บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 1141 การสังหารนองเลือด
บทที่ 1141 การสังหารนองเลือด
บทที่ 1141 การสังหารนองเลือด
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
เสียงหวีดหวิวแหลมหูอีกสองครั้งได้ดังขึ้นจากส่วนลึกของเมฆ และฉีกหมอกที่หนาทึบออกจากกัน ปรากฏเป็นลำแสงพุ่งผ่านท้องฟ้า
ซึ่งในขณะนี้ จั่วชิวอินก็หายจากการตกใจ และไม่จำเป็นต้องไตร่ตรองว่าลำแสงเหล่านั้นคืออะไร ชายหนุ่มตะโกนสั่งการดังลั่น “ระวัง! จงระวังตัวอย่างเต็มที่!”
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดและไร้ความปรานี
เหล่าศิษย์จากตระกูลจั่วชิวดูเหมือนตื่นขึ้นจากความฝัน และสีหน้าของทุกคนเปลี่ยนเป็นจริงจัง พวกเขาหลบขึ้นไปบนฟ้าโดยสัญชาตญาณ ทำให้ทุกอย่างตกอยู่ในความโกลาหลทันที
ฉึก! ฉึก!
น่าเสียดายที่ปฏิกิริยายังช้าเกินไป ลำแสงสองสายได้พุ่งเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นเป็นอย่างยิ่ง เจาะทะลุเข้าลำคอของศิษย์ตระกูลจั่วชิวสองคนโดยตรง!
เลือดสาดกระจายไปทั่ว!
พร้อมกับลำแสงสีม่วงพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า!
ขณะที่เฝ้าดูเหตุการณ์ดังกล่าว สีหน้าของจั่วชิวอินก็มืดมนอย่างมาก เพราะในขณะนี้ ชายหนุ่มก็สามารถมองเห็นลำแสงที่พุ่งผ่านท้องฟ้าได้อย่างชัดเจน พวกมันเป็นกระบี่อมตะสามเล่ม!
อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มไม่สามารถจินตนาการได้อย่างแท้จริงว่า เป็นผู้ใดในบรรดาศิษย์ที่เข้าร่วมการทดสอบภายในแดนโลหิต ที่ความสามารถใช้เต๋าแห่งกระบี่ได้น่าเกรงขามถึงเพียงนี้!
“ช้าก่อน นี่ไม่ใช่การใช้กระบี่!”
วิถีของกระบี่อมตะที่พุ่งออกไปอย่างรุนแรง ได้ปรากฏขึ้นภายในจิตใจของชายหนุ่ม ทำให้จั่วชิวอินเข้าใจข้อเท็จจริงในทันที ว่านี่คือเต๋าแห่งคันศร ซึ่งแม่นยำ เฉียบคม!
ในแง่ของความเร็ว เต๋าแห่งคันศร นั้นเร็วกว่าเต๋าแห่งกระบี่เสียอีก!
ในแง่ของความรุนแรง เต๋าแห่งคันศรสามารถแสดงคำว่า ‘การสังหารด้วยการยิงเพียงครั้งเดียว’ ได้อย่างเต็มที่และชัดเจน
ในแง่ของความแม่นยำ ไม่มีใครในโลกนี้ที่สามารถเปรียบเทียบกับความแม่นยำที่นักธนูระดับปรมาจารย์ครอบครองได้
เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้มีคนใช้กระบี่อมตะเป็นลูกธนู เพื่อล่าพวกเขาจากที่ไกลแสนไกล!
ในขณะที่ความคิดเหล่านี้แวบเข้ามาในจิตใจของจั่วชิวอิน ชายหนุ่มก็ทะยานออกไป พร้อมกับกู่ร้องออกมา จากนั้นควักขวานอมตะขึ้นมา ก่อนที่จะเงื้อมันขึ้นและฟาดฟันลงมาประหนึ่งเทพสงคราม!
โครม!
หมอกที่น่าสะพรึงกลัวที่อยู่ไกลออกไป ถูกสับอย่างแรงจนแตกกระจายพร้อมกับเสียงโครมคราม มันถูกบดขยี้และกระจายออกไปโดยพลังอันน่าสะพรึงกลัวของขวาน รอยแยกที่แคบและลึกถูกเปิดออกบนภูเขาและพื้นดินที่ไกลออกไป!
ในทันทีที่หมอกที่น่าสะพรึงกลัวหายไป จั่วชิวอินก็พบร่างสูงที่ทะยานและหลีกเลี่ยงการโจมตีจากเขาได้อย่างง่ายดาย
ชู่ว! ชู่ว! ชู่ว!
ในขณะเดียวกัน ศิษย์คนอื่น ๆ ของตระกูลจั่วชิวก็หายจากอาการตกใจ และพุ่งตัวออกไปเพื่อสร้างแนวป้องกันแน่นหนา สีหน้าของพวกเขาตึงเครียดและมืดมนจนถึงขีดสุด
ในช่วงเวลาสั้น ๆ พวกเขาสามคนถูกกำจัด การสูญเสียอย่างกะทันหันนี้เอง ทำให้หัวใจของพวกเขายังคงถูกปกคลุมด้วยความหนาวเย็นจนกระทั่งถึงตอนนี้
“บัดซบ! เป็นผู้ใดกันที่กล้าลอบทำร้ายตระกูลจั่วชิว?”
“เราสูญเสียสหายสามคนไปในเวลาไม่ถึงหนึ่งลมหายใจ ต้องเป็นคนที่มีอำนาจสูงสุดเทียบได้กับตระกูลจั่วชิวของเราเท่านั้น ที่จะสามารถทำสิ่งนี้ให้สำเร็จได้!”
“บัดซบ! หากข้าจับมันผู้นั้นได้ ไม่ว่าจะที่แดนโลหิตหรือในโลกภายนอก ข้าจะฉีกมันเป็นชิ้น ๆ จากนั้นจึงเผากระดูกและโปรยเถ้าของมันทิ้งซะ!”
เหล่าศิษย์ของตระกูลจั่วชิวกัดฟัน ในดวงตาเต็มไปด้วยความอาฆาตมาดร้าย
จั่วชิวอินหายใจเข้าลึก เพื่อยับยั้งความเกลียดชังในใจของตน “มันคือเฉินซี!”
ทุกคนล้วนตกตะลึงเมื่อได้ยินชื่อนี้ และรู้สึกไม่เชื่อเล็กน้อย
จั่วชิวอินไม่ได้อธิบายใด ๆ ชายหนุ่มขมวดคิ้วพลางโบกมือ “ตอนนี้มันได้หลบซ่อนตัวแล้ว แต่มันอาจปรากฏตัวอีกครั้งได้ทุกเมื่อ ดังนั้นพวกเจ้าทุกคนต้องระมัดระวังให้มากขึ้น ไม่ว่ามันจะน่าสมเพชเพียงใด แต่มันก็คืออันดับที่เก้าในการทดสอบของรอบแรก!”
ทุกคนรู้สึกวิตกกังวลในใจเมื่อได้ยินสิ่งนี้ และสีหน้าพลันหนักอึ้ง
ในขณะเดียวกัน จั่วชิวเจิ้งที่ตัวเตี้ยและอ้วนก็เดินมาพร้อมกับกระบี่อมตะสามเล่มในมือ “สิ่งเหล่านี้ถูกทิ้งไว้ ข้าได้ตรวจสอบพวกมันแล้ว พวกมันเป็นเพียงกระบี่อมตะธรรมดาทั่วไป ไม่ได้อยู่ในระดับวิญญาณทมิฬเลยด้วยซ้ำ ข้าสงสัยว่ามันทำเรื่องนี้ได้อย่างไร”
“ไม่จำเป็นต้องดูพวกมันอีกต่อไป เจ้าเฉินซีใช้เต๋าแห่งคันศร เมื่อครู่มันอยู่ห่างออกไปสองร้อยห้าสิบลี้” จั่วชิวอินยื่นมือออกไปรับกระบี่อมตะ ก่อนที่จะบิดด้วยมือทั้งสองข้าง ทำให้กระบี่อมตะทั้งสามเล่มแหลกละเอียดเหมือนบิดเต้าหู้ และไหลลงมาจากรอยแยกระหว่างนิ้ว
รูม่านตาของจั่วชิวเจิ้งตีบตัน ขณะกล่าวด้วยความประหลาดใจและงุนงง “ญาณมหาเทวะอมตะของทุกคนถูกจำกัดอยู่ในแดนโลหิต แม้แต่บุคคลเช่น จี้เซวียนปิง เจิ่นลู่ และจ้าวเหมิงลี่ก็สามารถใช้ญาณมหาเทวะอมตะค้นหาได้เพียงระยะสองร้อยห้าสิบลี้เท่านั้น แล้วเจ้าเด็กนั่นจะระบุเป้าหมายได้อย่างไร?”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ ชายร่างอ้วนก็หยุดชั่วครู่ คิ้วขมวดแน่นยิ่งขึ้น “ไม่ต้องกล่าวถึงว่าเมื่อผู้เยี่ยมยุทธ์ในเต๋าแห่งคันศรล่าศัตรู มีข้อกำหนดที่รุนแรงอย่างยิ่งสำหรับญาณมหาเทวะอมตะ หากผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้พวกเขาไม่สามารถระบุเป้าหมายได้ จึงต้องเลือกสถานที่ซุ่มยิงที่ยอดเยี่ยม ก่อนจะทำการเคลื่อนไหวใด ๆ เพื่อให้ญาณมหาเทวะอมตะถูกใช้ได้อย่างเต็มที่…”
ก่อนจะกล่าวจบ จั่วชิวอินได้ขัดจังหวะเสียก่อน “แล้วถ้ามันไม่ใช้ญาณมหาเทวะอมตะล่ะ? อย่าลืมว่าเนตรทองคำขาวจักรพรรดิพิสุทธ์ เนตรหยกทมิฬ เนตรเพลิงทองคำ หรือเคล็ดวิชาอื่น ๆ ที่มีความสามารถในการมองทะลุความเป็นจริง และสามารถสังเกตเห็นระยะทางที่คนทั่วไปสามารถจินตนาการได้”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ถูกกล่าวออกไป รูม่านตาของจั่วชิวเจิ้งก็หดเล็กลง “หากเป็นเช่นนั้น เรื่องนี้ก็ยุ่งยากแล้ว” จั่วชิวอินหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อสงบจิตสงบใจของตน “ข้าไม่คิดเลยว่าเป้าหมายของเราจะสามารถพลิกสถานการณ์ได้เช่นนี้… ”
ชายหนุ่มเงยศีรษะขึ้นเพื่อจ้องมองไกลออกไป สายตาเย็นยะเยือก ทั้งยังปกคลุมไปด้วยสีหน้าอันน่าสยดสยอง “ข้าคิดว่าพวกเจ้าทุกคนคงทราบดีถึงสถานการณ์ตรงหน้านี้ เจ้าเด็กนั้นมีความชำนาญในเต๋าแห่งคันศร และมีเคล็ดวิชาที่คล้ายกับเนตรเพลิงทองคำ ซึ่งอาจถือได้ว่ามันได้ครอบครองตำแหน่งที่ได้เปรียบแล้ว ดังนั้นภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เราต้องเริ่มโจมตี มิฉะนั้นเราจะถูกล่า และถูกกำจัดออกจากการทดสอบ!”
ทุกคนต่างตกตะลึงในใจ สีหน้าพลันหนักอึ้งยิ่งขึ้น
เพราะไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนไปถึงขนาดนี้ เป้าหมายไม่เพียงเริ่มโจมตีก่อนเท่านั้น แต่ยังสังหารสหายของพวกเขาไปสามคนในคราวเดียว!
ในใจไม่กล้าที่มองว่าเป้าหมายเป็นคนธรรมดาอีกต่อไป!
“ข้าจะสั่งการอยู่ที่นี่ อาเจิ้งจงนำผู้เยี่ยมยุทธ์เก้าคนที่ติดอันดับหนึ่งในร้อยออกไปค้นหาบริเวณใกล้เคียง จงจำไว้ว่าเกาะกลุ่มกันไว้ และส่งสัญญาณทันทีที่พบกับร่องรอยของศัตรู!”
จั่วชิวอินออกคำสั่งอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงทรงพลังว่า “การต่อสู้ครั้งนี้เกี่ยวข้องกับความรุ่งโรจน์ของตระกูล! และยังเกี่ยวข้องกับการเข้าสู่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า! ดังนั้นเราจะแพ้ไม่ได้!”
ศิษย์ของตระกูลจั่วชิวทุกคนฟื้นคืนความสุขุม เผยให้เห็นถึงความแน่วแน่และความเด็ดเดี่ยว
จั่วชิวเจิ้งเลือกศิษย์ที่ตื่นตัวอย่างยิ่งยวดเก้าคน พร้อมความแข็งแกร่งที่น่าเกรงขามทันที ก่อนจะออกจากภูเขาเหยี่ยวโทมนัสไป
“คนอื่น ๆ จงเตรียมตัวให้พร้อม ตราบใดที่อาเจิ้งส่งข่าวกลับมา เราจะตามไปสนับสนุนทันที!” จั่วชิวอินกวาดสายตามองคนอื่น ๆ และกล่าวอย่างใจเย็น
“ขอรับ!”
…
ห่างจากภูเขาเหยี่ยวโทมนัสห้าร้อยลี้ เป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์อย่างมาก แต่ส่วนที่น่ากลัวที่สุดคือต้นไม้ โขดหิน หรือแม้แต่พื้นป่าก็ยังเป็นสีแดงเข้มประหนึ่งเลือด!
ราวกับเลือดปกคลุมทั่วทั้งป่า ทุกกิ่งก้านและใบเหมือนชิ้นเนื้อ ซึ่งดูเหมือนเลือดกำลังไหลรินอยู่ตลอดเวลา
ป่าแห่งนี้ถูกเรียกว่า ‘ป่าโลหิต’
มันเป็นหนึ่งในสถานที่ที่จ้าวสัตว์อสูรจักรวาลของพื้นที่ตะวันออกเฉียงใต้ใช้จำศีล แต่ในขณะนี้จ้าวสัตว์อสูรจักรวาลตนนั้นได้ตายลงด้วยน้ำมือของเฉินซี ทำให้ป่าแห่งนี้ได้สูญเสียเจ้าของของมันไป
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
จั่วชิวเจิ้งนำกองกำลังที่ตนเลือกอย่างระมัดระวัง และออกค้นหาไปทั่วที่แห่งนี้ พวกเขาต่างมีสีหน้าระแวดระวังและประหม่าตึงเครียด ไม่กล้าประมาทแม้แต่ก้าวเดียว
“สถานที่นี้อยู่ห่างจากภูเขาเหยี่ยวโทมนัสห้าร้อยลี้ แม้ว่ามันจะมีเนตรเพลิงทองคำ ก็ไม่อาจสอดส่องสถานการณ์บนภูเขาเหยี่ยวโทมนัสได้”
“เราจะค้นหาที่อื่นต่อ เมื่อเรารับประกันว่าบริเวณโดยรอบไม่มีร่องรอยของเป้าหมาย เราก็สามารถกลับได้ทันที ข้าจะแนะนำพี่ใหญ่อินว่าควรย้ายค่ายออกจากภูเขาเหยี่ยวโทมนัส เราควรเลือกที่ราบที่มีทัศนวิสัยชัดเจน ด้วยวิธีนี้ศัตรูก็จะไม่มีที่ซ่อน!”
จั่วชิวเจิ้งค้นหาโดยรอบ ขณะกล่าวอย่างรวดเร็วผ่านกระแสปราณ “จงจำไว้ว่า อย่าได้ผลีผลาม แม้จะเห็นเป้าหมายแล้วก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการส่งข่าวกลับไปที่ค่าย”
คนอื่น ๆ พยักหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน
ไม่นาน กลุ่มของพวกเขาก็กำลังจะค้นหาจนสุดป่าโลหิต แต่กลับไม่พบร่องรอยผิดปกติใด ๆ
ทว่าเมื่อกำลังจะหันไปหาทิศทางอื่น พวกเขาก็ต้องตะลึงเล็กน้อย หลังสังเกตเห็นร่างสูงยืนอยู่ในระยะไกล!
ร่างนี้ไม่คิดหลบซ่อนแม้แต่น้อย ชายผู้นั้นยืนหันหลังให้พวกเขาอย่างเปิดเผย
ชายหนุ่มสวมชุดคลุม มีรูปร่างตรงดั่งทวน แน่นอนว่าเป็นเฉินซีอย่างไม่ต้องสงสัย อีกทั้งยังเป็นเป้าหมายของพวกเขาเช่นกัน!
“รีบส่งข่าว! เร็วเข้า!” จั่วชิวเจิ้งสั่งผ่านกระแสปราณด้วยเสียงอันน่ากลัว
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ทว่าในเวลาเดียวกันกับที่จั่วชิวเจิ้งกล่าวผ่านกระแสปราณ ฉากที่ทำให้ชายร่างอ้วนต้องประหลาดใจก็ปรากฏขึ้น เฉินซีที่อยู่ห่างไกลยังคงยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่ขยับ แต่เสียงที่แหลมคมและเสียดหูของอากาศที่ถูกฉีกกระชาก พลันดังออกมาจากด้านหลัง!
ทันใดนั้น พวกเขาทั้งหมดรู้สึกถึงคลื่นความเย็นยะเยือกไหลลงมาตามกระดูกสันหลัง เส้นขนทุกเส้นตั้งชูชัน ไม่มีเวลาแม้แต่จะคิด ทุกคนหลบไปด้านข้างโดยสัญชาตญาณ
โครม! โครม! โครม!
กระบี่อมตะเล่มแล้วเล่มเล่าได้เปลี่ยนเป็นลูกธนู และฉีกทะลุอากาศเหมือนสายฟ้า พวกมันแฝงไปด้วยพลังทะลุทะลวงที่ไม่มีใครเทียบได้ ในขณะที่ถูกยิงออกมาเหมือนระเบิด!
การโจมตีครั้งนี้ประกอบด้วยกระบี่อมตะกว่าสิบเล่มที่พุ่งทะลุผ่านท้องฟ้า ศิษย์ตระกูลจั่วชิวสี่คนถูกสังหาร และกระบี่อมตะเล่มอื่น ๆ ก็พุ่งผ่านร่างของคนอื่น ๆ อย่างน่าหวาดเสียว ก่อนที่จะเจาะผ่านพื้นดินอย่างรุนแรง ทำให้หินแตกเป็นเสี่ยง ๆ และปรากฏหลุมไร้ก้นบึ้งบนพื้นดิน!
โอม!
ในช่วงเวลาเพียงน้อยนิดนี้เองที่ศิษย์ของตระกูลจั่วชิวได้ส่งสัญญาณออกไปได้สำเร็จ มันกลายเป็นแสงเพลิงพร่างพราวพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
เมื่อเห็นสิ่งนี้ จั่วชิวเจิ้งก็รู้สึกเศร้าโศกต่อคนในตระกูลที่ถูกกำจัด จากนั้นชายร่างอ้วนก็หันกลับอย่างรวดเร็วและคำรามด้วยเสียงอันดุร้าย “เฉินซี! มันจบสิ้นแล้ว! เจ้ามันจบสิ้นแล้ว!”
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
คำตอบที่ได้รับกลับมา มีเพียงเสียงของอากาศที่ถูกแหวกออก มันคือกระบี่อมตะจำนวนมากที่เปลี่ยนเป็นลูกธนูพุ่งออกมาอย่างรุนแรง ประหนึ่งเคียวของยมทูตที่มุ่งหมายเอาชีวิต!