บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 1096 อสูรเซียนวิญญาณดารา
บทที่ 1096 อสูรเซียนวิญญาณดารา
มันคืออสูรเซียนที่เฉินซีไม่เคยเห็นมาก่อน เหมือนสิงโตหรือเสือ ขนสีเงินเต็มไปด้วยอักขระยันต์ประหลาด และถึงมันจะยืนอยู่เงียบ ๆ แต่ก็ปลดปล่อยกลิ่นอายน่าเกรงขามออกมาตีแสกหน้าได้ทีเดียว
มันเป็นเหมือนราชันในหมู่อสูรด้วยกันที่มีความดุร้ายหาอสูรตัวใดเปรียบ
“อสูรวิญญาณดารา!”
“สวรรค์โปรด! ตระกูลเหลียงของเจ้าเลี้ยงอสูรเช่นนี้ไว้ด้วย!” เมื่อเห็นมัน ทั้งหลัวจื่อเฟิงกับกู่อวี่ถังก็ร้องตกใจขึ้นมาพร้อมกันยังไม่อยากเชื่อ จากประสบการณ์และนิสัย พวกเขารู้สึกตกตะลึงเพราะอสูรตัวนี้จริง แสดงให้เห็นว่าอสูรวิญญาณดารามีความพิเศษเพียงใด
อสูรวิญญาณดารา!
เฉินซีได้ยินชื่อมันก็ตกใจเช่นกัน ตามคำร่ำลือ ปรากฏการณ์ ‘กระแสดารา’ จะเกิดขึ้นทุกหลายพันปีบนท้องฟ้าพร่างพราวด้วยดาราของภพเซียน ถึงตอนนั้น ท้องฟ้าระยับไปด้วยดวงดาวก็จะลอยขึ้นและร่วงหล่นเหมือนน้ำขึ้นลง ส่งผลให้เกิดดาวตกขึ้นเป็นจำนวนมาก
ดาวตกแต่ละดวงจะมีวัตถุดิบเซียนอันประเมินค่าไม่ได้อยู่
ที่น่าตกใจที่สุดคือดาวตกบางดวงจะสามารถกลายเป็นสมบัติหายากที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณได้ ซึ่งอสูรวิญญาณดาราก็เป็นหนึ่งในนั้น
แต่การจะได้ดาวตกมาสักดวงนั้นยากลำบากยิ่งนัก เพราะเมื่อตกมาถึงพื้นแล้วก็จะแตกเป็นเศษชิ้นเล็กชิ้นน้อย ทำให้ใช้งานไม่ได้ มีแต่ต้องใช้กำลังมหาศาลไขว่คว้าก่อนตกลงถึงพื้นเท่านั้นจึงจะสามารถรักษาวัตถุดิบเซียนหรือสมบัติล้ำค่าภายในไว้ได้
เป็นที่รู้กันว่าดาวตกนั้นมีขนาดใหญ่เทียบได้กับโลกขนาดย่อมใบหนึ่งด้วยซ้ำ! หากคิดอยากคว้ามันไว้ อย่างน้อยก็ต้องมีพลังอยู่ที่ขอบเขตเซียนปราชญ์
อีกทั้งยังต้องใช้ผู้อยู่ขอบเขตเซียนปราชญ์ห้าคนขึ้นไปด้วย!
และตอนนี้ดูเหมือนว่าตระกูลเหลียงจะจับดาวตกดังกล่าวได้ ซึ่งดาวตกดวงนี้ก็มีอสูรวิญญาณดาราที่หายากอยู่!
จึงไม่แปลกที่หลัวจื่อเฟิงกับกู่อวี่ถังจะร้องตกใจไม่อยากเชื่อสายตา
“อสูรวิญญาณดาราตัวนี้เพิ่งฟักออกมาได้ไม่นาน จากที่ผู้อาวุโสตระกูลเหลียงของข้าได้ทดสอบ สายเลือดของมันมีกฎมหาเต๋าแห่งการกลืนกิน ลม ไฟ และดวงดาว ความสามารถรวมถึงศักยภาพไม่ด้อยไปกว่าอสูรเทวะสี่ลักษณ์และอสูรบรรพกาลทั้งหลายทีเดียว อาจเหนือกว่าด้วยซ้ำ”
เหลียงปิงลูบหัวเจ้าอสูรวิญญาณดาราก่อนจะค่อย ๆ อธิบายให้เฉินซีฟัง “ตัวอย่างเช่น ตามคำร่ำลือ โครงสร้างอักขระยันต์แรกของยันต์อักขระต้องห้ามทั้งเจ็ดที่เจ้ารู้จัก ยันต์ดาราเริงระบำนั้น สร้างมาจากหนังและกระดูกของอสูรวิญญาณดารา”
กฎแห่งมหาวายุ อัคคี ดารา และกลืนกิน!
ถึงเฉินซีจะสำรวมท่าทีเพียงใด แต่พอได้ยินพลังแห่งกฎที่อยู่ภายในอสูรวิญญาณดาราก็ให้รู้สึกทึ่ง กฎแห่งมหาเต๋าสามตัวแรกนั้นปกติธรรมดา แต่สำคัญที่สุดคือตัวสุดท้าย นั่นคือกฎแห่งการกลืนกิน เป็นพลังที่หายากยิ่ง!
ด้วยความที่เขาเองก็เข้าใจความลึกล้ำแห่งการกลืนกินเช่นกัน ดังนั้นจึงรู้ดีว่ามันเป็นมรดกตกทอดอันสูงสุดจากอสูรเมื่อครั้งบรรพกาล หากไม่ใช่เพราะได้กระดูกที่ว่า เขาคงไม่สามารถทำความเข้าใจความลึกล้ำแห่งการกลืนกินได้แน่!
อีกทั้งหลายปีที่เขาทำการบ่มเพาะพลังมา เขาได้เห็นความลึกล้ำแห่งมหาเต๋ามาหลากหลายอย่าง แต่กลับไม่เคยเห็นใครที่สามารถทำความเข้าใจเต๋ารู้แจ้งแห่งการกลืนกินได้เลย ในขณะที่อสูรวิญญาณดารามีกฎแห่งมหาเต๋ามาแต่กำเนิด ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความหายากของมัน
หลัวจื่อเฟิงกับกู่อวี่ถังรู้ดีว่าอสูรวิญญาณดาราทุกตัวที่เกิดในภพเซียนจะมีผังอักขระยันต์ที่เกี่ยวข้องกับยันต์แรกของยันต์อักขระต้องห้ามทั้งเจ็ด ยันต์ดาราเริงระบำ
แต่ไม่เคยคิดว่าอสูรวิญญาณดาราของเหลียงปิงตัวนี้จะมีกฎแห่งการกลืนกินอยู่จริง หากข่าวแพร่ออกไป คงได้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ขึ้นในทวีปทักษิณาเป็นแน่!
พวกเขาเอ่ยคำออกมาอย่างยากลำบาก “เหลียงปิง คงไม่ได้คิดจะมอบอสูรตัวนี้ให้เฉินซีกระมัง?”
เหลียงปิงเอ่ยตอบด้วยท่าทีสบายอารมณ์ “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ?”
หา!
หลัวจื่อเฟิงกับกู่อวี่ถังอ้าปากค้าง รู้สึกว่าตระกูลเหลียงทุ่มสุดตัวจริง ๆ เพราะของหรูหราเช่นนี้ยังทำพวกเขาตกตะลึงได้
เพราะเมื่ออสูรเช่นนี้เติบโตขึ้นเมื่อไหร่ ก็จะเป็นแรงสนับสนุนได้อย่าง ประเมินค่าไม่ได้ทีเดียว
เฉินซีเองชะงัก ก่อนหน้านี้เขารู้สึกว่าสมบัติที่หลัวจื่อเฟิงกับกู่อวี่ถังคิดจะมอบให้ล้ำค่าเกินไป จึงตั้งใจจะปฏิเสธ แต่ไม่คิดเลยว่าเหลียงปิงกลับจะมอบอสูรวิญญาณดาราให้ ถึงขนาดเป็นตัวที่มีกฎแห่งการกลืนกินอยู่ด้วย แล้วเขาจะรับไว้ได้อย่างไร?
แต่ตอนที่กำลังจะปฏิเสธ เหลียงปิงก็เอ่ยขึ้นตามตรง “เจ้าต้องรับอสูรวิญญาณดาราตัวนี้ไว้ เพราะนอกจากเจ้าก็ไม่มีใครจะทำให้มันเชื่องได้แล้ว”
“ทำไมเล่า?” เฉินซีสงสัย
เหลียงปิงไหวไหล่ สีหน้าดูจนใจอยู่เล็กน้อย “เหตุผลก็เพราะกฎแห่งการกลืนกิน เมื่ออสูรตัวนี้เติบโต มันจะมองทุกอย่างเป็นศัตรูแล้วกลืนกินทุกอย่าง เว้นเสียแต่กฎแห่งการกลืนกินของมันถูกทำลาย แต่หากเป็นเช่นนั้นก็เท่ากับว่ามันเสียพรสวรรค์ที่ทำให้มันมีพลังเทียบขั้นกับสัตว์เทวะไปด้วย”
เหลียงปิงหยุดไปเล็กน้อยก่อนกล่าวต่อ “ดังนั้นตระกูลเหลียงของข้าจึงปวดหัวกับเรื่องนี้มาก ไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไร ข้าจึงได้แต่ต้องมอบให้เจ้าเป็นคนเลี้ยงดูมันและทำให้มันเชื่องแทน”
ในที่สุดนางก็พูดเหตุผลที่แท้จริงออกมา
เฉินซีพลันเข้าใจ และหัวเราะเสียงขื่น “เจ้าจะบอกว่ามันจะมองข้าเป็นพวกเดียวกับมันอย่างนั้นหรือ?”
เหลียงปิงหัวเราะแล้วพยักหน้าอย่างจริงจัง “ก็ช่วยไม่ได้นี่ ในหมู่ผู้คนที่ข้ารู้จัก มีแต่เจ้าที่เข้าใจความลึกล้ำแห่งการกลืนกิน ฉะนั้นก็มีแต่เจ้าที่อาจทำให้มันเชื่องได้”
ตอนนี้หลัวจื่อเฟิงกับกู่อวี่ถังจึงเข้าใจเหตุผลเช่นกัน ทั้งสองเหลือบมองเฉินซีด้วยสายตาหวาดกลัว เหมือนไม่คิดว่าเฉินซีจะสามารถทำความเข้าใจกฎแห่งการกลืนกินได้!
เด็กคนนี้ปิดบังความสามารถที่แท้จริงอยู่!
พวกเขาได้แต่ตกตะลึงอยู่ภายใน รู้สึกว่าเฉินซียิ่งยากเกินหยั่งถึง กฎแห่งการกลืนกินเป็นพลังแห่งกฎที่สามารถท้าทายสวรรค์ได้ มันจะกลืนกินทุกอย่างและเปลี่ยนพลังทุกอย่างให้กลายเป็นประโยชน์แก่ตน นับว่าแข็งแกร่งเกินพรรณนา
เท่าที่รู้ มีเพียงเผ่าคุนเผิงแห่งบรรพกาลเท่านั้นที่จะมีความลึกล้ำนี้ ทว่าไม่เหลือคุนเผิงในภพเซียนอีกแล้ว ดังนั้นความลึกล้ำแห่งการกลืนกินจึงสูญหายไป
แต่เฉินซี… กลับมีมัน!
จะไม่ให้ตกใจได้อย่างไร?
เฉินซีเข้าใจสายตาที่ส่งมา ได้แต่ยกมือขึ้นถูจมูกตน “ข้าเพียงเข้าใจเต๋ารู้แจ้งของมัน ยังไม่ได้กลั่นเป็นกฎหรอก”
หลัวจื่อเฟิงกับกู่อวี่ถังได้ยินแล้วก็กรอกตาพร้อมกัน เข้าใจเพียงเต๋ารู้แจ้งแห่งการกลืนกินอย่างนั้นหรือ? จงพอใจแค่นั้นเถอะ! คนอื่นอยากเข้าใจแค่สักเสี้ยวหนึ่งยังทำไม่ได้เลย!
“รีบลองดูเสียสิ หากไม่ได้ผล ข้าก็คิดว่าจะให้บรรพบุรุษในตระกูลช่วยทำลายกฎแห่งการกลืนกินของมันเสีย ถึงพรสวรรค์จะลดลงมาก แต่สุดท้ายก็ยังเป็นอสูรเซียนที่แกร่งตัวหนึ่ง” เหลียงปิงเดินเข้ามาส่งอสูรวิญญาณดาราไว้ด้านหน้าเฉินซี
เฉินซีคิดแล้วก็ไม่ลังเลอีก เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ร่างกายเขาพลันปลดปล่อยกระแสพลังความลึกล้ำแห่งเต๋ารู้แจ้งที่คล้ายกับหลุมดำ พวกมันมีพลังดูดกลืนพลังงานอื่น ๆ ที่อยู่โดยรอบ
หากมองจากไกล ๆ เฉินซีเหมือนกลายร่างเป็นหลุมดำในห้วงลึก คล้ายกับสามารถกลืนกินทุกสิ่งอย่างและแผ่ขยายกลิ่นอายน่าเกรงขามออกไปได้ไกลโพ้น
นี่คือเต๋ารู้แจ้งแห่งการกลืนกินหรือ? หลัวจื่อเฟิงกับกู่อวี่ถังเบิกตากว้างเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
กรร!
อสูรวิญญาณดาราดุร้ายที่เดิมทียืนอยู่นิ่ง ๆ พลันเงยหน้าขึ้นมาแล้วส่งเสียงคำรามสะท้านสะเทือน นัยน์ตาใสกระจ่างเหมือนอัญมณีสีน้ำเงินจ้องมองเฉินซีฉายแววตื่นเต้น ลังเล และความพิศวง
มันทำหน้าราวกับว่าได้เจอคนรู้จัก แต่ก็เหมือนไม่แน่ใจ
เหลียงปิงรู้สึกยินดี วิธีนี้ดูท่าจะใช้ได้ผล!
เต๋ารู้แจ้งแห่งการกลืนกินรอบกายเฉินซียิ่งแผ่ขยายพลุ่งพล่าน เหมือนหลุมดำที่ค่อย ๆ ขยายพลังอำนาจออกไปไกล
นั่นทำให้หลัวจื่อเฟิงกับกู่อวี่ถังรู้ว่าเฉินซีไม่ใช่เพียงเข้าใจความลึกล้ำแห่งการกลืนกิน แต่ยังเชี่ยวชาญจนกลายเป็นเต๋ารู้แจ้งแล้วด้วย อีกไม่นานก็คงกลั่นเป็นกฎแห่งการกลืนกินได้เป็นแน่!
กรรร~!
อสูรวิญญาณดารายิ่งดูตื่นเต้นขึ้น สุดท้ายมันก็ค่อย ๆ ก้าวเข้าหาเฉินซีช้า ๆ
พร้อมกับปล่อยกระแสพลังแห่งการกลืนกินออกมาเช่นกัน พลังนั้นเปลี่ยนเป็นหลุมดำหมุนเวียนอยู่รอบร่างของมัน ทั้งยังลึกล้ำและทรงพลังกว่าเต๋ารู้แจ้งของเฉินซีเสียอีก เพราะมันคือกฎแห่งการกลืนกินของจริง!
พลังแห่งการกลืนกินของทั้งสองตรงเข้าหากัน เหมือนหิมะหลอมละลายกลายเป็นน้ำ ผสมผสานเข้าด้วยกันและสนับสนุนกันไป
พริบตานั้น เฉินซีสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าเต๋ารู้แจ้งแห่งการกลืนกินกำลังกลั่นแน่นและแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ใกล้จะกลายเป็นพลังแห่งกฎไปเสียแล้ว
และทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในพริบตาเดียวเท่านั้น!
น่าเสียดายที่สุดท้ายมันก็หยุดลง เหตุผลก็เพราะกฎแห่งมหาเต๋าที่เขาทำความเข้าใจได้ในตอนนี้ยังไม่มาถึงสุดขอบเขตเซียนสวรรค์ เว้นเสียแต่ว่าชายหนุ่มจะสามารถเข้าสู่ขอบเขตเซียนลึกลับ ไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถกลั่นพลังกฎออกมาได้อีก
เฉินซีส่ายหน้าแล้วเลิกคิดเรื่องนั้น ก้มหัวลงมองอสูรวิญญาณดาราที่กำลังส่ายหัวและเอาหัวถูขาของเขาด้วยความรัก
เฉินซีจึงอดเอื้อมไปลูบหัวมันไม่ได้ ส่งผลให้อสูรวิญญาณดารายิ่งว่าง่ายกว่าเดิม ไม่ปลดปล่อยท่าทีหยิ่งผยองอีก
เห็นดังนี้เหลียงปิงและคนอื่น ๆ ก็คลี่ยิ้มออกมา
พวกเขารู้ดีว่านี่คือวาสนา แม้ว่าอสูรวิญญาณดาราจะถูกพบโดยตระกูลเหลียง แต่กลับไม่เหมาะกับตระกูลเหลียง สุดท้ายก็ตกไปเป็นของเฉินซีอยู่ดี
“มันชื่อว่าอะไรหรือ?” เฉินซีเงยหน้าขึ้นถามเหลียงปิง
เหลียงปิงชะงักไป ทำท่าเขินอายอยู่เล็กน้อยเหมือนไม่อยากบอก ก่อนเอ่ยเสียงเบา “อืม ข้าเรียกมันว่าเสี่ยวชิงชิง”
เสี่ยวชิงชิง? หลัวจื่อเฟิงกับกู่อวี่ถังเบิกตากว้างหน้าแดงไปหมด แทบจะกลั้นขำไม่อยู่ ไม่คิดว่าโฉมงามผู้เย็นชาและเย่อหยิ่งอย่างเหลียงปิง ผู้ที่ปลดปล่อยกลิ่นอายดั่งองค์ราชินีออกมาตลอดจะตั้งชื่ออสูรเซียนว่าเสี่ยวชิงชิง
“อย่ากลั้นให้ต้องทรมานเลย” เหลียงปิงส่งสายตาเย็นชามองคนทั้งสอง เป็นสายตาคมดั่งกระบี่ทั้งยังเย็นยะเยือกและน่าหวาดผวายิ่ง
หลัวจื่อเฟิงกับกู่อวี่ถังเหลือบมองกันแล้วรีบเปลี่ยนเป็นสีหน้าขรึมพร้อมพยักหน้าพร้อมเพรียงกัน “ชื่อเยี่ยมยอด ฟังดูน่าเกรงขามยิ่ง!”
“เสแสร้ง!” เหลียงปิงแค่นเสียงเย็น
“เอาล่ะ เช่นนั้นต่อไปข้าก็จะเรียกมันว่าชิงชิง” เฉินซีพยักหน้า เขาเองก็หัวเราะอยู่ในใจเช่นกัน แต่ไม่เผยอารมณ์ใดออกมาเพราะเกรงว่าเหลียงปิงจะรู้สึกอาย
เหลียงปิงจึงคลายสีหน้าลงมากเมื่อเห็นว่าเฉินซีไม่คิดเปลี่ยนชื่ออสูรวิญญาณดารา “หยกชิ้นหนึ่งย่อมไร้ประโยชน์หากไม่นำไปเจียระไน อสูรเองก็จะไร้ซึ่งความน่าเกรงขามหากเลี้ยงดูไม่ดี ชิงชิงเป็นของเจ้าแล้ว จงดูแลให้ดี”
พูดจบ นัยน์ตาส่วนลึกของนางก็เผยแววไม่ยินยอมออกมา หญิงสาวไม่เต็มใจอยากให้อสูรวิญญาณดาราจากไป เช่นเดียวกับที่ไม่อยากให้เฉินซีจากไปเช่นกัน…