บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 1144 มารผจญ
บทที่ 1144 มารผจญ
บทที่ 1144 มารผจญ
หากจะพูดให้ถูกก็คือ จั่วชิวอินและคนอื่น ๆ ติดอยู่ภายในค่ายกลใหญ่
แสงศักดิ์สิทธิ์ส่องออกจากภายในค่ายกล โอบล้อมพื้นที่กว่าพันลี้รอบทิศด้วยมายาหลายชั้น มีสิ่งมีชีวิตอยู่ทุกรูปแบบ ร่างดาวฤกษ์ มังกรเหิน พยัคฆ์กระโจน… แต่ละภาพมายามีพลังอำนาจและแรงกดดันสูงส่ง
ทว่าเฉินซีคิดไว้แล้วว่าถึงแม้ค่ายกลมายานี้จะลึกล้ำเพียงใด แต่ก็ทำได้แค่กักศัตรูไว้ภายใน
เมื่อใช้เนตรเทวะแห่งความจริงก็คล้ายว่าค่ายกลมายาไม่มีอยู่ เพราะภาพภายในปรากฏขึ้นภายในจิตใจเขาอย่างชัดเจน
เป็นกลุ่มชายหนุ่มและหญิงสาวที่ขังจั่วชิวอินและคนอื่น ๆ มากกว่าร้อยคนไว้ พวกเขาซุ่มหลบอยู่รอบ ๆ ค่ายกลใหญ่ เข้าโจมตีจั่วชิวอินและคนอื่น ๆ ที่อยู่ภายในค่ายกลอยู่หลายครั้ง
คนเหล่านี้คงมาจากกองกำลังอื่นที่ไม่ใช่คนจากมหาอำนาจ พละกำลังไม่สูงส่งนัก ฝีมือต่อสู้เทียบเท่ากับผู้ที่อยู่อันดับสี่ร้อยบนเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้า
ที่เก่งที่สุดอยู่ภายในร้อยอันดับแรกเท่านั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ ถึงแม้ขังจั่วชิวอินและคนอื่น ๆ ไว้ภายในค่ายกลใหญ่ได้ แต่ก็สังหารได้ยาก
อย่างไรมันก็เป็นค่ายกลมายา ไม่ใช่ค่ายกลต่อสู้ อีกทั้งความต่างพลังยังมากเกินไป จึงไม่สามารถทำอะไรพวกจั่วชิวอินได้ในระยะเวลาสั้น ๆ เช่นนี้
ค่ายกลใหญ่นี้คงถูกตั้งขึ้นมานานแล้ว เดิมทีเอาไว้ล่าสัตว์อสูรจักรวาล ใครจะไปคิดว่าจั่วชิวอินกับพวกจะดันตกลงไปได้? เฉินซีสังเกตว่าพวกคนที่หลบอยู่รอบค่ายกลใหญ่เต็มไปด้วยสีหน้ากังวล ดูลังเล อีกทั้งยังไม่กล้าลงมืออยู่นาน
เห็นได้ชัดว่ารู้ตัวตนจั่วชิวอินและคนอื่น ๆ แล้ว แต่เพื่อแต้มดารา ก็ยังเลือกเข้าโจมตีอย่างห้าวหาญ น่าเสียดายที่พลังต่างกันเกินไป ผ่านไปนานจึงยังไม่สำเร็จสักที
เมื่อเวลาผ่านไป ไม่ใช่เพียงฆ่าคนตระกูลจั่วชิวไม่ได้ แต่พวกตนเองกว่าสิบคนยังถูกจั่วชิวอินและคนอื่น ๆ ฆ่าแทน…
ทำให้กลุ่มคนรอบค่ายกลใหญ่เริ่มลังเลไม่สบายใจ ไม่รู้ว่าควรถอยหรือควรรุกต่อ
เฉินซีเห็นแล้วก็ส่ายหน้าออกมา ไม่ว่ากระดูกจะแข็งแค่ไหนก็คงตัดใจโยนทิ้งไม่ได้ ตอนนี้มีแต่ต้องสู้สุดตัว จะยังมัวลังเลอะไรอีก?
ถ้าเลือกจะหนีก็ควรทำเสียตอนนี้ เพราะหากลังเลจะยิ่งเสียเปรียบ
แล้วก็เป็นไปดังคาด ไม่นานจั่วชิวอินกับพวกก็สังหารคนไปอีกสิบกว่าคน ทำเอาสีหน้าพวกที่อยู่รอบค่ายกลสลับสับเปลี่ยนไปไม่สิ้นสุด
จากนั้นทุกคนก็รีบหนีไปคนละทิศคนละทาง
เฉินซีหรี่ตาลง จากนั้นหยิบธนูสีดำสนิทและกระบี่เซียนออกมา ก่อนจะเหนี่ยวสายธนูจนตึง
ชิ้ง!
กระแสแสงสีดำฉายออกมาจากดวงตาแนวตั้งที่หว่างคิ้ว ดูแล้วคล้ายหลุมดำ เส้นพลังแผ่ออกมาจากตัวธนู หมอกปราณเซียนพิสุทธิ์ปกคลุมจนทั่ว มันคำรามเสียงมังกรและพยัคฆ์ออกมาให้ได้ยินแผ่วเบา
ฟึบ!
กระบี่เซียนกรีดผ่านฟ้าคล้ายเส้นแสง พุ่งไปไกลนับพันลี้
ฟึบ! ฟึบ!
หลังกระบี่เซียนถูกยิงออกไป เฉินซีก็ไม่รอช้ายิงตามไปทันที กระบี่เซียนเล่มแล้วเล่มเล่าที่ยิงออกไปกลายเป็นศรสังหารอันเฉียบคมพุ่งไปภายใต้เนตรเทวะแห่งความจริง
ทั้งความรวดเร็ว ความแม่นยำ ความโหดเหี้ยม ล้วนเป็นหลักสำคัญที่สุดของเต๋าแห่งคันศร!
…
“สุนัขไร้ฝีมือเหล่านี้คิดจะลอบสังหารเราอย่างนั้นหรือ? น่าขันสิ้นดี!”
“จากผู้ล่ากลายเป็นผู้ถูกล่าเสียเองเช่นนี้ย่อมรับไม่ได้ ข้าเข้าใจความรู้สึกพวกเขาดี ฮ่า ๆ!”
“ทำลายค่ายกลออกไปก่อนเถอะ พวกโง่นั่นคงหนีไปได้ไม่ไกล ในเมื่อมันกล้าแหย่เสือ ก็ต้องสอนบทเรียนไม่รู้ลืมให้กันบ้าง!”
ภายในค่ายกลใหญ่ คนตระกูลจั่วชิวทั้งหลายพากันหัวเราะเยาะเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหนีกระจัดกระจายไปทั่ว ระหว่างนั้นก็ซัดพลังใส่ค่ายกลมายาไปด้วยจนสะเทือนเลือนลั่น
“ไม่ต้องตามล่ามันหรอก ทำลายค่ายกลแล้วมุ่งหน้าไปเขตกลาง อย่าลืมว่าไอ้บัดซบนั่นยังตามเรามาอยู่” จั่วชิวอินเอ่ยน้ำเสียงเย็นยะเยือก เผยความเกลียดชังออกมา
ทุกคนตกใจ สีหน้าตื่นเต้นยินดีพลันหาย กลายเป็นจริงจังเหี้ยมโหดแทน
ตู้ม!
เสียงระเบิดดังก้องขึ้น เกิดเป็นริ้วแยกภายในค่ายกลมายา
“ค่ายกลแตกแล้ว…” ศิษย์ตระกูลจั่วชิวคนหนึ่งดูตื่นเต้น กำลังจะพุ่งออกไป ลำแสงพลันวาดผ่านตา พริบตาเดียวชายคนนั้นก็กรีดร้องลั่น เลือดสาดกระเซ็น ยังไม่ทันร่วงถึงพื้นก็กลายเป็นก้อนแสงสีม่วง ถูกนำออกจากแดนโลหิตไปแล้ว
เวร! เจ้าเด็กนั่นตามมาแล้ว!
คนอื่นได้เห็นต่างตกใจกลัว ทั้งหวาดกลัวทั้งโกรธเกรี้ยว รีบกระโดดหลบไปด้านข้างทันใด
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
กระบี่เซียนที่ทำหน้าที่เป็นลูกศรพุ่งผ่านเข้ามาจากรอยแยก มันเยือกเย็น เต็มไปด้วยไอสังหาร และไร้ความปรานี กรีดผ่านห้วงอากาศพร้อมประกายไฟ ส่งเสียงหวีดหวิวแสบแก้วหู
คนตระกูลจั่วชิวไหวตัวไม่ทันถูกแทงเข้าร่างจนเลือดกระเซ็นไปทั่ว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นแสงสีม่วงพุ่งขึ้นฟ้าไป
ศิษย์คนหนึ่งเผยสีหน้าเหี้ยมออกมายามกำลังถูกโจมตี ชายคนนั้นเปลี่ยนเป็นแสงสีม่วงเองแล้วหายไปก่อนที่ ‘ลูกธนู’ จะถูกตัวเขาได้
ส่วนคนอื่น ๆ เตรียมตัวไว้นานแล้ว ดังนั้นจึงไม่เป็นอะไร
น่าเสียดาย สังหารไปได้เพียงสี่คน มีคนหนึ่งเปิดใช้ตราดาราม่วงและออกจากแดนโลหิตไปเอง… พันลี้ เฉินซีพึมพำในลำคอ ชายหนุ่มโบกมือให้พวกที่อยู่ไกล ๆ แล้วก็หันหลังหายตัวไป
ภายในค่ายกลใหญ่ จั่วชิวอินซึ่งหายตกใจ คำรามลั่น “ต้องให้บอกอีกกี่ครั้งว่าให้ระวัง? พวกเจ้าหูหนวกกันหรืออย่างไร!?”
เกิดความเงียบน่าอึดอัดขึ้นชั่วขณะ จังหวะนั้นเองที่จั่วชิวอินจึงรู้ตัวว่าพวกที่ไม่ระวังถูกนำออกจากแดนโลหิตไปแล้ว…
จั่วชิวอินรู้สึกขัดใจยิ่ง จึงได้แต่โบกมือกล่าว “ทำลายค่ายกลออกไป!”
แต่การเดินทางย่อมไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด เฉินซีเป็นเหมือนภูตผี เดี๋ยวมาเดี๋ยวไป ลอบโจมตีอยู่หลายครั้ง เป็นเหมือนมารผจญตามรังควานไม่จบสิ้น
แม้จะไม่ได้ทำอันตรายใดแก่จั่วชิวอินและคนอื่น ๆ แต่ก็ทำให้อารมณ์ตึงเครียดอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าพุ่มไม้หรือต้นไม้ก็กลายเป็นศัตรูได้ทั้งสิ้น มีแต่สงสัยในทุกสิ่ง หลังจากเป็นเช่นนี้ติดต่อกันสองวัน จิตใจของจั่วชิวอินและคนอื่น ๆ ล้วนเหนื่อยล้า สภาพภายนอกจึงดูท้อแท้อยู่เล็กน้อย อีกทั้งยังมีสีหน้าไม่น่ามองอีกด้วย
นอกจากถูกลอบโจมตีอยู่หลายครั้งแล้วยังไม่ได้แต้มดาราอีกต่างหาก อันดับบนกำแพงลอยแห่งแสงคงมีแต่ต่ำลงเรื่อย ๆ เป็นแน่!
ทั้งหมดนี้ทำให้จั่วชิวอินเหมือนถ่วงหินก้อนใหญ่ไว้ในอก เป็นความรู้สึกเจ็บปวดเหลือทน
ค่ำวันที่สองนั้น จั่วชิวอินก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป คำรามเสียงต่ำใส่หุบเขาเวิ้งว้างทันใด “เฉินซี! เผยตัวออกมาสิ! ข้า จั่วชิวอิน ยืนอยู่ตรงนี้อย่างไรเล่า! กล้าสู้กันซึ่งหน้าไหมเล่า?”
หุบเขาเงียบสงัด ได้ยินเพียงเสียงคำรามของจั่วชิวอินดังสะท้อนกลับมาเท่านั้น
เก้าพันสี่ร้อยแต้มดารา
ได้ยินว่าเมื่อครั้งพิรุณเผาผลาญหลิงชิงอู๋รับบททดสอบที่สองเมื่อหลายปีก่อนยังได้แค่เก้าพันแต้ม แต่ก็ได้อันดับแรกไปครองแล้ว ไม่รู้ว่าอันดับในตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง… เฉินซีได้ยินเสียงคำรามของจั่วชิวอินก็ไม่สนใจ เริ่มตรวจแต้มดาราภายในตราดาราม่วงของตนแทน
บททดสอบรอบสองมาถึงขั้นสุดท้ายแล้ว ตอนนี้ถึงไม่ต้องใช้ตราดาราม่วงแล้วออกจากแดนโลหิตไปเอง ก็สามารถผ่านเข้ารอบที่สามไปได้อย่างง่ายดาย
เท่าที่เฉินซีรู้มานั้น ผู้บ่มเพาะหลายคนที่มีพละกำลังอ่อนแอกว่าคงจะออกจากการทดสอบไปแล้ว พวกที่เหลืออยู่ก็มีแค่คนจากกองกำลังใหญ่เท่านั้น
เหตุผลนั้นไม่ซับซ้อน คนอื่นเมินเรื่องอันดับได้ แต่คนจากมหาอำนาจเห็นเรื่องอันดับสำคัญกว่าสิ่งใด
เพราะมันหมายถึงเกียรติและศักดิ์ศรีของกองกำลัง ทั้งยังเกี่ยวข้องกับทรัพยากรและฐานะในกองกำลังของตนด้วย ดังนั้นไม่สนก็คงไม่ได้
จั่วชิวอินคำรามอยู่พักหนึ่ง รู้สึกว่ามันทั้งไร้ประโยชน์และน่าอาย ดังนั้นจึงกลับมามีสีหน้าเคร่งขรึมและเงียบเสียงลง หันหลังกลับหมายพาคนออกเดินทางต่อ
แต่ทันใดนั้นก็ต้องหรี่ตาลงเมื่อญาณมหาเทวะอมตะสัมผัสได้ว่าเฉินซีเปิดกลิ่นอายตนอยู่ไกล ๆ ตำแหน่งอยู่ที่ภูเขาด้านข้าง เคลื่อนไหวไปพร้อมกันกับพวกตน!
ทำให้จั่วชิวอินรู้ว่าเฉินซีจะไม่หยุดจนกว่าจะล่าหัวพวกเขาได้ครบทุกคน!
จั่วชิวอินรู้สึกหัวเสียอยู่ชั่วขณะ ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ จะไล่ล่าก็ไม่ได้ จะหนีก็ไม่ได้ เรื่องสำคัญคือสำหรับคนตระกูลจั่วชิวแล้ว บททดสอบนี้เกี่ยวเนื่องถึงความภาคภูมิของตระกูล ดังนั้นจึงไม่สามารถออกจากแดนโลหิตไปได้!
ณ โลกภายนอก หลายคนสังเกตเห็นว่าสองวันที่ผ่านมานี้แต้มดาราของเฉินซีรั้งอันดับหนึ่งไม่ขยับเลยสักนิด ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวันเจิ่นลู่ก็คงเอาชนะเขาได้
และหากเป็นเช่นนั้นจริง เฉินซีก็อาจถูกจี้เซวียนปิง จ้าวเมิงลี่ จ้งลี่ซวิน และคนอื่น ๆ แซงหน้าได้เช่นกัน
จึงทำให้หลายคนถอนหายใจออกมา ยิ่งรู้สึกมั่นใจว่าในบททดสอบรอบสองนี้ พวกที่มาคนเดียวย่อมไม่สามารถเทียบเคียงพวกที่มากันเป็นกลุ่มได้
ตัวอย่างเช่นเฉินซีอย่างไรเล่า
และก็มีหลายคนที่สังเกตเห็นว่าแต้มดาราคนตระกูลจั่วชิวเองก็ไม่เปลี่ยนไปจนถูกคนอื่นนำหน้าไปหลายคนด้วยเช่นกัน
ในหมู่เจ็ดตระกูลใหญ่บรรพกาล ภพพุทธองค์ ภพมังกร ภพวิหคอมตะ และมหาอำนาจอื่น ๆ อันดับของคนตระกูลจั่วชิวรั้งท้ายจนเด่นเกินควร ทำให้หลายคนซุบซิบนินทากันไปทั่ว
เมื่อได้ยินเสียงนินทาและสายตาที่มองมาจากคนรอบข้าง สีหน้าของจั่วชิวเคอและคนอื่น ๆ ก็บึ้งตึงยิ่งกว่าเก่า หากไม่ใช่เพราะฐานะที่มีก็คงจากไปทันทีแล้ว!
นี่มันน่าอายเกินไป!
หลายปีที่ผ่านมา ตระกูลจั่วชิวยืนอยู่เหนือภพเซียนมาโดยตลอด เคยมีครั้งไหนที่ต้องอับอายเช่นนี้บ้าง?
“ส่งคำไปให้ท่านลุงเหวิน ข้าต้องการให้เขากำจัดเฉินซีออกจากบททดสอบรอบสองให้ได้!” จั่วชิวเคอกัดฟันแน่นแล้วส่งกระแสปราณออกไป เค้นคำพูดออกมาทีละคำด้วยความเคียดแค้น
คนอื่น ๆ ในตระกูลจั่วชิวเงียบไป จากนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจ ไล่เฉินซีออกไปได้แล้วอย่างไร? เขาก็ยังสามารถเข้าบททดสอบรอบถัดไปได้อยู่ดี…
“เร็วเข้า! ไม่ได้ยินหรือ!?” จั่วชิวเคอกัดฟันแน่น นางรู้ว่าทำไปก็ไม่ได้อะไร แต่นางไม่อาจทนได้ ไม่อาจทนเห็นชื่อของเฉินซีปรากฏอยู่อันดับแรกได้!