บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 1054 ดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้
บทที่ 1054 ดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้
บทที่ 1054 ดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้
พวกเฉินซีจากไปได้ไม่นาน ชายชราผู้ดูแลโถงวิญญาณยุทธ์พลันหัวเราะออกมาเสียงเบา สีหน้าไม่พอใจแปรเปลี่ยนเป็นพึงพอใจ
เขาค่อย ๆ เดินไปยังโต๊ะตัวที่นั่งเมื่อก่อนหน้า ก่อนจะหยิบผลึกหยกโปร่งแสงก้อนกลมเกลี้ยงออกมา พื้นผิวมันส่องประกายแสง มีรายชื่อเรียงรายอยู่บนนั้น มันก็คือกำแพงลอยแห่งแสงที่ถูกลดขนาดลงมานั่นเอง!
จักรพรรดิสิ่งประดิษฐ์เมื่อครั้งบรรพกาลสร้างกำแพงลอยแห่งแสง ส่วนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ก็แจกจ่ายป้ายคำสั่งวิญญาณยุทธ์ แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าป้ายคำสั่งวิญญาณยุทธ์เองก็มาจากฝีมือจักรพรรดิสิ่งประดิษฐ์เช่นกัน?
“หึ! อย่าคิดว่าจะปิดบังข้าได้!”
ชายชราพึมพำน้ำเสียงพึงพอใจ พริบตาต่อมาก็จ้องผลึกหยกในมือเขม็ง มีแสงกะพริบสีทองส่องประกายราวกับกำลังจะล้นออกมาเพียงไม่กี่อึดใจ
ชายชราหรี่ตาลงก่อนยกมือขึ้นปัดแสงสีทองออกไป จากนั้นอักษรแถวหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า เฉินซี ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นต้น อันดับที่สองร้อยสามสิบเก้า บนเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีปแห่งทวีปทักษิณา…
“ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นต้น? อันดับที่สองร้อยสามสิบเก้า?” ตัวอักษรบรรทัดนี้ทำเอาชายชราเกือบตาบอด เขาตกใจถึงขนาดผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก่อนจะเดินไปมาด้วยสีหน้าตกใจ
“อยู่แค่ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นต้น จะเป็นไปได้อย่างไรกัน… จะเป็นไปได้อย่างไร…?” ชายชราย่อมรู้ดีว่าชายหนุ่มอยู่เพียงขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นต้น แต่ที่ตกใจก็เพราะอันดับของชายหนุ่มผู้นั้นบนเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีปนับว่าสูงเกินไป
เมื่อรวมกับจิตต่อสู้ของเฉินซีที่ได้เห็นไปก่อนหน้า ก็ยิ่งทำให้ชายชราสะท้านใจเป็นอย่างยิ่ง
“ไม่คิดเลยว่าเวลาล่วงเลยไปหลายปี ข้าจะได้พบต้นกล้าชั้นยอดเช่นนี้… ” ไม่รู้ว่าต่อมาชายชรานึกอะไรออก จู่ ๆ ก็เดินไปปิดประตูโถงวิญญาณยุทธ์ ก่อนจะหันกลับมาแล้วเดินไปยังกำแพงด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ แล้วยกมือขึ้นกดบนกำแพงช้า ๆ ทำให้ปรากฏเป็นประตูบานหนึ่ง
ชายชราเดินก้าวเข้าไปอย่างไม่ลังเล
นี่คือห้องลับ มีเพียงค่ายกลหินโบราณตั้งอยู่ใจกลางห้องเท่านั้น เหมือนเป็นแท่นบูชายัญ คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นอายโบราณ
ชายชราจ้องค่ายกลหินโบราณอยู่นาน ก่อนจะกัดฟันแน่นแล้วพึมพำ “ดูท่าความโลภของข้าก็คงเปลี่ยนแปลงปัญหานี้ไม่ได้ ช่างมันเถอะ ข้าจะยอมให้เจ้าบัดซบหวังต้าวหลูได้ประโยชน์ในครั้งนี้ไปก็แล้วกัน!”
ว่าแล้วก็นำหยิบถุงเก็บของออกมาแล้วตบมันเบา ๆ ศิลาอมตะจำนวนมากไหลออกมาราวกับธารน้ำ ไหลเข้าไปสู่ค่ายกลหินโบราณ
ทั้งหมดนี้กินเวลายาวนานเกือบหนึ่งเค่อ อย่างน้อยก็ใส่ศิลาอมตะเข้าไปไม่น้อยกว่าแสนชิ้น ก่อนจะได้ยินเสียงหึ่งดังขึ้น ค่ายกลหินโบราณพลันปลดปล่อยพลังออกมาเหมือนตื่นจากการหลับใหล
“ข้าจ่ายไปตั้งมาก อย่างน้อยก็ต้องได้ประโยชน์กลับมาสักสิบเท่า…” ชายชราเลียริมฝีปากด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย จากนั้นก็จินตนาการภาพแล้วหัวเราะออกมา
ทันใดนั้น แท่นศิลาโบราณก็สั่นสะท้าน มีเสียงหนึ่งดังออกมา “เถี่ยชิวอวี้? หากมีเรื่องจะพูดก็บอกมาตามตรง ข้ากำลังร่ำเรียนอยู่ ให้เวลาเจ้าครึ่งเค่อเท่านั้น”
ช่างเป็นน้ำเสียงที่เย็นชาเหมือนเหล็กกระทบกัน ทั้งยังหนักหน่วง ชวนให้สัมผัสถึงพลังบางอย่างที่สลักลงกลางใจ
“หึ ๆ เพื่อนยาก ที่นี่มีหน่ออ่อนชั้นดี อยากฟังเรื่องของเขาไหมเล่า?” ชายชราหัวเราะ เอ่ยคำพูดอย่างไม่รีบร้อน
“อ้อ?” อีกคนตอบเพียงง่าย ๆ มาคำเดียว
“แต่เจ้าก็รู้ว่าข้าใช้ศิลาอมตะนับแสนเพื่อติดต่อเจ้า…”
ชายชราพูดยังไม่ทันจบก็ถูกขัดขึ้นมา “ว่ามาตามตรงเลยดีกว่า”
“ก็ได้ ให้ตายสิ เจ้านี่ยังอารมณ์ร้ายไม่เปลี่ยน ทำเหมือนข้าไปติดเงินเจ้าเสียอย่างนั้น” ชายชราไม่ติดใจที่ถูกขัดคำพูดหลายครั้งเลยสักนิด ยังคงแย้มยิ้มขณะกล่าว “ข้ารู้ว่าตั้งแต่เด็กน้อยหลิงชิงอู๋ถูกนักพรตเต๋านันเจียงพาตัวไปกว่าพันปีก่อนนั้น เจ้ารู้สึกขุ่นเคืองใจและมองหน้านักพรตเต๋านันเจียงไม่ติดมาโดยตลอด…”
“หากยังไม่เลิกไร้สาระข้าจะไปแล้วนะ!” อีกฝ่ายขัดชายชราขึ้นอีกครั้ง
ชายชราถึงกับใบหน้าแข็งค้าง ในที่สุดก็เริ่มรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาบ้าง “ไม่มีอะไรมาก วันนี้ได้เห็นชายหนุ่มคนหนึ่ง เรื่องพรสวรรค์ไม่ด้อยไปกว่าหกสุริยันอันเจิดจ้าเลยสักนิด หากเจ้าสนใจข้าสามารถแนะนำให้ได้ เจ้าเองก็รู้ว่าหาคนเช่นเด็กคนนี้ได้ยาก”
“หมายความว่าอย่างไร?” เสียงอีกฝ่ายคลายอารมณ์ลงอย่างเห็นได้ชัด เหมือนจะสนใจอยู่บ้าง
ชายชราย่อมจับสังเกตได้ ให้รู้สึกมีกำลังวังชาขึ้นมา หัวเราะพลางกล่าวว่า “ข้าต้องการสมบัติอมตะระดับวีรบุรุษ แน่นอนว่าเป็นสมบัติที่เจ้าได้มาจากสุสานเทพเจ้าเมื่อหลายปีก่อน เจ้าว่าอย่างไร? สมบัติอมตะกับอนาคตสุริยันอันเจิดจ้า เป็นข้อตกลงที่ไม่แย่เลยใช่ไหมเล่า?”
ชายชราทุบหน้าอกผอมแห้งและพูดอย่างภาคภูมิใจ “เพื่อนยาก ถึงตัวข้าเถี่ยชิวอวี้จะเป็นคนโลภ แต่ข้าเคยหลอกลวงเจ้าหรือ?”
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงดังโครมครามดังมาจากค่ายกลหินโบราณ
ชายชราชะงักไป “นี่ ยังอยู่หรือไม่?”
หลังจากถามไปนาน ค่ายกลหินก็ยังส่งเสียงดังออกมาไม่หยุด
ชายชราได้ยินแล้วก็เป็นกังวลจึงตะโกนถามว่า “หวังต้าวหลู ไอ้แก่บัดซบ! ตัดการติดต่อไปในจังหวะสำคัญเช่นนี้ได้อย่างไร สรุปยังอยู่หรือไม่?”
“ในสำนักเกิดเรื่องนิดหน่อย ข้าต้องไปจัดการ มีเวลาเมื่อไหร่ข้าจะติดต่อกลับไป” หลังจากผ่านไปนาน น้ำเสียงเยือกเย็นดั่งโลหะก็ดังออกมาอีกครั้ง
“เฮ้ย! เดี๋ยวก่อน! ขอเวลา…” ชายชราพูดยังไม่ทันจบ ค่ายกลหินโบราณก็ส่งแสงสว่างวาบ ก่อนกลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง
ชายชราใบหน้ากระตุกยิก ๆ เผยสีหน้าไม่น่ามองในทันใด ศิลาอมตะนับแสนของเขาหายไปเช่นนั้น… หายไปแล้ว…
ผ่านไปนานเขาก็กระโดดแล้วคำรามอย่างเกรี้ยวกราด “ไอ้บ้า! อาจารย์ในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋ามันบัดซบกันหมด! เพื่อนยาก เจ้าจะต้องเสียใจ เด็กคนนั้นได้เป็นสุริยันอันเจิดจ้าเมื่อไหร่อย่ามาร้องไห้ก็แล้วกัน!”
“ไม่เอาแล้ว! สาบานเลย! ถึงจะให้สมบัติอมตะระดับวีรบุรุษ ข้าก็จะไม่บอกแล้ว!”
…
ในเวลาเดียวกันนั้น ทวีปดาราวีรบุรุษ
ภายในศาลาเรียบง่ายสะอาดตาในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ชายวัยกลางคนร่างผอมสูงกำลังเดินไปตามเส้นทางคดเคี้ยว
คิ้วคมดั่งกระบี่ สายตาเย็นชา ทุกย่างก้าวเผยให้เห็นกลิ่นอายสูงส่งดุดัน
ศิษย์สวมชุดสีเขียววิ่งเหยาะ ๆ ตามหลังมาไม่ห่าง สีหน้าเรียบนิ่ง มีเพียงความเคารพให้อีกฝ่าย ทุกครั้งที่สายตาหยุดลงที่ร่างผอมสูงเบื้องหน้าก็ให้รู้สึกชื่นชมไม่ขาด
“จริงหรือ?” ชายวัยกลางคนร่างผอมถามขึ้นเหมือนอยากให้มั่นใจ
“เป็นความจริงขอรับ ข้าเห็นมาด้วยตาตนเองว่าบุตรชายคนโตซวนหยวน ซวนหยวนฉิงเฟิง และน้องสาวของเขาถูกอาจารย์เจียงนำตัวไปก่อนจะเข้าพบอาจารย์” ศิษย์ชุดเขียวรีบเอ่ย
“หึ นักพรตเต๋านันเจียงคิดเป็นปฏิปักษ์กับข้าจนถึงที่สุดโดยแท้ ตอนนั้นนางแย่งหลิงชิงอู๋ ตอนนี้ยังจะแย่งชิงองค์หญิงน้อยแห่งตระกูลซวนหยวนกับข้าอีก มันมากเกินไปแล้ว!” ชายวัยกลางคนร่างผอมเอ่ย ฝีเท้าเร่งรีบขึ้น เดิน ๆ อยู่ก็นึกถึงเรื่องเมื่อก่อนหน้าขึ้นมาแล้วพลันคิดว่า หรือตาแก่ขี้เหนียวนั่นจะเจอยอดอัจฉริยะหายากจริง ๆ ?
คิ้วเข้มคล้ายกระบี่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อยก่อนส่ายหน้า “หึ! ตาแก่นั่นคงอยากหาประโยชน์จากข้าน่ะสิ อัจฉริยะหรือ? จะมีอัจฉริยะในเมืองจตุรเทพที่ฝีมือทัดเทียมกับหกสุริยันอันเจิดจ้าได้หรือ?”
คิดได้ดังนี้จึงเอ่ยปากถามขึ้นมาสบาย ๆ ว่า “ใช่แล้ว องค์หญิงน้อยตระกูลซวนหยวนชื่อว่าอะไรนะ?”
ศิษย์ชุดเขียวรีบตอบ “ชื่อตัวเดียวขอรับ ซิ่ว”
“อ้อ” ชายวัยกลางคนว่า ในฐานะที่เป็นอาจารย์คนหนึ่งในสำนัก หากข้าหวังต้าวหลูไม่สามารถฟูมฟักศิษย์ที่มีความสามารถเทียบได้กับหกสุริยันอันเจิดจ้าได้ เช่นนั้นก็คงเสียหน้าไม่น้อย…
…
จวนตระกูลเหลียน
หลังจากเหลียงปิงรีบพาเฉินซีกลับมา นางก็นำหน้าไปยังห้องส่วนตัว ก่อนจะให้เถิงหลานยืนเฝ้าด้านนอก ท่าทางลึกลับอย่างยิ่ง
เฉินซีอดถามขึ้นด้วยความสงสัยไม่ได้ “เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”
ว่าแล้วเขาก็มองป้ายคำสั่งวิญญาณยุทธ์ในมือ หินหยกสีม่วงเข้มเย็นเยียบ พื้นผิวสลักด้วยอักษรโบราณเป็นคำว่า ‘ป้ายคำสั่งวิญญาณยุทธ์’ เพียงคำเดียว นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรพิเศษอีก
ห้องส่วนตัวแห่งนี้ดูเรียบง่ายและสะอาดสะอ้าน มีเบาะนั่งสองเบาะอยู่ที่พื้น เหลียงปิงนั่งขัดสมาธิบนเบาะหนึ่งแล้วเชิญให้เฉินซีนั่งลงอีกเบาะ “ก่อนหน้านี้ในโถงวิญญาณยุทธ์เป็นการทดสอบเจตจำนงเต๋าแห่งการต่อสู้ของเจ้า เมื่อผ่านบททดสอบแล้วจึงจะสามารถได้รับป้ายคำสั่งวิญญาณยุทธ์”
เจตจำนงเต๋าแห่งการต่อสู้? เฉินซีรู้ว่ามันคือจิตมุ่งมั่นเกี่ยวกับการต่อสู้ หรือจิตต่อสู้นั่นเอง ซึ่งมาจากจิตวิญญาณและการขัดเกลาฝีมือซึ่งมาจากประสบการณ์การต่อสู้ทั้งหลาย
เจตจำนงเต๋าแห่งการต่อสู้ของตนจะแข็งแกร่งได้เท่าใดย่อมมีความเกี่ยวพันถึงจิตวิญญาณของคนผู้นั้น และเกี่ยวโยงถึงประสบการณ์การต่อสู้ที่เคยผ่านเช่นกัน
บางคนมีพลังบ่มเพาะสูงแต่ต่อสู้ไม่เป็น อาจกล่าวได้ว่าไร้เจตจำนงเต๋าแห่งการต่อสู้ ยกตัวอย่างเช่นมู่หลิงหลง
สรุปแล้วก็คือ หากใช้ขอบเขตพลังบ่มเพาะในการแบ่งความต่างของพลัง เช่นนั้นก็อาจกล่าวได้ว่าความแข็งแกร่งเจตจำนงเต๋าแห่งการต่อสู้สามารถใช้เพื่อดูพลังวิญญาณและความสามารถในการต่อสู้ได้
พูดให้ง่ายก็คือ ยิ่งมีเจตจำนงเต๋าแห่งการต่อสู้มาก ยิ่งดึงเอาความแกร่งในการต่อสู้ออกมาได้มาก อีกทั้งความแกร่งนี้ยังใช้เป็นมาตรฐานในการวัดว่าเป็นยอดฝีมือหรือไม่ด้วย
เฉินซีเข้าใจเรื่องเหล่านี้ดี แต่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงต้องทดสอบก่อนถึงจะได้รับป้ายคำสั่งวิญญาณยุทธ์
ไม่นานเหลียงปิงก็ตอบคำถามนั้นให้ “มีเพียงถือครองป้ายคำสั่งวิญญาณยุทธ์ไว้เท่านั้นจึงจะสามารถเข้าดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ได้!”
ดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้! เฉินซีร้องในใจ นึกถึงดินแดนจักรพรรดิยันต์อักขระที่เคยได้ยินมาก่อนหน้า หรือว่าสองแห่งนี้จะเกี่ยวข้องกัน?
“ดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้เป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นเพื่อเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้าโดยเฉพาะ เป็นโลกที่มีเพียงเจ้าของป้ายคำสั่งวิญญาณยุทธ์และติดเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้าเท่านั้นถึงจะสามารถเข้าไปได้” นัยน์ตาดาราของเหลียงปิงเป็นประกายสุกสกาว ริมฝีปากแดงอ้าออกเล็กน้อย เอ่ยเสียงเนิบช้า “ดังนั้นหากเจ้าคิดจะติดเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้า เช่นนั้นไปดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้เพื่อท้าสู้กับยอดฝีมือในนั้นย่อมเป็นหนทางที่เร็วที่สุด”
เฉินซีตกตะลึง ไม่คิดเลยว่าภพเซียนจะมีดินแดนมหัศจรรย์ที่สร้างขึ้นมาเป็นพิเศษสำหรับเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้าด้วย
“มันต่างกันอย่างไรกันแน่?” เฉินซีถามขึ้น
“มาสิ มาดูกับข้าแล้วเจ้าจะรู้เอง” เหลียงปิงยิ้มแล้วพลิกฝ่ามือ ป้ายคำสั่งวิญญาณยุทธ์ชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้น