บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 1122 ขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้น
บทที่ 1122 ขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้น
บทที่ 1122 ขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้น
ในวันนี้ เมืองเซียนสัประยุทธ์คึกคักไปด้วยผู้คนมากมาย มันช่างเป็นฉากที่ยิ่งใหญ่อย่างเป็นประวัติการณ์
ในขณะนี้ ประตูทางเข้าเมืองชั้นในถูกเปิดออก ภายในนั้นทำให้หลาย ๆ คนตกตะลึง เพราะแทนที่จะเรียกว่าเมืองชั้นใน มันควรเรียกว่าเทือกเขาที่ทอดยาวเป็นลูกคลื่นอย่างไม่มีที่สิ้นสุดมากกว่า
เทือกเขาทอดยาวถูกปกคลุมด้วยต้นไม้โบราณและหมอก ยิ่งเดินลึกเข้าไปเท่าไหร่ เทือกเขาก็ยิ่งสวยงามมากขึ้นเท่านั้น มันถูกปกคลุมด้วยเมฆสีกุหลาบ และสัตว์อสูรเซียนจำนวนมากอาศัยอยู่ภายในนั้น
ระหว่างทางมีทะเลสาบที่ใสสะอาดมากมาย และมีหมอกหนาทึบเล็ดลอดออกมา ซึ่งเต็มไปด้วยพลังชีวิตอันอุดมสมบูรณ์
“ช่างงดงามและไม่ธรรมดา เป็นสรวงสวรรค์ที่เปี่ยมล้นด้วยปราณมงคล มันเป็นสถานที่ที่ดีเยี่ยมอย่างแท้จริง ถึงแม้นี่จะเป็นเพียงบริเวณรอบนอกของเมืองชั้นใน แต่ฉากเหล่านี้ก็เทียบได้กับสรวงสวรรค์ชั้นยอดแล้ว” มีคนพรรณนาด้วยความชื่นชม
“แน่นอน! นี่คือสำนึกศึกษาอันดับหนึ่งในภพเซียน นอกจากเหล่าศิษย์ของสำนักศึกษา จะมีใครสามารถเข้ามาที่นี่ได้อีก!?”
ฝูงชนพุ่งเข้าหาส่วนลึกของเมืองชั้นใน และหลังจากผ่านไปราวยี่สิบห้าลี้ พวกเขาก็สังเกตเห็นศิลาจารึกที่ตั้งตระหง่านสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าอยู่ข้างหน้า และมีคำสามคำเขียนอยู่บนนั้น สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า!
จังหวะการเขียนนั้นหนักหน่วงและทรงพลังอย่างไร้ขอบเขต เพียงมองจากระยะไกลยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขตจาง ๆ ยิ่งเข้าไปใกล้ กลิ่นอายอันโอ่อ่าโบราณก็ทิ่มแทงที่ใบหน้า และทำให้ใจสั่นไหว
“ตามตำนานเล่าว่า ศิลานี้ถูกจารึกโดยจักรพรรดิเต๋าเมื่อครั้งที่สำนักศึกษาก่อตั้งขึ้น และมีร่องรอยกลิ่นอายของเต๋าอันสูงสุด พิรุณเผาผลาญหลิงชิงอู๋ ซึ่งเป็นหนึ่งในหกสุริยันอันเจิดจ้า ได้สังเกตเห็นร่องรอยของความลึกล้ำของมันโดยบังเอิญ ทำให้เขาสามารถบรรลุขอบเขตเซียนทองคำ และกลายเป็นหนึ่งในสุริยันอันเจิดจ้า!”
ใครบางคนถอนหายใจ และมันดึงดูดสายตาที่ลุกโชนของบรรดาศิษย์หนุ่มสาวหลายคน หัวใจของพวกเขาต่างเต้นแรงอย่างไม่มีสิ้นสุด
“ไปต่อเร็วเข้า เมื่อพวกเจ้าผ่านการทดสอบและเข้าสู่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า พวกเจ้าจะมาที่นี่เพื่อทำความเข้าใจเมื่อใดก็ได้” ผู้มีประสบการณ์บางคนกล่าวเรียกสติ
ฝูงชนจึงมุ่งหน้าต่อไป
หลังจากผ่านศิลาจารึกนี้ไป ดวงตาของทุกคนพลันเบิกกว้าง เนื่องจากมีลานจัตุรัสที่ราบเรียบและกว้างใหญ่อยู่ข้างหน้า พื้นของจัตุรัสถูกปูด้วยหยกสีขาวเรียบเนียน และมีหมอกลอยอยู่รอบ ๆ
เมื่อมองจากระยะไกล มันเหมือนชั้นน้ำแข็งบนพื้นผิวทะเลอันไร้ขอบเขต มันเป็นสีขาวหยกและโปร่งแสง ที่แผ่กลิ่นอายอันโอ่อ่าและศักดิ์สิทธิ์ออกมา
ไกลออกไป คืออาคารใหญ่ที่ตั้งเรียงรายกันเป็นแถว อาคารทุกหลังแผ่กลิ่นอายเก่าแก่ และดูเหมือนว่าจะผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน ทำให้ผู้คนรู้สึกความนับถือในใจ
“นั่นคือ สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า สถานที่ที่ให้กำเนิดตำนานนับไม่ถ้วน!”
ผู้คนต่างมองไปเงียบ ๆ และอุทานด้วยความชื่นชม สายตาเผยให้เห็นถึงความปรารถนาและความเคารพเด่นชัด
ในขณะเดียวกัน ก็มีผู้คนไม่ต่ำกว่าหมื่นคนอยู่บนจัตุรัสอันกว้างใหญ่นั่น ไม่ว่าจะกวาดตามองไปทิศใด ล้วนเต็มไปด้วยฝูงชนหนาแน่น
ในระหว่างการทดสอบเพื่อคัดเลือกครั้งนี้ หลังจากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าเปิดประตูทางเข้าเมืองชั้นใน ไม่ใช่ทุกคนที่มีคุณสมบัติเข้าไปได้ นอกจากศิษย์รุ่นเยาว์ที่จะเข้าร่วมการทดสอบ ก็มีเพียงผู้ยิ่งใหญ่จากมหาอำนาจในภพเซียนเท่านั้นที่ได้รับอนุญาต
ถ้าไม่ใช่เพราะข้อจำกัดนี้ เมืองชั้นในของเมืองเซียนสัประยุทธ์คงจะเนืองแน่นไปด้วยผู้คนตลอดเวลา
เฉินซี กู่เยวหมิง เหลียงเริ่น เจียงจูหลิว และอินเหมียวเมี่ยวเดินตามหลังเถี่ยชิวอวี้ มาถึงจัตุรัสอันกว้างใหญ่ที่อยู่หน้าสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าอย่างราบรื่น
“คนเยอะจริงเชียว!”
“แม้กระทั่งผู้เยี่ยมยุทธ์ก็มีอยู่มากมาย!”
นี่เป็นความรู้สึกโดยสัญชาตญาณของเฉินซี ท่ามกลางฝูงชนแออัดราวมหาสมุทร ทุกคนล้วนมีกลิ่นอายน่าเกรงขาม ช่างเป็นภาพที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง
เห็นได้ชัดว่าผู้เยี่ยมยุทธ์รุ่นเยาว์ในสี่พันเก้าร้อยทวีปของภพเซียนได้มาบรรจบกันที่นี่แล้ว แน่นอนว่าย่อมไม่มีผู้อ่อนแอในหมู่พวกเขา!
รวมถึงผู้อาวุโสของตระกูลหรือนิกายของตนที่พาผู้เยี่ยมยุทธ์รุ่นเยาว์มาในวันนี้ จะเป็นผู้อ่อนแอได้อย่างไร!
สรุปง่าย ๆ ก็คือ ผู้เยี่ยมยุทธ์รุ่นเยาว์ระดับแนวหน้าของภพเซียนได้มารวมตัวกันที่จัตุรัสหน้าสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าในเวลานี้ และการที่ได้มายืนอยู่ที่นี่ ไม่ว่าใครก็สามารถภูมิใจในความสามารถของตนเอง
“พวกเจ้าเห็นห้องโถงใหญ่ด้านข้างจัตุรัสหรือไม่? สิ่งเหล่านี้ถูกเตรียมโดยสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า เพื่อรองรับแขกคนสำคัญจากภพทั้งสาม ไม่ว่าจะเป็นเหล่าศิษย์จากเจ็ดตระกูลโบราณที่ยิ่งใหญ่หรือมหาอำนาจชั้นนำของสี่มหาทวีป พวกเขาล้วนอยู่ในนั้น”
“นอกเหนือจากนั้น กองกำลังของภพพุทธองค์ ภพมังกร และภพวิหคอมตะก็อยู่ภายในนั้นเช่นกัน และเมื่อการทดสอบเริ่มต้น เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ของพวกเขาก็จะมาเข้าร่วมการทดสอบด้วย”
มีคนชี้ไปที่ด้านข้างของห้องโถง ที่เต็มไปด้วยภูเขาอันงดงามมากมาย และมีที่พักมากมายอยู่บนนั้น ในขณะนี้มีคนจำนวนไม่น้อยยืนอยู่หน้าที่พักเหล่านั้น
ทุกคนต่างรู้สึกอิจฉา แต่ก็ทราบดีว่าพวกเขาไม่อาจเปรียบเทียบกับบุคคลเหล่านั้นได้ เพราะช่องว่างระหว่างพวกตนกว้างใหญ่เกินไป
“เหตุใดพวกเขาถึงสามารถพักอยู่ในห้องโถง แต่เราต้องรออยู่ที่จัตุรัสนี้?” ใครบางคนอดไม่ได้ที่จะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ
สิ้นเสียง ผู้คนมากมายก็เยาะเย้ยและกลอกตาทันที
“เพราะเหตุใดนะหรือ? ช่างเป็นคำถามที่ไร้เดียงสาจริง ๆ หรือว่าเจ้าไม่รู้ว่า มีผู้ยิ่งใหญ่มากมายของเจ็ดตระกูลโบราณและมหาอำนาจต่าง ๆ ที่กำลังสอนอยู่ในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า? เนื่องจากศิษย์ของกองกำลังที่พวกเขาสังกัดอยู่กำลังจะเข้าร่วมในการทดสอบนี้ ไม่แปลกที่จะได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี”
“ไม่ใช่แค่นั้น ภพพุทธองค์ ภพมังกร ภพวิหคอมตะ และดินแดนลึกลับอื่น ๆ ต่างก็มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า เท่าที่ข้าทราบมา มังกรฟ้าที่ครอบครองสายเลือดอันสูงส่งในภพมังกรก็กำลังสอนอยู่ในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า และทำหน้าที่พิทักษ์หอคัมภีร์เต๋าของสำนักเสมอมา”
“เฮ้อ อย่าได้กล่าวถึงเรื่องนี้เลย ตราบใดที่เจ้าสามารถกลายเป็นสุริยันอันเจิดจ้าของภพเซียนได้ เจ้าก็จะมีคุณสมบัติที่จะได้รับการดูแลดังกล่าวเช่นกัน แต่ถ้าหากในแง่ของภูมิหลัง เจ้าเทียบไม่ติดหรอก!”
ฝูงชนคุยกันอย่างมีชีวิตชีวา และในขณะที่การสนทนาดำเนินต่อไป พวกเขาทุกคนก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกัน
ทว่าเฉินซีกลับไม่สนใจ และถามเถี่ยชิวอวี้ด้วยเสียงแผ่วเบา “ผู้อาวุโส การทดสอบจะเริ่มขึ้นเมื่อใด”
เถี่ยชิวอวี้เงยหน้ามองท้องฟ้า เพื่อคำนวณเวลา “อีกไม่นาน ไม่น่าเกินหนึ่งก้านธูป เมื่อถึงเวลานั้น สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าจะส่งผู้อาวุโสมาเป็นประธานในการทดสอบ”
เฉินซีพยักหน้า เหลือเวลาอีกแค่หนึ่งก้านธูปเท่านั้น
“เฉินซี เจ้าไม่ต้องกังวลไป ตราบใดที่เจ้าผ่านการทดสอบรอบแรก ข้าจะไปกับเจ้าในการทดสอบรอบที่สอง และพวกมันจะทำอะไรเราไม่ได้” ในขณะนี้ เหลียงเริ่นก็กล่าวเสียงเบา
“นับข้าเข้าไปด้วย” กู่เยวหมิงก็กล่าวเช่นกัน ชายหนุ่มเหลือบตามองอินเหมียวเมี่ยวและเจียงจูหลิวอย่างเย็นชา
เฉินซีตกตะลึง จากนั้นก็เข้าใจทันที ทั้งสองอาจคิดว่าเขากำลังกังวลกับการถูกแก้แค้นจากตระกูลจั่วชิว อินเหมียวเมี่ยวและเจียงจูหลิวในระหว่างการทดสอบรอบที่สอง
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ชายหนุ่มพลันรู้สึกอบอุ่นในใจ แต่กลับส่ายศีรษะ “ไม่จำเป็น”
เหลียงเหรินขมวดคิ้ว “นี่ไม่ใช่เวลาที่จะทำตัวเข้มแข็ง เราไม่มีทางนิ่งเฉยและไม่แยแสกับสิ่งที่เจ้ากังวลแน่”
“ใช่แล้ว เจ้าจะไปสู้กับพวกมันด้วยคนเดียวได้อย่างไร?” กู่เยวหมิงขมวดคิ้วแน่น
เฉินซีหัวเราะอย่างขมขื่น และสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ “ข้ามีความสามารถพอที่จะจัดการกับเรื่องนี้ได้ พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องเอาตัวเข้ามาเสี่ยง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตระกูลจั่วชิวมีความแค้นกับพวกเจ้าสองคน”
ชายหนุ่มอธิบายด้วยความจริงใจ แต่คำพูดนี้กลับทำให้เหลียงเริ่นและกู่เยวหมิงรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย รู้สึกราวกับเฉินซีปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนคนนอก และประเมินของพวกเขาต่ำไป
เมื่อเห็นท่าทางของทั้งสอง เฉินซีรู้ตัวทันทีว่าสถานการณ์ไม่ดี อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดี ดังนั้นจึงเริ่มหัวเราะอย่างขมขื่น
“หรือบางทีเจ้าคิดว่าเราเป็นภาระ?” คิ้วของกู่เยวหมิงขมวดแน่นยิ่งขึ้น เมื่อเห็นท่าทีของเฉินซี
ร่างสูงนิ่งคิด “ได้โปรดเชื่อข้าเถิด ข้าสามารถจัดการเรื่องนี้ได้ด้วยตัวเอง”
ในขณะที่เฝ้าดูทั้งสามคนสนทนากัน แม้ว่าอินเหมียวเมี่ยวและเจียงจูหลิวที่อยู่ใกล้เคียงจะไม่ได้กล่าวอะไร แต่สายตาของพวกเขาก็เต็มไปด้วยการเยาะเย้ยอยู่เล็กน้อย ถึงขนาดจ้องมองเฉินซีอย่างสมเพช
เฉินซีย่อมสังเกตเห็น แต่ไม่ได้กล่าวอะไร
“เอาล่ะ การทดสอบรอบแรกกำลังจะเริ่มขึ้น หากเจ้าไม่สามารถเอาชนะเจียงจูหลิวในเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้าได้ เราจะไม่อนุญาตให้เจ้าจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองในการทดสอบรอบที่สอง” เหลียงเริ่นต่อรอง
เฉินซีตกตะลึงจากนั้นก็ไหวไหล่ รู้สึกอับจนหนทาง ดังนั้นจึงไม่ได้กล่าวอะไรอีก
เหตุผลที่กล่าวไม่ออกนั่นคือ เขาเชื่อมั่นว่าตนจะสามารถสังหารเจียงจูหลิวได้อย่างง่ายดาย เพราะเมื่อเทียบกับองครักษ์โมฆะอย่างหลูเฉินแล้ว เจียงจูหลิวยังด้อยกว่ามาก
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เฉินซีไม่คิดว่าเจียงจูหลิวเป็นคู่ต่อสู้ของตนสักนิด
“ฮึ่ม!” เจียงจูหลิวคำรามในลำคอ เพราะเหลียงเริ่นจงใจกล่าวเสียงดังให้เจียงจูหลิวได้ยินอย่างชัดเจน เจ้าตัวจึงรู้สึกไม่พอใจเมื่อได้ยินเหลียงเริ่นเปรียบเทียบตนกับเฉินซี
อินเหมียวเมี่ยวย่นริมฝีปากของนาง และเผยถึงความไม่แยแส
เฉินซี เหลียงเริ่น และกู่เยวหมิงเลือกที่จะไม่แยแสเช่นกัน
เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาเป็นเหมือนน้ำกับไฟ ดังนั้นการปกปิดก็รังแต่จะทำให้พวกเขาดูเจ้าเล่ห์ และมันไม่คุ้มเสียเลย
เถี่ยชิวอวี้สังเกตเห็นทั้งหมดนี้ ชายชราอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ‘ความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างเด็กน้อยเหล่านี้ช่างน่าปวดหัวเสียจริง ไม่เป็นไร ปล่อยให้พวกเขาต่อสู้กัน อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด มันเกินความสามารถของข้าแล้ว ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ข้าที่เสียหน้า…’
แก๊ง! แก๊ง! แก๊ง!
ทันใดนั้น คลื่นเสียงระฆังดังก้องไปทั่วทั้งฟ้าดิน เสียงไพเราะประหนึ่งท่วงทำนองของมหาเต๋าที่กระทบหัวใจของทุกคนโดยตรง มันทำให้หัวใจของผู้คนที่อยู่ ณ ตอนนี้สั่นไหว พร้อมกับร่างกายรู้สึกสดชื่น และความคิดฟุ้งซ่านในใจพลันปลอดโปร่งทันที
ระฆังเต๋าดังขึ้นแล้ว! ในที่สุดการทดสอบก็เริ่มต้นขึ้น!
ทันใดนั้น เสียงสนทนาเซ็งแซ่ในจัตุรัสอันกว้างใหญ่ก็ค่อย ๆ เลือนหายไป บรรยากาศกลายเป็นเคร่งขรึมและเงียบงัน ทุกสายตาพุ่งไปที่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าอย่างพร้อมเพรียงกัน แววตาของพวกเขาเผยให้เห็นถึงความตื่นเต้นที่ไม่สามารถปกปิดได้
ร่างมากมายได้สำแดงพลังอันไพศาลและยิ่งใหญ่ขึ้นสู่ท้องฟ้า ราวกับพระอาทิตย์ที่ลอยเด่นบนผืนนภา แผ่กลิ่นอายน่าเกรงขามอย่างไร้ขอบเขต ปกคลุมทั้งฟ้าดิน พวกเขามีด้วยกันเจ็ดคน
กลิ่นอายของแต่ละคนนั้นกว้างใหญ่และศักดิ์สิทธิ์ มันเหมือนขุมนรก ซึ่งมีอำนาจควบคุมโลกและเหยียดหยามสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ดูเหมือนการบ่มเพาะของพวกเขาจะบรรลุถึงขอบเขตเซียนปราชญ์!
โดยเฉพาะชายวัยกลางคนที่เป็นผู้นำสวมเสื้อคลุมหลวม ๆ และมีสีหน้าเคร่งขรึม เขามีกลิ่นอายที่ลึกล้ำเหมือนมหาสมุทรอันไร้ขอบเขต สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับพลังฟ้าดินในระยะสองหมื่นห้าพันลี้ ทำให้บรรยากาศเงียบสงัด เสริมให้ชายคนนั้นดูเหมือนจ้าวผู้ปกครอง
“ขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้น!” ใครบางคนอุทานด้วยความตกใจ แล้วเงียบไปทันที คนผู้นั้นไม่กล้าส่งเสียงดังอีก เพราะกลัวว่าจะทำให้ผู้เยี่ยมยุทธ์คนนั้นขุ่นเคือง
แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังได้ยินเสียงนี้ ทำให้บรรยากาศเงียบลงทันที บรรยากาศก็เคร่งขรึมและมีกลิ่นอายกดดัน ทุกสายตาจับจ้องไปยังร่างทั้งเจ็ด และเผยร่องรอยของความตกใจบนใบหน้าอย่างไม่อาจปิดบัง
ผู้ยิ่งใหญ่หกคนที่ขอบเขตเซียนปราชญ์ และขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นอีกหนึ่งคน ถูกส่งมาดูแลการทดสอบนี้! นี่… นี่เป็นการแสดงที่ยิ่งใหญ่มาก!