บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 1048 การแลกเปลี่ยน
บทที่ 1048 การแลกเปลี่ยน
บทที่ 1048 การแลกเปลี่ยน
ดินแดนจักรพรรดิยันต์อักขระ
ยันต์อักขระต้องห้ามทั้งเจ็ด
นับเป็นมาตรฐานที่แท้จริงของการทดสอบปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระ
เฉินซีที่ได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรกอดสงสัยไม่ได้ แต่ก่อนจะได้ถามเพิ่ม ชายหนุ่มพลันได้ยินเสียงโห่ร้องยินดีดังขึ้นทั่วทั้งห้องโถง กลบบทสนทนาของเขากับเถิงหลานไปจนหมด
“สามสิบเจ็ดลมหายใจ!”
“สวรรค์โปรด! เขาสร้างยันต์ดาราเริงระบำขึ้นมาในระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้ได้ ความรอบรู้ในเต๋าแห่งยันต์อักขระของคุณชายอู๋ถึงขั้นปราชญ์มานานแล้วเป็นแน่”
“ในสายตาข้า ความรอบรู้ของคุณชายอู๋นั้นสูงกว่าปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระธรรมดาเสียอีก เพราะปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระธรรมดาจะสามารถทำเช่นนี้ภายในสามสิบเจ็ดลมหายใจได้อย่างไร?”
“ใช่แล้ว ที่สำคัญนี่คือยันต์ดาราเริงระบำของเขา ธารดาราทั้งสามสิบหก นับว่าแข็งแกร่งกว่าปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระธรรมดามาก”
บนสนามต่อสู้ อู๋อี้ฟ่านยืนขึ้นคลี่ยิ้มให้ทุกคนและไม่พูดอะไร
เพราะเสียงโห่ร้อง เสียงตกใจ และเสียงชื่นชมของทุกคนเป็นเครื่องพิสูจน์ผลลัพธ์แล้ว
เฉินซีเงยหน้าขึ้นและเห็นว่าภายใต้แสงเรืองรองของโคมไฟวังขนาดเท่าฝ่ามือและยันต์อักขระเซียนสีเงินเหลือบขาวลอยอยู่กลางอากาศเหนือโต๊ะ พื้นผิวมันส่องแสงแห่งธารดาราจำนวนนับไม่ถ้วน มันพลิ้วไหวคล้ายมีดาวพร่างพราวอยู่ภายใน ดูลึกลับลึกล้ำยิ่งนัก
เมื่อลองคิดดูดี ๆ จำนวนธารดาราก็มีจำนวนสามสิบหกพอดี
เฉินซีชะงัก ให้ความรู้สึกคล้ายกับกลิ่นอายยันต์อักขระเล็กน้อย
ข้าเคยเห็นยันต์อักขระนี้ที่ไหนกันนะ?
ภาพหลากหลายวาดผ่านในใจเขาก่อนจะหยุดอยู่ ณ ชั้นที่เก้าก่อนจะถึงชั้นสูงสุดของเจดีย์ต้าเหยี่ยนแห่งพิภพยันต์อักขระ
ใช่แล้ว มันคล้ายกับแผนภาพค่ายกลยันต์อักขระที่ถูกทิ้งไว้บนขั้นที่เก้า… เฉินซีพลันเข้าใจขึ้นมา แต่ก็ยังสับสนอยู่บ้าง
เพราะเมื่อเทียบกับแผนภาพค่ายกลยันต์อักขระที่จดจำได้ ดาราเริงระบำของอู๋อี้ฟ่านนั้นเรียบง่ายกว่ามาก…
“สามสิบเจ็ดลมหายใจ เจ้าหนูนี่เตรียมตัวมาดี” เถิงหลานมีสีหน้าหนักใจ รู้สึกปวดหัวอยู่เล็กน้อย
“หมายความว่าอย่างไร?” เฉินซีถาม
“หากเป็นเรื่องเวลา ศิษย์ตระกูลเหลียงก็สามารถต่อสู้กับเขาได้อยู่ แต่หากเป็นเรื่องคุณภาพ ก็ยากที่จะมีใครสามารถสร้างยันต์ให้มีธารดาราทั้งสามสิบหกได้” เถิงหลานขมวดคิ้วมุ่น “เฉินซี เจ้าไม่เข้าใจ ปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระธรรมดาที่สามารถสร้างปรากฏการณ์สิบสองธารดาราขึ้นได้ก็นับว่ามีพรสวรรค์ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว แต่เขากลับสามารถ… ให้ตายเถอะ คงต้องปวดหัวกันสักหน่อยแล้ว”
เฉินซียังสับสนอยู่บ้าง ตระกูลเหลียงก่อตั้งมายาวนาน ทั้งยังเป็นตระกูลมีชื่อเรื่องเต๋าแห่งยันต์อักขระ จะไม่มีปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระที่เก่งกว่าอู๋อี้ฟ่านเลยหรือ?
เถิงหลานเหมือนอ่านความคิดเฉินซีออก เขาส่ายหน้ากล่าวว่า “มีแต่ศิษย์รุ่นเยาว์เท่านั้นที่จะสามารถเข้าร่วมได้ หากผู้อาวุโสในตระกูลเข้ามายุ่งเกี่ยว ก็ไม่ต่างจากรังแกเด็ก ไร้ความยุติธรรม”
เฉินซีจึงเข้าใจ
ในขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่ ศิษย์ตระกูลเหลียงคนหนึ่งก็พุ่งขึ้นสู่สนามต่อสู้หมายจะทำการ ‘แลกเปลี่ยน’ กับอู๋อี้ฟ่าน
“เหลียงปิน! ไม่คิดเลยว่าเขาใจร้อนเยี่ยงนี้!”
“ได้ยินว่าในหมู่รุ่นเดียวกันของตระกูลเหลียง เหลียงปินมีเต๋าแห่งยันต์อักขระขั้นปราชญ์แล้ว มีความรอบรู้ลึกล้ำถึงขั้นที่นอกจากคุณหนูใหญ่เหลียงปิงก็ไม่มีใครทัดเทียมฝีมือได้อีก”
“ใช่แล้ว ได้ยินว่าเหลียงปินถูกส่งไปยังดินแดนลับเพื่อทำการร่ำเรียนเต๋าแห่งยันต์อักขระกับบรรพชนตระกูลเหลียงนี่ เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
“ฮ่า ๆ มีของดีให้ดูก็ดีแล้วมิใช่หรือไง?”
เมื่อทุกคนเห็นเหลียงปินในชุดสีเข้มซึ่งมีสีหน้าเย็นชายืนอยู่บนสนาม แขกทั้งหลายในห้องโถงก็พากันพูดคุยอย่างออกรส
เฉินซีเห็นดังนี้จึงถามว่า “ลุงหลาน เช่นนั้นคนนี้เป็นอย่างไร?”
“เหลียงปินเป็นคนมีความสามารถ พรสวรรค์ไม่เลว ตอนที่ขึ้นเป็นปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระเมื่อแปดปีก่อน เขาสามารถสร้างยันต์ดาราเริงระบำให้เกิดยี่สิบแปดธารดาราได้ ทั้งยังปิดด่านบ่มเพาะและร่ำเรียนมาอีกแปดปี ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเก่งกาจถึงเพียงไหนแล้ว” เถิงหลานคลายสีหน้าลงเล็กน้อยเมื่อเห็นเหลียงปินปรากฏตัวขึ้น ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งถึงเอ่ยออกมา
เฉินซีถอนหายใจแรง ๆ นี่คือทรัพยากรของตระกูลมีชื่อในเต๋าแห่งยันต์อักขระ สามารถพบเห็นปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระรุ่นเยาว์จำนวนมากได้ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ขุมพลังธรรมดาจะมี
ไม่นาน เหลียงปินก็เริ่มสร้างยันต์อักขระ สีหน้ายังคงมีสีหน้าสุขุมนุ่มลึกดังเดิม แต่ก็ไม่เหมือนกับอู๋อี้ฟ่าน เพราะถึงแม้การเคลื่อนไหวจะไม่ได้ลื่นไหลอะไรนัก แต่ก็มีกลิ่นอายเฉพาะตัวและรวดเร็วดั่งสายฟ้า
บรรยากาศภายในห้องโถงเริ่มเงียบลงอีกครั้ง สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่เหลียงปิน พากันนับเวลาอยู่ในใจ
อู๋อี้ฟ่านใช้สามสิบเจ็ดลมหายใจ แล้วเหลียงปินเล่า?
ทุกคนตั้งตารอคอยอย่างใจจดใจจ่อ
เฉินซีเองก็มองเหลียงปินด้วยสายตาสนใจเช่นกัน แต่ไม่นานก็ต้องส่ายหน้า
เถิงหลานที่ยืนอยู่ด้านข้างเฉินซีพลันเห็นอะไรบางอย่างเข้า จึงถามเสียงเบา “มีอะไรผิดปกติหรือ?”
เฉินซีคิดเล็กน้อยก่อนกล่าว “เหลียงปินไม่ได้ด้อยกว่าอู๋อี้ฟ่านในด้านไหนเลย แต่สภาวะจิตใจมีข้อบกพร่องอยู่จุดเดียว เขาถูกครอบงำด้วยความอยากเอาชนะ ทำให้ไม่อาจเข้าสู่สภาวะลึกล้ำแห่งการสร้างยันต์อักขระ ส่วนผลลัพธ์ข้าเองก็มิอาจรับปากได้”
ตามความคิดเห็นของเฉินซี แม้เหลียงปินจะทัดเทียมกับอู๋อี้ฟ่านในเรื่องความเร็ว แต่เรื่องคุณภาพด้อยกว่าอย่างแน่นอน
คงไม่เป็นการดีหากเขาบอกเรื่องนี้ให้เถิงหลานฟัง
แต่ถึงเขาไม่ได้บอกตรง ๆ เถิงหลานก็มีสีหน้าเคร่งเครียดทันที
เขาไม่กล้าเมินความคิดเห็นของเฉินซี เมื่อหลายปีก่อนในพิภพยันต์อักขระ เฉินซีเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถขึ้นสู่จุดสูงสุดของเจดีย์ต้าเหยี่ยนได้ ทั้งยังเป็นผู้สืบทอดเขาเทพพยากรณ์ แม้พลังบ่มเพาะจะไม่ได้เลิศหรู แต่สายตาและความรู้ความเข้าใจในเต๋าแห่งยันต์อักขระเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดเดาได้ เท่านี้ก็เหนือกว่าคนอื่นมากแล้ว
จากนั้นทุกอย่างก็เป็นไปตามที่เฉินซีคาดไว้ ในอึดใจที่สามสิบเจ็ดเหลียงปินก็สร้างยันต์ดาราเริงระบำได้สำเร็จ
เขามีความเร็วเทียบเท่ากับอู๋อี้ฟ่าน และได้รับเสียงร้องชื่นชมจากผู้ชมทั้งหลาย ศิษย์ตระกูลเหลียงบางคนยังร้องชื่นชมออกมาเช่นกัน
แต่พริบตาต่อมา เมื่อทุกคนได้เห็นยันต์อักขระของเหลียงปินชัดเต็มตา เสียงโห่ร้องชื่นชมทั้งหลายก็หายไป แทนที่ด้วยใบหน้าตึงเครียดเล็กน้อย
เพราะยันต์ดาราเริงระบำนั้นเต็มไปด้วยสามสิบห้าธารดาราล้อมรอบอยู่ แม้จะน้อยกว่ายันต์อักขระของอู๋อี้ฟ่านเพียงนิด แต่นิดในที่นี้ก็แปรเปลี่ยนผลลัพธ์ได้แล้ว
เหลียงปินแพ้!
ทุกคนตกตะลึงอยู่ชั่วหนึ่ง ไม่ช้าเสียงอื้ออึงก็ดังปะทุขึ้นไม่หยุด ทว่าคนตระกูลเหลียงกลับรู้สึกไม่เชื่อสายตาอยู่เล็กน้อย คล้ายไม่อาจยอมรับผลลัพธ์เช่นนี้ได้
อู๋อี้ฟ่านหัวเราะไร้เสียงเมื่อเห็นภาพนี้ เขาคลี่ยิ้มบางถ่อมตัว แต่ความถ่อมตัวนี้กลับเต็มไปด้วยความมั่นใจและความภาคภูมิใจประหนึ่งได้หัวเราะออกมาดังลั่น “สหายเต๋าเหลียงปิน ขอบคุณที่ชี้แนะ เช่นนี้จะนับว่าข้ามีชัยเหนือกว่าเล็กน้อยหรือไม่?”
เหลียงปินยืนขึ้นด้วยใบหน้าว่างเปล่า เขาไม่พูดอะไรแล้วหันหลังเดินออกไปจากสนามต่อสู้
“ฮ่า ๆ! สหายเต๋าเหลียงปินเป็นผู้ความรู้ลึกล้ำในเต๋าแห่งยันต์อักขระยิ่ง แต่ข้ารู้สึกว่านั่นเป็นเพียงความพ่ายแพ้ครั้งหนึ่งเท่านั้น ทั้งยังเป็นเพียงการแลกเปลี่ยนความรู้ ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมากหรอก หากข้าล่วงเกินอะไรไปก็หวังว่าจะอภัยให้กันได้” อู๋อี้ฟ่านยิ้มบางอย่างใจกว้าง ท่าทางเช่นนี้ทำให้แขกหลายคนในห้องโถงชื่นชมเขากันไม่หยุด ไม่เย่อหยิ่งในชัยชนะหรือครั่นคร้ามต่อความพ่ายแพ้ สมแล้วที่เป็นยอดอัจฉริยะจากทวีปนภาเหมันต์
ตอนนี้ทุกสายตาพากันมองไปทางยังข้างห้องโถง ล้วนแสดงอารมณ์สื่อความหมายที่ต่างกัน
บนเก้าอี้นุ่มข้างห้องโถง เหลียงปิงมีสีหน้าขรึมลงเล็กน้อย ก่อนจะสำรวมท่าทีลุกขึ้น ทำท่าทางสื่อให้แขกทุกท่านเงียบเสียงลงก่อน
“สภาพจิตใจของลูกพี่ลูกน้องข้ายังด้อยกว่า ทั้งยังอยากเอาชนะเหนือผู้อื่น ดังนั้นจึงพ่ายแพ้ไปอย่างยุติธรรมแล้ว ต้องขอบคุณคุณชายอู๋ที่ชี้แนะ ไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถพัฒนาเต๋าแห่งยันต์อักขระได้อีก” ริมฝีปากแดงของเหลียงปิงเผยอเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มงดงาม “ฉะนั้นต้องขอบคุณคุณชายอู๋ที่ช่วยแสดงฝีมือการสร้างยันต์อักขระให้ทุกคนได้เห็นในวันนี้”
ว่าแล้วนางก็ปรบมือเบา ๆ ก่อนที่แขกทั้งหลายจะเริ่มปรบมือไปพร้อมกัน ได้ยินเสียงปรบมือดังลั่นสะท้อนก้องไปทั่ว
ภายในฝูงชน เฉินซีได้เห็นภาพนี้ก็ถอนหายใจออกมา เหลียงปิงคู่ควรกับการเป็นผู้สืบทอดตระกูลเหลียงแล้ว นางสามารถรับมือกับความอับอายได้ด้วยคำไม่กี่คำ ทั้งยังดึงความสนใจผู้คนไปจุดอื่นได้โดยง่าย เผยให้เห็นความสง่างามและท่าทางของผู้เป็นผู้นำตระกูลอยู่เล็กน้อย
อู๋อี้ฟ่านคลี่ยิ้มเมื่อได้รับเสียงปรบมือจากทุกคน จากนั้นป้องมือให้ ก่อนจะหยุดสายตาที่เหลียงปิง “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้าหรอก ได้ยินว่าคุณหนูเหลียงปิงมีความรอบรู้เรื่องเต๋าแห่งยันต์อักขระมากกว่าสหายเต๋าเหลียงปินด้วยซ้ำ เราไม่ลองมาแลกเปลี่ยนกันบ้างเล่า? ข้าคิดว่าทุกคนที่นี่คงยินดีเป็นแน่ที่จะได้เห็นท่าทางสง่างามของคุณหนูเหลียงปิง”
พูดจบ ทั่วทั้งห้องโถงก็เงียบลงอีกครั้ง แขกทั้งหลายมีสีหน้าแตกต่างกันไป ส่วนเถิงหลานหน้าคว่ำ นัยน์ตาเย็นชายิ่ง
กระทำเช่นนี้นับว่าเป็นการหาเรื่องกันเห็น ๆ
เฉินซีเองก็ขมวดคิ้วเช่นกัน พอเข้าใจได้ราง ๆ ว่าอู๋อี้ฟ่านไม่ได้มางานเลี้ยง แต่ตั้งใจมาหาเรื่องต่างหาก
ริมฝีปากแดงของเหลียงปิงก็เม้มกันเล็กน้อย นางไม่ตอบอะไร เมื่อสามารถระงับไฟโทสะไว้ได้ จึงส่งยิ้มและส่ายหน้ากลับไป “ช่างมันเถอะ เต๋าแห่งยันต์อักขระไม่ได้มีไว้เพื่อโอ้อวดฝีมือ ข้าไม่สนใจการแลกเปลี่ยนประเภทนี้หรอก”
ความนัยของนางคือเต๋าแห่งยันต์อักขระของนางไม่เหมือนกับของอู๋อี้ฟ่านที่เอาไว้ใช้อวดผู้อื่น นับว่ามีเจตนาดูถูกอยู่เล็กน้อย
อู๋อี้ฟ่านชะงักไป ก่อนถอนหายใจด้วยความเสียดายเล็กน้อย “ข้าเดินทางมาไกล เดิมทีคิดอยากเห็นความสามารถหาใครเทียมของตระกูลเหลียงที่เลื่องชื่อเรื่องเต๋าแห่งยันต์อักขระเสียหน่อย แต่ตอนนี้คงจะน่าเสียดายที่…”
น่าเสียดายที่อะไร?
ย่อมรู้สึกเสียดายที่หาคนมีฝีมือทัดเทียมมาแข่งกันไม่ได้ ความนัยคือตระกูลเหลียงนับเป็นตระกูลมีชื่อด้านเต๋าแห่งยันต์อักขระ แต่กลับไร้ผู้มีความสามารถ
เหลียงปิงเองเข้าใจความหมายนี้เช่นกัน สีหน้าจึงเข้มขึ้นเล็กน้อย นางสูดลมหายใจเข้าลึกและพยายามคงความสงบไว้ กำลังจะเอ่ยปากพูด
แต่เป็นตอนนั้นเองที่ได้ยินเสียงก้องกังวานออกมาจากฝูงชน “คุณหนูใหญ่พูดถูก เต๋าแห่งยันต์อักขระของนางไม่ได้มีเอาไว้โอ้อวด ไม่เช่นนั้นจะทำให้ฐานะและกิริยาด่างพร้อยได้ ในเมื่อคุณชายอู๋ยืนกรานเช่นนั้น ให้ข้าเป็นผู้แลกเปลี่ยนกับคุณชายอู๋เป็นอย่างไร?”