บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 1156 ศิลาลับเต๋าแห่งทะเลสาบสะท้อนดวงกมล
บทที่ 1156 ศิลาลับเต๋าแห่งทะเลสาบสะท้อนดวงกมล
บทที่ 1156 ศิลาลับเต๋าแห่งทะเลสาบสะท้อนดวงกมล
จ้าวเมิ่งหลีออกไปแล้ว พร้อมกับสายตาไม่เป็นมิตรหลายคู่
เป็นเพราะเฉินซีเพิ่งยอมรับว่าตนเองบังเอิญทำให้เกิดการต่อสู้ขึ้นมา หรือก็คือตัวต้นเหตุคือเขานั่นเอง!
แม้ปากจะบอกให้อภัยตนเพราะกล้ายอมรับ แต่เฉินซีรู้ดีว่าถึงนางจะ กล่าวเช่นนั้น แต่ก็ทำให้คนอื่นเกิดความเป็นปฏิปักษ์ต่อเขาเช่นกัน
เหตุผลไม่ซับซ้อน ในเมื่อนางตั้งใจจะยกโทษให้ เหตุใดต้องเป็นตอนนี้? อีกทั้งยังถามต่อหน้าทุกคน เห็นได้ชัดว่าอยากให้คนอื่นได้ยิน
เช่นนี้เรียกว่าส่งต่อความเป็นศัตรูให้ผู้อื่น
นับว่าลงมืออย่างแนบเนียนยิ่ง
เฉินซีจึงได้แต่ถอนหายใจ จ้าวเมิ่งหลีเป็นสตรีที่ไม่ยอมเสียเปรียบแม้แต่นิดเดียว
แน่นอนว่าชายหนุ่มไม่คิดมาก เพราะอย่างไรก็เป็นการทดสอบ อย่างที่เจิ่นลู่เคยว่าไว้ ไม่มีการห้ามความโหดร้าย การฆ่าฟัน หรือห้ามสิ่งอื่นใด ฉะนั้นจะใช้วิธีใดก็นับว่ามีเหตุผลทั้งสิ้น
ส่วนคนอื่นจะมองตนเป็นศัตรูนั้นแล้วอย่างไร หากสถานการณ์เลวร้ายถึงขนาดลงมือ เขาก็จะตบกลับบ้านไปเสียให้หมด เฉินซีอาจรู้สึกเกรงกลัวภูมิหลังของพวกเขาอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ได้เป็นศิษย์สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าแล้ว จะต้องกลัวสิ่งใดอีก?
…
ภายใต้การนำของหวังต้าวหลู ทุกคนมาถึงหน้าทะเลสาบกว้างใหญ่แห่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว
น้ำในทะเลสาบกระจ่างใสสะท้อนแสงเปล่งประกาย กินพื้นที่กว้าง ในขณะที่เสาหินสีดำสนิทจำนวนมากที่สูงราวเก้าสิบจั้งตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางทะเลสาบ หากมองไกล ๆ ก็เหมือนป่าหินท่ามกลางทะเลสาบ
ตอนนี้มีแท่นบวงสรวงเต๋าโบราณยาวเก้าสิบจั้งตั้งอยู่ริมทะเลสาบ ด้านบนแท่นบวงสรวงเต๋าคือหลายเงาร่างกำลังนั่งอยู่ นับได้เกือบสิบคนมีทั้งชายและหญิง
ดูแล้วน่าจะเป็นยอดฝีมือจากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ทุกคนสวมชุดคลุมหลวม ๆ และมีผ้าคาดเอว ท่าทีสงบนิ่ง ไม่ได้ปลดปล่อยพลังสะท้านฟ้าดินออกมา กลิ่นอายค่อนข้างเรียบง่าย แต่หากพินิจให้ดี ก็พบกับความรู้สึกประหนึ่งกำลังมองขุนเขาสูงตระหง่าน เหมือนผสานรวมเข้ากับฟ้าและดิน ทับซ้อนกับมหาเต๋า เกิดความรู้สึกเคารพนับถือขึ้นภายใน
ชายวัยกลางคนผมเริ่มมีสีขาวแต่ยังคงความหล่อเหลาคนหนึ่งในชุดคลุมหลวมนั่งอยู่ในตำแหน่งเจ้าภาพ เขานั่งหลังตรงเหมือนเสาสวรรค์ ไหล่กว้างเหมือนขุนเขาที่ทอดตัวยาว นั่งอยู่เช่นนั้นด้วยท่าทางสบายอารมณ์ คล้ายกับไม้เท้าวิเศษของราชันวานร ปลดปล่อยกลิ่นอายน่าชื่นชมออกมา
คนผู้นี้ก็คืออาจารย์ใหญ่สายนอกแห่งสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า โจวจื่อหลี!
ผู้อาวุโสที่อยู่ขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นมาหลายปีแล้ว ตามข่าวลือเล่าว่าเมื่อล้านปีก่อนเขาเคยเป็นผู้ที่ทุกคนรู้จักในภพเซียน เมื่อสมัยที่เทพอสูรยังท่องแดนอย่างอิสระ ทั้งยังมีความสามารถเหลือล้นและยืนอยู่เหนือทุกคนในสามภพได้อย่างภาคภูมิ!
ส่วนคนอื่น ๆ ใกล้ตัวโจวจื่อหลีล้วนเป็นอาจารย์สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ทุกคนอยู่ที่ขอบเขตเซียนปราชญ์ พลังบ่มเพาะเช่นนี้มากพอจะครองทวีปและถืออำนาจมากมายได้แล้ว
ทว่าในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า พวกเขาล้วนเป็นเพียงอาจารย์เท่านั้น เห็นได้ชัดว่าสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋ามีทรัพยากรและได้รับความเคารพมากมายเพียงใด
ฟ้าว!
เมื่อหวังต้าวหลูมาถึงพร้อมกับเหล่าศิษย์ หลายสายตาจากแท่นบวงสรวงเต๋าก็มองมา สายตาเหล่านี้ไม่ได้มีอำนาจสูงส่งจนน่ากลัว แต่กลับมองแล้วทำให้ศิษย์ทั้งหลายรู้สึกกดดันอยู่ภายใน
พวกเขาคือเซียนปราชญ์ ผู้ที่นำอยู่ด้านหน้าคือคนคุมสายนอก อยู่ขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้น นามโจวจื่อหลี แม้ทุกคนจะโดดเด่นมีพรสวรรค์เหนือกว่าใครอื่น แต่ก็ไม่กล้าเผยความเย่อหยิ่งเมื่อเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสเหล่านี้
“มากันครบแล้วขอรับ” หวังต้าวหลูเดินตรงไปด้านหน้าแล้วป้องมือให้โจวจื่อหลีที่นั่งอยู่ตรงกลาง
“ขอบใจมาก” โจวจื่อหลีพยักหน้า จากนั้นยืนขึ้นแล้วกวาดสายตามองศิษย์จำนวนเจ็ดร้อยคนด้วยสายตาเคร่งขรึม “ทะเลสาบแห่งนี้เรียกว่าทะเลสาบสะท้อนดวงกมล เสาที่อยู่ตรงกลางคือศิลาลับเต๋า บททดสอบรอบที่สามจะถูกจัดขึ้นที่นี่”
น้ำเสียงนิ่งสงบ หนักแน่น และไม่ได้เปล่งเสียงดังแต่อย่างไร ทว่าทุกคนกลับคล้ายว่าได้ยินเสียงของมหาเต๋าที่สลักไปถึงกลางดวงใจ
ทันใดนั้นทุกสายตาที่มองไปทางโจวจื่อหลีก็ยิ่งให้ความเคารพขึ้น
ชายผู้นี้เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์เลื่องชื่อ แม้จะเป็นในยุคที่เทพอสูรยังมีอิสระ เป็นผู้ลึกล้ำที่ปกติแล้วสามารถเข้าพบได้ยาก
“ทะเลสาบสะท้อนดวงกมลจะทดสอบพลังบ่มเพาะดวงจิตแห่งเต๋า ส่วนศิลาลับเต๋าจะทดสอบศักยภาพและพรสวรรค์ รวมกันเรียกว่าเจตจำนงเต๋าแห่งการต่อสู้ เนื้อหาบททดสอบไม่ซับซ้อน ไปนั่งบนศิลาลับเต๋า ผลลัพธ์ที่ได้จะยิ่งมากขึ้นหากสามารถทนนั่งอยู่บนนั้นได้นาน และสุดท้ายจะคัดสองร้อยคนออกไป” น้ำเสียงสงบนิ่งของโจวจื่อหลีกระจายไปรอบทิศ “มหาเต๋าเป็นหนทางที่ยากเย็น ไม่ใช่หนทางที่เดินไปง่าย ดังนั้นควรจะดำเนินไปด้วยความกล้าหาญผ่านคลื่นลมและสายน้ำเชี่ยวกราก จะได้นำความสงบมาสามภพได้ พวกเจ้าทุกคนเป็นยอดฝีมือแห่งสามภพ ในอนาคตถูกลิขิตให้ต้องเป็นผู้นำ หวังว่าทุกคนจะรักษาโอกาสที่มีไว้”
ว่าจบ โจวจื่อหลีก็โบกมือ
หวังต้าวหลูเดินเข้ามาเอ่ยคำทันที “บททดสอบเริ่มบัดเดี๋ยวนี้ ข้ามทะเลสาบสะท้อนดวงกมลได้ หากเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูปแล้วยังมีผู้ใดอยู่ริมฝั่งทะเลสาบอีกจะถูกคัดออกจากการทดสอบ”
ฟ้าว! ฟ้าว! ฟ้าว!
ยังพูดไม่ทันจบ เงาร่างทั้งหลายก็พุ่งตัวออกไปข้างหน้าคล้ายอยากเป็นคนแรกที่ก้าวเข้าสู่ทะเลสาบ เฉินซีก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน
ฟึบ!
เงาร่างสีแดงเพลิงร่างหนึ่งรุดหน้าไปก่อนใครเหมือนใช้วิชาเคลื่อนมิติ กระโจนเข้าทะเลสาบสะท้อนดวงกมลจนเกิดคลื่นน้ำเป็นวงกว้าง
คนผู้นั้นคือจ้าวเมิ่งหลีแห่งภพวิหคอมตะ
เมื่อคนอื่นที่พุ่งเข้ามาเห็นดังนี้จึงชะงักไปเล็กน้อย ไม่มีใครกล้ามุ่งหน้าตามนางไป
แต่ก็มีหลายคนที่อ้อมด้านข้างทะเลสาบแล้วค่อยมุ่งหน้าไปตรงจุดศูนย์กลาง
ฟึบ! ฟึบ!
ทุกคนพุ่งเข้าทะเลสาบจากทั่วทุกทิศ มุ่งหน้าเข้าหาศิลาลับเต๋าที่อยู่ใจกลางทะเลสาบ
แต่เมื่อมีคนราวสิบคนก้าวเท้าลงสู่ทะเลสาบ ก็ไม่มีใครลงไปได้อีก ล้วนพากันรออยู่ที่ริมฝั่ง เหมือนจะรอให้คนทั้งสิบขึ้นสู่ยอดศิลาลับเต๋าก่อนจึงจะลงมือ
คนสิบคนที่ก้าวลงสู่ทะเลสาบแล้วคือ เจิ่นลู่ จ้าวเมิ่งหลี จี้เซวียนปิง จ้งลี่ซวิน อ้าวอู่หมิง เซวียนหยวนอวิ๋น มู่อวี่ชง โม่ชีอวิน จั่วชิวอิน…
เพราะทั้งหมดล้วนเป็นคนจากมหาอำนาจ
เฉินซีช้าไปก้าวเดียวเท่านั้น
หากยืนอยู่กลางอากาศแล้วมองลงมาก็จะเห็นว่าทะเลสาบสะท้อนดวงกมลนั้นมีทรงกลมเหมือนวงไท่จี๋ คนที่งสิบที่กำลังมุ่งหน้าเข้าหาศิลาลับเต๋าตรงกลางนั้นก็มาจากทั้งสิบทิศทางของวงไท่จี๋
แต่ละคนคงระยะความห่างไว้ที่หกลี้เท่ากัน
การข้ามทะเลสาบสะท้อนดวงกมลเหมือนจะเป็นเรื่องง่าย แต่แท้จริงแล้วอันตรายยิ่งนัก น้ำในทะเลสาบไม่ใช่น้ำของจริง แต่เป็นสมบัติล้ำค่าที่กลั่นและสร้างขึ้นมาด้วยสิ่งที่เรียกว่าวารีวิญญาณทมิฬ เมื่อก้าวเท้าลงไป มันไม่ได้โจมตีร่างกาย แต่โจมตีดวงจิตแห่งเต๋าแทน! ยิ่งน้ำในทะเลสาบนิ่งสงบเท่าใด ก็ยิ่งทำอันตรายต่อดวงจิตแห่งเต๋าได้น้อยลงเท่านั้น ทำให้ข้ามทะเลสาบไปได้ง่าย กลับกันแล้ว หากมีคลื่นน้ำกระเพื่อมแรง เช่นนั้นการโจมตีก็จะแรงเช่นกัน ทำให้จมลงและถูกพัดพาไปได้ง่าย ซึ่งก็หมายความว่าจะถูกถอดออกจากการทดสอบ
เป็นที่รู้กันว่าถึงแม้จะโยนหินลงทะเลสาบนี้ อย่างไรก็ต้องเกิดวงน้ำกระเพื่อม และกระจายไปทั่วทุกทิศ หากคนทั้งกลุ่มก้าวเท้าเข้าไปพร้อมกัน เช่นนั้นไม่เพียงแต่จะกระทบตนเอง แต่คนอื่นยังถูกอิทธิพลการโจมตีไปด้วย
นี่คือทะเลสาบที่สร้างขึ้นจากวารีวิญญาณทมิฬ ไม่ต้องพูดถึงคลื่นน้ำ แค่วงน้ำน้อย ๆ ก็สามารถทำร้ายดวงจิตแห่งเต๋าได้อย่างรุนแรงแล้ว
ด้วยเหตุนี้ จ้าวเมิ่งหลีและคนอื่น ๆ จึงเข้าทะเลสาบมาจากรอบทิศเพื่อมุ่งหน้าเข้าหาศิลาลับเต๋า พวกเขาไม่กล้ามุ่งหน้าต่อไปเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกคลื่นน้ำจากคนอื่นเข้า
แน่นอนว่าแก่นของการทดสอบนี้ยังคงเป็นพลังบ่มเพาะภายในดวงจิตแห่งเต๋า หากพลังบ่มเพาะดวงจิตแห่งเต๋าแข็งแกร่งมั่นคงมากพอ ก็จะไม่ถูกซัดไปแม้จะเผชิญหน้ากับพลังอันรุนแรง
“ชักช้ายิ่งนัก หากเป็นเช่นนี้ต่อไปในช่วงเวลาหนึ่งก้านธูปคงมีคนไม่ถึงครึ่งที่จะได้ก้าวเท้าลงทะเลสาบ เอาอย่างไรดี?” คนอื่น ๆ ที่รออยู่ริมฝั่งมุ่นคิ้วด้วยสีหน้าหนักใจ เห็นแล้วว่าไม่ว่าจะเป็นจ้าวเมิ่งหลี จี้เซวียนปิง หรือเจิ่นลู่ แต่ละย่างก้าวบนน้ำเหนือทะเลสาบก็ดูเชื่องช้ายิ่ง
ทุกย่างก้าวที่ย่ำลงไปทำให้ร่างกายสั่นสะท้าน แต่ก็เป็นย่างก้าวที่มั่นคง ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดยั้ง เห็นได้ชัดว่าพลังบ่มเพาะดวงจิตแห่งเต๋าของพวกเขามีมากพอรับมือกับวารีวิญญาณทมิฬได้
“พวกเขาเดินหน้าเชื่องช้าเช่นนี้ พวกเราคงยิ่งข้ามไปยากกว่าแน่” บางคนถอนหายใจออกมาเสียงเบา ถึงแม้จะรู้รายละเอียดการทดสอบรอบที่สามดี แต่ก็ไม่เคยประสบเองมาก่อน ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้มาเจอของจริง จึงไม่อาจเลี่ยงความประหม่าได้
เหลียงเริ่นกับกู่เยวหมิงเองก็รู้สึกประหม่าอยู่บ้างเช่นกัน พวกเขาเม้มปากจ้องจ้าวเมิ่งหลีและคนอื่น ๆ คล้ายกำลังเก็บเกี่ยวประสบการณ์
มีเพียงเฉินซีที่ค่อนข้างนิ่งสงบ
พลังบ่มเพาะดวงจิตแห่งเต๋ามาถึงขั้นขอบเขตวิญญาณดวงใจนานแล้ว หรือก็คือในหมู่คนอายุเดียวกันไม่มีใครเทียบตนได้ อย่างไรวิชาธรรมเทพไร้ขอบเขตก็ช่วยบ่มเพาะพลังดวงใจได้ นับเป็นวิชาที่ตกทอดกันมาในเขาเทพพยากรณ์!
“ไม่จำเป็นต้องประหม่าหรอก ผู้อาวุโสเถี่ยบอกไว้ว่าเจตจำนงเต๋าแห่งการต่อสู้ของเราแข็งแกร่งพอจะสามารถผ่านบททดสอบรอบที่สามไปได้มิใช่หรือ?” เฉินซีปลอบเหลียงเริ่นกับกู่เยวหมิงผ่านกระแสปราณ
ทั้งสองจึงพยักหน้าแล้วไม่พูดอะไรอีก แต่สีหน้าดูสงบลงมาก เห็นได้ชัดว่าจำคำของเถี่ยชิวอวี้เมื่อก่อนหน้านี้ได้
“เตรียมตัวไว้ อีกสักพักเราจะลงมือแล้ว จะรอเช่นนี้ต่อไปไม่ได้ ไม่เช่นนั้นยิ่งอันตราย” เฉินซีรีบเอ่ยผ่านกระแสปราณ เพราะสังเกตว่าจ้าวเมิ่งหลีสามารถขึ้นศิลาลับเต๋าได้แล้ว
แต่พร้อมกันนั้นก็ไม่ใช่เพียงเฉินซี ศิษย์คนอื่น ๆ ที่ริมฝั่งก็เริ่มกระจายตัวไปยังสิบตำแหน่งรอบทิศเช่นกัน และกำลังรอคอยอย่างเงียบเชียบ หากมีเพียงสักคนหนึ่งขึ้นศิลาลับเต๋าไปได้ พวกเขาก็จะออกตัวอย่างไร้ลังเล
จุดที่เฉินซียืนอยู่คือจุดที่จ้าวเมิ่งหลีเลือกก่อนหน้านี้ เป็นจุดที่มีคนยืนออกันอยู่มากที่สุด นับแล้วได้มากกว่าแปดสิบคน
หรือก็คือในจังหวะที่จ้าวเมิ่งหลีสามารถขึ้นศิลาลับเต๋าไปได้ ก็จะมีคนอีกกว่าแปดสิบคนต้องแข่งขันกับเฉินซีเพื่อให้มีโอกาสก้าวลงทะเลสาบสะท้อนดวงกมล!
อีกทั้งในหมู่คนแปดสิบกว่าคนนี้ยังเป็นพวกที่มาจากมหาอำนาจเช่นเจ็ดตระกูลใหญ่บรรพกาล ภพพุทธองค์ ภพมังกร และภพวิหคอมตะ เหลียงเริ่นกับกู่เยวหมิงเห็นดังนั้นจึงเลือกเส้นทางอื่นแทน
ช่วยไม่ได้นี่นา พวกเขาไม่ได้ผิดปกติอย่างเฉินซี แล้วก็ไม่อยากไปแข่งขันแย่งชิงกับพวกมหาอำนาจด้วย ย่อมไม่มาเสียเวลาอยู่ที่นี่แน่