มากกว่านี้ใช่หรือไม่?”
เฉินซียังไม่ทันตอบคำถาม เจ้าตัวก็โบกมือกล่าวว่า “ไม่ต้องอธิบาย ข้าเพียงแต่หวังว่าหากเจ้าคิดจะขายเจ้านี่อีก ขอให้มาที่ศาลาเซียนคลื่นทองคำของข้า เรื่องราคาเราตกลงกันได้”
เฉินซีพยักหน้ากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ย่อมได้”
ชายหนุ่มรู้สึกพอใจอยู่มาก เพราะสามารถแลกหยกเทวะวิญญาณครามขนาดเท่าฝ่ามือกับวัตถุดิบเซียนเกือบทั้งหมดที่ต้องใช้ทำยันต์ศัสตราได้สำเร็จ นับว่าตัวเขาเองก็คาดไม่ถึงเช่นกัน
แสดงให้เห็นว่ามูลค่าของหยกเทวะวิญญาณครามนั้นสูงมากจนน่าตกใจ ไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถนำมาแลกกับวัตถุดิบเซียนจำนวนเท่านี้ได้ อย่างไรก็ตามนี่คือศาลาเซียนคลื่นทองคำ หากทำแล้วขาดทุนพวกเขาคงไม่ทำ
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
เป็นตอนนั้นเองที่มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
ปรมาจารย์อวี๋ขมวดคิ้วไม่พอใจ นี่เป็นห้องส่วนตัวของตน การเข้ามารบกวนระหว่างกำลังทำการแลกเปลี่ยนถือว่าเป็นเรื่องต้องห้าม
ถึงแม้จะไม่พอใจอย่างไร ก็ยังโบกแขนเสื้อเพื่อเปิดประตูนั่นโดยไร้เสียง
ชายวัยกลางคนร่างสูงดูภูมิฐานในชุดปักยืนอยู่หน้าประตู คิ้วขมวดมุ่น สีหน้าดูเป็นกังวลเล็กน้อย ทว่าเห็นประตูเปิด สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นดีใจทันที แต่เมื่อสังเกตเห็นใบหน้าบึ้งตึงของปรมาจารย์อวี๋ เขาก็เผยสีหน้าอับอายออกมาแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ปรมาจารย์อวี๋ ได้ยินว่ามีลูกค้ามาขายหยกเทวะวิญญาณครามหรือขอรับ?”
ระหว่างที่พูดก็เดินเข้ามาภายในห้องส่วนตัว สายตามาหยุดอยู่ที่หินหยกส่องประกายบนโต๊ะ เขาพลันรู้สึกตื่นเต้น ก้าวเท้ายาวเข้ามาคว้าหยกเทวะวิญญาณครามไว้ ก่อนจะหัวเราะลั่น “มีสมบัตินี่แล้ว มีหรือบุตรชายของข้าต้องห่วงว่าจะทำภารกิจสำคัญไม่สำเร็จ? ปรมาจารย์อวี๋ ข้าขอนำสมบัตินี้ไปใช้ก่อน จะมาชดใช้ในภายหลัง”
พูดจบก็จรจากไป ตั้งแต่เข้ามาจนจากไปใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วอึดใจเท่านั้น รีบมารีบไปดูรีบร้อนเสียจริง
เฉินซีมุ่นคิ้วเข้าหากัน แต่เมื่อเห็นว่าปรมาจารย์อวี๋ไม่ได้ยับยั้งการกระทำของชายคนดังกล่าว เขาจึงได้แต่นั่งมองเงียบ ๆ
“ไอ้หยา เห็นหรือไม่? สมบัติล้ำค่าอีกชิ้นกำลังจะถูกทำลายอีกแล้ว น่าเสียดาย! น่าเสียดายจริง!” ปรมาจารย์อวี๋ส่ายหน้าถอนหายใจพลางกลับมานั่ง
เฉินซีจึงอดถามไม่ได้ “เขาเป็นใครหรือ? เหตุใดจึงต้องใช้วัตถุดิบเซียนระดับสูงสุดเร่งด่วนปานนี้? หรือจะนำไปกลั่นสมบัติอมตะระดับวีรบุรุษ?”
“เขาน่ะหรือ? เป็นผู้ดูแลของศาลาเซียนคลื่นทองคำ อู๋หยวนอย่างไรเล่า” ปรมาจารย์อวี๋มองเฉินซีด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าถอนหายใจอีกครั้ง “ไม่ได้เอาไปกลั่นสมบัติอมตะอะไรหรอก แต่เป็นวัตถุดิบในการสร้างยันต์ของบุตรชายเขา”
การสร้างยันต์? เฉินซีครุ่นคิด เหตุผลที่เขาไม่ค่อยอยากขายหยกเทวะวิญญาณครามเป็นเพราะนอกจากจะสามารถนำไปสร้างสมบัติอมตะระดับวีรบุรุษได้แล้ว หยกเทวะวิญญาณครามยังนำไปใช้เป็นวัตถุดิบชั้นยอดในการสร้างยันต์เทวะได้อีกด้วย
“น่าเสียดายที่ถึงแม้อู๋ซวินจะคลั่งไคล้เต๋าแห่งยันต์อักขระมาก แต่สุดท้ายก็ไม่มีอาจารย์คอยชี้แนะ ดังนั้นเต๋าแห่งยันต์อักขระของเขาจึงยังไม่ถึงขั้นปรมาจารย์ ดังนั้นการจะสร้างยันต์สวรรค์นั้นพูดง่ายแต่ทำยาก” ปรมาจารย์อวี๋ถอนหายใจซ้ำ ๆ
“ในเมื่อเป็นการสร้างยันต์อักขระ เขาก็ไม่ควรดูประหม่าเช่นนั้นนี่นา?” เฉินซีขมวดคิ้ว ด้วยรู้ดีว่าการขาดความมั่นคงเป็นสิ่งต้องห้ามในการสร้างยันต์ แต่ดูจากสีหน้าอู๋หยวนที่เต็มไปด้วยความกังวลเมื่อก่อนหน้านี้แล้ว ไม่เห็นความสุขุมแฝงอยู่แม้แต่นิด
แม้บุตรชายจะเป็นผู้สร้างยันต์ แต่จากสภาพจิตใจอู๋หยวนเมื่อครู่ เฉินซีก็รู้แล้วว่าตัวบุตรชายเองก็คงไม่ค่อยสุขุมเท่าไหร่
“สหายน้อยผู้นั้นกำลังได้รับบททดสอบที่เกี่ยวพันถึงอนาคต” ปรมาจารย์อวี๋เอ่ยขึ้นเสียงคลุมเครือก่อนจะลุกขึ้น “คุณชายโปรดรอสักครู่ ข้าจะส่งคนไปเตรียมวัตถุดิบเซียนทั้งหมดให้”
ว่าแล้วเขาก็เดินออกไปจาก ทิ้งเฉินซีไว้เพียงลำพัง
“บททดสอบการสร้างยันต์หรือ? น่าสนใจดีนิ” เฉินซียิ้มก่อนเก็บความคิดตน ก่อนจะนั่งนิ่ง ๆ คิดถึงสิ่งที่ได้เห็นและได้ยินในโถงแลกเปลี่ยนสมบัติก่อนหน้านี้
หากสัญชาตญาณของเขาไม่ผิดพลาด ชายวัยกลางคนในชุดสีเทาก็คงเป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนลึกลับ ผู้มีพลังบ่มเพาะไม่ต่ำกว่าขอบเขตเซียนลึกลับขั้นต้น ชายคนนั้นลอบประเมินตน คงไม่ได้มองด้วยเจตนาดีเป็นแน่
ส่วนชายหนุ่มสองคนที่อยู่ด้านข้างชายชุดเทาอยู่เพียงขอบเขตเซียนสวรรค์ ไม่จำเป็นต้องใส่ใจนัก
พวกเขาเป็นคนจากตำหนักราชันเซียนหรือ? ดูท่าสถานการณ์จะร้ายแรงกว่าที่คาด ไว้เขากลั่นพลังแห่งกฎจากเต๋ารู้แจ้งได้เมื่อใด ต้องรีบออกจากทวีปสันติบูรพาโดยเร็วที่สุด… เฉินซีตกลงสู่ภวังค์ความคิด
ผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ประตูห้องก็เปิดออกอีกครั้ง แต่คราวนี้มีคนเข้ามาสองคน คนหนึ่งคือปรมาจารย์อวี๋ อีกคนหนึ่งคือผู้ดูแลศาลาเซียนคลื่นทองคำนามอู๋หยวน
“คุณชาย ขอถามได้หรือไม่ว่าท่านยังมีหยกเทวะวิญญาณครามอยู่อีกหรือเปล่า แจ้งราคามาได้เลย ข้ายินดีซื้อทั้งหมดเอง” ทันทีที่เดินเข้ามา อู๋หยวนจับจ้องไปทางเฉินซีก่อนจะป้องมือเอ่ยคำ
แม้น้ำเสียงจะนิ่งสงบ แต่ก็ยังเจือแววประหม่าอยู่ไม่น้อย
“คุณชาย หากเป็นไปได้ก็ช่วยสงเคราะห์เขาด้วยเถอะ การทดสอบครั้งนี้มีผลต่ออนาคตของบุตรชายเขา เป็นเรื่องสำคัญยิ่ง ไม่เช่นนั้นคงไม่มารบกวนคุณชายเช่นนี้” ปรมาจารย์อวี๋เอ่ยสมทบ
“ถูกต้อง ตราบเท่าที่คุณชายเมตตา ข้าจะยอมทำตามข้อตกลงทุกอย่าง!” อู๋หยวนกัดฟันเอ่ย ในฐานะผู้ดูแลศาลาเซียนคลื่นทองคำ เขาย่อมกล้าพูดเช่นนี้ออกมาอยู่แล้ว
เฉินซีได้ยินแล้วสนใจ “ทุกอย่างเลยหรือ?”
อู๋หยวนได้ยินจึงรู้ว่าตนยังพอมีโอกาส “แน่นอน หากเป็นสมบัติที่ศาลาเซียนคลื่นทองคำครอบครองอยู่ คุณชายสามารถเลือกได้ตามใจชอบ”
เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ข้ามีหยกเทวะวิญญาณครามอยู่อีกชิ้นก็จริงแต่ว่า…”
“เยี่ยม ดียิ่งนัก!” เฉินซีพูดยังไม่ทันจบ อู๋หยวนก็เผยสีหน้ายินดีปรีดา เดินเข้ามาดึงแขนเฉินซีเสียแล้ว จากนั้นลากเขาออกไปจากห้อง “คุณชาย เราเดินไปคุยไปเถอะ เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว”
เฉินซีตกใจอยู่บ้าง แต่นอกจากสีหน้าดีใจแล้ว ก็ไม่มีสีหน้าผิดปกติอื่นใดอีก จึงถอนหายใจโล่งอกออกมา แม้จะยังรู้สึกระแวงอยู่ในใจ
โชคดีที่ระหว่างทางไม่เกิดเหตุอันใดขึ้น เฉินซีเดินตามอู๋หยวนไปไม่นาน ก็มาถึงห้องโถงขนาดใหญ่และงดงามแห่งหนึ่ง
ภายในห้องโถงว่างเปล่า ส่องสว่าง และยิ่งใหญ่ มีเพียงโต๊ะที่สร้างจากผลึกหินอยู่ตรงกลางเพียงตัวเดียว ด้านหลังโต๊ะคือชายหนุ่มชุดขาวคนหนึ่ง
เรือนผมยาวปล่อยสยายเคล้าไหล่ทั้งสองข้าง มีใบหน้าค่อนข้างหล่อเหลา ทว่ากลับมีสีหน้าตึงเครียด ชายคนนั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้ เหม่อมองอากาศธาตุด้วยสายตาว่างเปล่า เหมือนกำลังตกอยู่ในภวังค์
ณ ที่นั่งตำแหน่งเจ้าภาพภายในห้องโถงคือ ชายชราท่าทางร่วงโรยในชุดสีเขียวมรกตและสวมหมวกสีดำ ที่สีหน้าไร้อารมณ์กำลังนั่งหลับตาอยู่ ถึงแม้จะไม่ได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใด แต่กลับแผ่กลิ่นอายอันน่าหวั่นเกรงออกมา
บรรยากาศภายในห้องโถงดูกดดันเป็นอย่างยิ่ง
“ท่านพ่อมาแล้ว ท่านนำหยกเทวะวิญญาณครามมาด้วยหรือไม่?” ชายหนุ่มในชุดขาวได้ยินเสียงฝีเท้าก็ผุดลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล นัยน์ตาเต็มไปด้วยเส้นสีแดงเลือด หว่างคิ้วเห็นถึงความเหนื่อยล้า
เขาก็คือบุตรชายของอู๋หยวน อู๋ซวิน
“นำมาแล้ว ๆ เจ้าสงบจิตสงบใจแล้วเตรียมตัวเถิด นี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว อย่างไรก็ต้องคว้าไว้ให้ได้” พูดจบอู๋หยวนก็หันมามองเฉินซี “คุณชาย รบกวนด้วย”
เฉินซีพยักหน้าแล้วหยิบหยกเทวะวิญญาณครามขนาดเท่าฝ่ามืออีกก้อนออกมา “ผู้ดูแลอู๋ อย่าลืมข้อตกลงที่สัญญากันไว้”
อู๋หยวนพยักหน้าซ้ำ ๆ แล้วส่งหยกเทวะวิญญาณครามให้อู๋ซวิน จากนั้นก็ป้องมือทำความเคารพชายชราที่นั่งอยู่ตำแหน่งเจ้าภาพ “ผู้อาวุโสเสวียนอวิ๋น รบกวนท่านแล้ว”
เปลือกตาของชายชรานามเสวียนอวิ๋นปิดขึ้น เผยให้เห็นดวงตาส่องประกายไปด้วยแววศักดิ์สิทธิ์ เขาเอ่ยเสียงเรียบ “หากครั้งนี้ทำไม่สำเร็จ อย่าโทษข้าก็แล้วกัน”
อู๋หยวนรีบพยักหน้าบอก “ข้าเข้าใจ ข้าเข้าใจดี”
“เริ่มกันเลย” เสวียนอวิ๋นโบกมือ ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง
อู๋ซวินในชุดขาวสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะนั่งหลังเหยียดตรงขึ้น เขาวางหยกเทวะวิญญาณครามไว้ในระดับสายตา ก่อนจะหยิบพู่กันยันต์อักขระขึ้นมา สะบัดแปรงขนหมาป่า วาดอักษรลงบนหินหยกอย่างขะมักเขม้น
ซู่! ซู่!
แสงศักดิ์สิทธิ์แผ่ออกมาจากปลายพู่กัน แปรเปลี่ยนเป็นอักขระยันต์อันล้ำลึก สลักลงบนพื้นผิวเรียบเนียนของหยกเทวะวิญญาณคราม
เมื่อเห็นดังนั้น เฉินซีจึงเดินเข้าไปด้านหน้าและดูการการกระทำของอู๋ซวินอย่างละเอียด
—————————————