บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 1139 ทะเลสาบโลหิตแดนเถื่อน
บทที่ 1139 ทะเลสาบโลหิตแดนเถื่อน
บทที่ 1139 ทะเลสาบโลหิตแดนเถื่อน
แดนโลหิต พื้นที่ตะวันออกเฉียงใต้
ชู่ว!
ลำแสงสายหนึ่งพุ่งผ่านท้องฟ้าบินไปไกลตามทิศทางที่แน่นอน
ระหว่างทาง การต่อสู้ปรากฏขึ้นให้พบเห็นเป็นครั้งคราว ไม่ว่าจะเป็นระหว่างศิษย์ที่เข้าร่วมการทดสอบกับสัตว์อสูรจักรวาล ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพ หรือเหล่าศิษย์ด้วยกันเอง
เมื่อมองลงมาจากกลางอากาศ ทุกพื้นที่ถูกย้อมไปด้วยสีแดงของเลือดและปกคลุมไปด้วยซากกระดูกสีขาวราวกับเป็นขุมนรก
เส้นแสงสีม่วงที่ส่องประกายระยิบระยับพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าเป็นครั้งคราว ซึ่งหมายความว่ามีผู้เข้าร่วมบางคนถูกคัดออกจากการทดสอบแล้ว
นี่คือการทดสอบรอบที่สองของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า มันทั้งโหดร้าย นองเลือด และไร้กฎเกณฑ์ เพื่อที่จะได้รับแต้มดารามา ศิษย์ทุกคนกลายเป็นนักล่าผู้โหดเหี้ยม ไม่เพียงแค่สังหารสัตว์อสูรจักรวาล และผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพเท่านั้น แต่ยังกำจัดคู่แข่งรายอื่น ๆ ที่เข้าสู่แดนโลหิตมาพร้อมกับตนด้วย!
ตลอดเส้นทาง เฉินซีไม่คิดเสียเวลา ตราบใดที่สังเกตเห็นปัญหาใกล้เข้ามา ชายหนุ่มยอมอ้อมไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย แต่นั่นทำให้ไม่สามารถเพิ่มแต้มดาราของตนได้เช่นกัน
แน่นอนว่าจุดประสงค์ทั้งหมด ก็เพื่อตามหาศิษย์ของตระกูลจั่วชิว ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และมอบบทลงโทษอย่างหนักหน่วง!
บางครั้งหากไม่สามารถหลีกเลี่ยงปัญหาได้จริง ๆ เฉินซีก็จะตัดสินใจลงมือโจมตีอย่างเด็ดขาด และสังหารคู่ต่อสู้ให้เร็วที่สุด ด้วยวิธีนี้ เขาได้รับแต้มดารามาเป็นกำไรเล็ก ๆ น้อย ๆ
“สหายเอ๋ย ในเมื่อเจ้าเดินทางคนเดียว ทำไมไม่เข้าร่วมกลุ่มกับเรา แล้วเก็บสะสมแต้มดาราไปด้วยกันเล่า? เจ้ารู้หรือไม่ ในแดนโลหิตแห่งนี้เจ้าจะเสียเปรียบถ้าอยู่คนเดียว”
ขณะที่เฉินซีกำลังบินอยู่ ก็มีคนกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมาขวางเส้นทางเอาไว้
“ใช่แล้ว เราไม่สามารถเทียบกับศิษย์ของมหาอำนาจเหล่านั้นได้ ดังนั้นจะเป็นการดีกว่าที่จะรวมกลุ่มกัน เพื่ออยู่รอดในแดนโลหิตได้นานขึ้น”
“สหายเต๋า เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
คนกลุ่มนี้มีจำนวนประมาณสิบกว่าคน และเห็นได้ชัดว่าพวกเขาผ่านประสบการณ์มามากมาย จนทำให้ร่างกายเต็มไปด้วยกลิ่นอายของการต่อสู้ ยิ่งกว่านั้น การแสดงออกยังตื่นตัว ดุร้าย และเต็มไปด้วยจิตสังหาร
“ไม่สนใจ หลีกทางไป!”
เฉินซีจ้องอย่างเย็นชา และตั้งท่าจะพุ่งฝ่าไป ชายหนุ่มเห็นสถานการณ์เช่นนี้มามากมายตลอดทาง และส่วนใหญ่บางคนก็ใช้ข้ออ้างเรื่องตั้งจัดตั้งกลุ่มขึ้น เพื่อยึดแต้มดาราของผู้อื่น
แน่นอนว่ามีบางกลุ่มที่ต้องการจัดตั้งกลุ่มจริง ๆ แต่หากคนผู้นั้นไม่เห็นด้วย พวกเขาก็จะไม่ลังเลที่จะฆ่าทิ้ง ไม่มีหลักศีลธรรมหรือเส้นแบ่งผลประโยชน์ใด ๆ
“ฮึ่ม! สหายตัวน้อยขอบเขตเซียนลึกลับขั้นกลางกล้าที่จะปฏิเสธเรา? เจ้าช่างรนหาที่ตาย!”
“ในเมื่อเจ้าไม่ยอมทำตามคำขอของเรา ก็อย่าหาว่าพวกเราไร้ปรานี!”
“ทุกคน อย่าได้แย่งชิงกับข้า แต้มดาราของเด็กคนนี้เป็นของข้า!”
การปฏิเสธตรง ๆ ของเฉินซี ทำให้ใบหน้าของฝ่ายตรงข้ามมืดลง พวกเขาจึงพุ่งไปข้างหน้าและรุมโจมตีเฉินซีจากทุกทิศทาง โดยไม่เจรจาอะไรอีก
ตัดสินตามระดับความชำนาญในการลงมือ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเคยทำเช่นนี้มาหลายครั้งแล้ว
น่าเสียดายที่คนเหล่านี้ไม่รู้จักเฉินซี และคิดว่าชายหนุ่มเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับขั้นกลางที่รังแกได้ง่ายเท่านั้น ไม่เช่นนั้นคงไม่กล้าทำเช่นนี้แน่
ฉึก! ฉึก! ฉึก!
ร่างของเฉินซีสว่างวาบ โดยไม่หยุดนิ่ง ชายหนุ่มเพียงกระแทกผ่านกลุ่มคนจนหมดก่อนที่จะหายไป
ด้านหลัง เสาเลือดสีแดงร้อนแรงสาดกระจายไปในอากาศ ลำคอของคนทั้งกลุ่มมีรูเลือดเจาะผ่านลำคอ รูม่านตาขยายออก ใบหน้าพลันแข็งทื่อ
คลื่นเสียงหึ่ง ๆ ก็ดังก้องขึ้น พร้อมกับลำแสงสีม่วงพุ่งสู่ท้องฟ้า พาเหล่าคนที่ล้มเหลวในการจู่โจมเฉินซี ออกจากแดนโลหิตไป
จนกระทั่งถูกกำจัด พวกเขาก็ยังไม่เข้าใจเลยว่า เหตุใดถึงแพ้อย่างรวดเร็วและน่าอนาถเช่นนี้!
…
เหตุการณ์เล็กน้อยนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบใด ๆ ต่อเฉินซี ชายหนุ่มยังคงบินตรงไปข้างหน้า ใกล้จะออกจากขอบเขตพื้นที่ตะวันออกเฉียงใต้ของแดนโลหิตในอีกไม่กี่ลมหายใจ
ทว่าเสียงต่อสู้ก็ดังมาจากระยะไกลอย่างแผ่วเบา
สิ่งนี้ทำให้ร่างสูงใหญ่อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ยามนี้ การต่อสู้ในแดนโลหิตเกิดขึ้นบ่อยครั้งจริง ๆ
เดิมทีเขาวางแผนที่จะบินอ้อม แต่อึดใจต่อมา ดวงตาของเฉินซีหรี่ลง เปลี่ยนใจบินไปยังแหล่งที่มาของเสียงแทน
ที่แห่งนี้คือทะเลสาบสีเลือดที่ครอบคลุมพื้นที่หลายพันลี้ คลื่นสีเลือดพลุ่งพล่าน แผ่กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวของเลือดออกมา
ข้างทะเลสาบสีเลือดนั้นเองที่มีการต่อสู้เกิดขึ้น
ชายหนุ่มสองคนถูกห้อมล้อมด้วยฝูงสัตว์อสูรจักรวาลกว่าร้อยตัว พวกเขากำลังอยู่ในสถานการณ์คับขัน
และไม่ไกลจากการต่อสู้ครั้งนี้ ยังมีกลุ่มคนหนุ่มสาวที่ยืนอยู่ ทั้งหมดสวมเสื้อผ้าหรูหราและมีท่วงท่าที่ไม่ธรรมดา
โดยเฉพาะชายหนุ่มผู้เป็นหัวหน้า มีรูปลักษณ์ที่เกือบจะงดงาม ผมยาวครึ่งหนึ่งเป็นสีดำบริสุทธิ์ดุจราตรีนิรันดร์ และอีกครึ่งหนึ่งเป็นสีขาวดุจน้ำแข็งและหิมะ มันถูกขดเป็นมวยอยู่ด้านหลังศีรษะ ราวกับการบรรจบกันของหยินและหยาง ส่งให้เขาดูสง่างามเกินธรรมดา
คนผู้นี้เป็นหนึ่งในผู้นำรุ่นเยาว์ของเจ็ดตระกูลโบราณที่ยิ่งใหญ่ จ้งลี่ซวิน ผู้ครอบครองอันดับที่สี่ในรอบแรกของการทดสอบ!
เห็นได้ชัดว่าคนกลุ่มนี้เป็นศิษย์ของตระกูลจ้งลี่
“พี่ใหญ่ซวิน เราควรลงมือและฆ่าสองคนนี้เลยหรือไม่?” ใครคนหนึ่งถามเสียงต่ำ สายตาเต็มไปด้วยจิตสังหาร
“ทะเลสาบโลหิตแดนเถื่อนนี้ไม่ได้เป็นของเรา จะมีประโยชน์อะไรที่จะฆ่าพวกเขา? รออีกสักพักเถอะ ไม่นานพวกเขาจะถูกกำจัดเอง เมื่อถึงเวลานั้น คงไม่สายที่เราจะกวาดล้างสัตว์อสูรจักรวาลที่นี่อีกครั้ง”
จ้งลี่ซวินพูดอย่างไม่เร่งรีบ น้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยน และท่าทางสง่างาม นั้นชวนดึงดูดใจยิ่งนัก
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ศิษย์คนอื่น ๆ ของตระกูลจ้งลี่ จึงไม่ได้พูดอะไรอีก เห็นพ้องว่าสองคนนั้นจะถูกกำจัดในเร็ว ๆ นี้อย่างแน่นอน จึงไม่จำเป็นต้องลงมือเคลื่อนไหวใด ๆ ด้วยตัวเอง
สิ่งเดียวที่พวกเขาเสียใจคือ หากสองคนนั้นตายด้วยน้ำมือของพวกตน บางทีอาจได้รับแต้มดารามาบ้าง แต่เห็นได้ชัดว่าจ้งลี่ซวินรังเกียจเหยียดหยามแต้มดาราที่จะได้รับมาเหล่านั้น พวกเขาจึงไม่ได้พูดอะไรออกไป
“ขอความช่วยเหลือ? เจ้าไม่เห็นหรือว่าพวกนั้นเป็นคนของตระกูลจ้งลี่? แค่ไม่โจมตีเราก็ดีเกินพอแล้ว”
ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ถูกล้อมรอบด้วยสัตว์อสูรจักรวาล พูดผ่านกระแสปราณอย่างรวดเร็ว “เหลียงเริ่น ตั้งสมาธิ ตอนนี้ไม่มีเวลาให้เรามาว่อกแว่กได้หรอกนะ!”
เห็นได้ชัดว่าคนสองคนนี้คือ เหลียงเริ่นและกู่เยวหมิง แต่ในเวลานี้ ทั้งคู่ถูกล้อมอย่างแน่นหนา สถานการณ์ย่ำแย่อย่างยิ่ง ร่างกายชุ่มโชกไปด้วยเลือดสีแดงสด ที่ไม่รู้ว่าเป็นของตนหรือฝ่ายศัตรู
“ข้ารู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่ไม่สามารถนำข่าวนี้ไปให้เฉินซีได้” เหลียงเริ่นมีสีหน้าจริงจัง ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเสียใจ
“ข้าคิดว่า เจ้าจะเสียใจที่จะถูกคัดออก และจะไม่มีโอกาสเข้าสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าเสียอีก”
“เฮ้อ เราคงไม่มีโอกาสนั้น… อันที่จริง ตั้งแต่ก่อนที่เราจะเข้าร่วมการทดสอบ ข้ารู้ดีอยู่แล้วว่าข้ามีโอกาสเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่สามารถเข้าสู่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าได้ ดังนั้นแม้จะถูกคัดออก ข้าก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจมากนัก”
“เจ้านี่มันงี่เง่าสิ้นดี! ในเมื่อเจ้าได้มาถึงที่นี่แล้ว ก็พยายามอย่างเต็มที่และอย่าไปคิดมาก ผลที่ออกมา ใครจะมาทำนายได้กัน?”
“ทำไมไม่ให้ข้าปกป้องและช่วยเปิดทางให้เจ้าล่ะ? ด้วยวิธีนี้ อย่างน้อยพวกเราคนใดคนหนึ่งก็จะสามารถนำข่าวไปบอกเฉินซีได้ และบางทีเราอาจจะเข้าสู่การทดสอบรอบที่สามได้ด้วย”
“ไม่!”
“ทำไมเล่า? เลิกโวยวายได้แล้ว แค่ทำตามที่ข้าบอก ไม่งั้นเราจะถูกกำจัดทั้งคู่!”
จู่ ๆ เหลียงเริ่นก็ตะโกนใส่กู่เยวหมิงอย่างรุนแรง จากนั้นกระโดดข้ามและพุ่งตรงไปยังพื้นที่ที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูรจักรวาลหนาแน่นที่สุด
“เจ้า!” ดวงตาของกู่เยวหมิงแดงก่ำเมื่อเห็นสิ่งนี้ พวกมันเบิกกว้างแทบจะถลนออกมา
“เจ้าบ้า! ออกไปจากที่นี่เร็วเข้า!” เหลียงเริ่นคำรามอย่างเดือดดาล ทั้งร่างจมอยู่ในดงสัตว์อสูรจักรวาลแล้ว มีเพียงเสียงเท่านั้นที่ดังมาให้ได้ยิน
กู่เยวหมิงกัดฟัน เส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปน ชายหนุ่มไม่ลังเลที่จะพุ่งไปด้านข้างอีกต่อไป เมื่อเหลียงเริ่นดึงความสนใจจากกลุ่มของสัตว์อสูรจักรวาลไปจนหมด ความกดดันที่ตนเผชิญจึงลดลงอย่างเห็นได้ชัด
น่าเสียดายที่การฝ่าออกจากวงล้อมอันหนาแน่นนี้เป็นไปได้ยากนัก แต่อย่างน้อยที่สุด… ความหวังที่จะสำเร็จก็เพิ่มขึ้นมาก ใช่หรือไม่?
“ข้าไม่เคยคาดคิดว่าสหายสองคนนี้จะซื่อสัตย์เสียจริง” ศิษย์ของตระกูลจ้งลี่ ที่อยู่ห่างออกไปหัวเราะเบา ๆ
“ซื่อสัตย์ภักดีแล้วมีประโยชน์อย่างไร? ในเมื่อท้ายที่สุด ทั้งคู่ต้องถูกกำจัดอยู่ดี”
ศิษย์ของตระกูลจ้งลี่อีกคนหนึ่งกล่าว “อย่างไรก็ตาม ข้าเคารพการตัดสินใจของพวกเขาจริง ๆ หากพวกเขาขอความช่วยเหลือจากเราเพียงนิด ข้าอาจยกเว้นและให้ความช่วยเหลือสักครั้ง”
เมื่อคนอื่น ๆ ได้ยินคำพูดนี้ พวกเขาก็ยิ้มและส่ายหัว ในแดนโลหิตนี้ แม้แต่พี่น้องยังฆ่ากันเองได้ แล้วความซื่อสัตย์จงรักภักดีจะนับเป็นอะไรได้!
“เมื่อข้ามาถึงที่นี่ ความช่วยเหลือของพวกเจ้าก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป อย่างไรก็ตามข้าคงต้องขอขอบคุณแทนสหาย สำหรับความตั้งใจดีของเจ้า”
ทันใดนั้น เสียงอันสงบและไม่แยแสก็ดังก้องมาจากที่ไกลแสนไกล และดึงความสนใจของศิษย์ตระกูลจ้งลี่ทุกคนให้หันไปมอง แต่สิ่งที่ปรากฏในขอบเขตการมองเห็นกลับมีเพียงปราณกระบี่
ปราณกระบี่ที่เต็มไปด้วยพลังบดขยี้และสังหารอันน่าเกรงขาม ราวกับถูกควบแน่นจากทุกทิศทาง ทำให้การแสดงออกของศิษย์ตระกูลจ้งลี่ทั้งหมดเปลี่ยนไปเล็กน้อย
มีเพียงจ้งลี่ซวินเท่านั้นที่ยังคงสงบเช่นเดิม ในขณะที่ดวงตาปรากฏแสงวาววับดูเหมือนสายฟ้าสีดำและสีขาวไหลวนไปมา
โครม!
ปราณกระบี่ฟาดฟันลงมา จากนั้นเลือดก็พุ่งกระจายราวกับฝนเลือด!
กลุ่มของสัตว์อสูรจักรวาลกว่าร้อยตัว ไม่มีโอกาสแม้แต่จะส่งเสียงโหยหวน พวกมันถูกบดขยี้เป็นกองเลือดในพริบตา! มีเพียงเหลียงเริ่นและกู่เยวหมิงเท่านั้น ที่ยังยืนอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าตกตะลึงและประหลาดใจ
เมื่อเห็นฉากดังกล่าว การแสดงออกของศิษย์ตระกูลจ้งลี่ก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง มันเผยให้เห็นถึงความประหลาดใจและความสับสนไม่น้อย การโจมตีครั้งนี้น่ากลัวยิ่ง จนทำให้เกิดความไม่สบายใจขึ้นในใจ
ในตอนนี้เองที่พวกเขาเห็นบุคคลที่มาถึงอย่างชัดเจน เป็นชายหนุ่มรูปงามที่มีดวงตาลึกล้ำราวกับนภาที่เต็มไปด้วยดวงดารา ท่าทีเฉยเมยและไม่ธรรมดา เป็นเฉินซีนั่นเอง
ทว่าพวกเขาส่วนใหญ่ไม่รู้จักเฉินซี มีเพียงดวงตาของจ้งลี่ซวินเท่านั้นที่หรี่ลง ก่อนจะเผยประกายลึกล้ำ เพราะคาดเดาตัวตนของชายผู้นี้ได้แล้ว
เฉินซีไม่สนใจ ชายหนุ่มหยุดลงที่ข้างเหลียงเริ่นและกู่เยวหมิง และถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นว่าทั้งคู่ไม่ได้รับบาดเจ็บหนัก “โชคดีที่ข้าไม่ได้มาสายเกินไป”
จนกระทั่งตอนที่เฉินซีพูด เหลียงเริ่นและกู่เยวหมิงมองหน้ากันราวกับเพิ่งตื่นจากความฝัน พวกเขาชำเลืองมองกันและกัน ก่อนสีหน้าจะเต็มไปด้วยความสดใส ประหนึ่งได้เกิดใหม่หลังประสบภัยพิบัติ
ทั้งคู่ตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เฉินซีกลับโบกมือไปมา “ออกจากที่นี่ก่อน”
ขณะที่พูด ชายหนุ่มเหลือบมองไปยังศิษย์ของตระกูลจ้งลี่ที่อยู่ห่างไปโดยไม่ตั้งใจ
เหลียงเริ่นและกู่เยวหมิงเข้าใจได้ทันที พวกเขาจึงติดตามเฉินซีที่ออกไปไกล โดยไม่แม้แต่จะเหลือบมองศิษย์ของตระกูลจ้งลี่เลย