บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 1176 รอดู
บทที่ 1176 รอดู
บทที่ 1176 รอดู
ณ ภูเขาภารกิจ
มีห้องโถงมากมายเรียงรายดั่งต้นไม้ในป่าใหญ่ และมันจอแจเป็นพิเศษ ผู้คนมากมายสามารถเห็นได้อยู่ทุกที่ บางคนมาเพื่อรับภารกิจ บางคนมาเพื่อรับรางวัลจากการทำภารกิจสำเร็จ ทำให้มันเป็นสถานที่ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก
ศิษย์ที่อยู่ที่นี่ส่วนใหญ่ ล้วนแล้วแต่เป็นศิษย์อาวุโส ในขณะที่ศิษย์ใหม่บางคนก็สามารถพบเห็นได้เช่นกัน แน่นอนว่า ย่อมไม่ขาดอาจารย์ สัตว์อสูรเซียน และการดำรงอื่น ๆ
เหลียงเริ่นสังเกตเห็นวิหคอมตะทองคำกระพือปีก จากนั้นมันก็เปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นหญิงสาวเดินเข้าไปในห้องโถงอย่างสง่างาม
“นั่นคือศิษย์ของนักพรตเจี้ยง อาจารย์ใหญ่แห่งสำนักศึกษาฝ่ายใน นางเป็นวิหคอมตะทองคำ สายเลือดบริสุทธิ์ที่มีการบ่มเพาะขอบเขตเซียนทองคำ และอยู่ในอันดับที่ห้าสิบแปด ในเทียบอันดับทองคำแพรม่วงของฝ่ายใน ตามข่าวลือ พรสวรรค์โดยกำเนิดของนางนั่นไม่ได้ด้อยไปกว่าพิรุณเผาผลาญหลิงชิงอู๋ เมื่อหลายปีก่อน” อาซิ่วอธิบายด้วยเสียงที่ชัดเจน ก่อนจะนำกลุ่มของเฉินซีผ่านมุมต่าง ๆ มากมาย เพื่อมายังห้องโถงใหญ่ที่อยู่ตรงกลางด้านข้างของภูเขา
ห้องโถงกว้างและเงียบสงบ ในยามนี้ มีผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกัน แต่ส่วนใหญ่เป็นศิษย์ใหม่ที่กำลังยืนต่อแถวอยู่ที่หน้าโต๊ะ
เมื่อกลุ่มของเฉินซีมาถึง พวกเขาสังเกตเห็นด้วยความตกใจว่า มีใบหน้าที่คุ้นเคยหลายคนอยู่ในแถวเช่น จ้าวเมิ่งหลี โม่ชีอวิน จงหลีสวิน และคนอื่น ๆ
ศิษย์อาวุโสหลายคนยืนเคียงข้างคนเหล่านั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นคนรู้จักพาพวกเขามาที่ภูเขาภารกิจเช่นกัน ซึ่งดูเหมือนจะมาเพื่อยืนยันตัวตน และรับภารกิจ
เมื่อคนเหล่านั้นเห็นอาซิ่วนำกลุ่มของเฉินซีเข้ามา เหล่าศิษย์ใหม่ที่ยืนต่อแถวต่างเกิดการเคลื่อนไหวทันที เนื่องจากจำเฉินซีได้
“พี่หญิง ดูสิ นั่นคือเฉินซี ศิษย์ใหม่อันดับหนึ่งของเราในปีนี้! เจ้าไม่ได้บอกว่าเจ้าจะแต่งงานกับผู้ที่ได้อันดับที่หนึ่งเท่านั้นหรอกหรือ? ข้าคิดว่าเฉินซีผู้นี้ก็ไม่เลวจริง ๆ” ศิษย์ใหม่ชี้ไปที่เฉินซีอย่างตื่นเต้น พลางกล่าวกับหญิงสาวในชุดสีแดงเข้มที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ
หญิงสาวในชุดสีแดงเข้มกระทืบเท้าด้วยความอับอายและโมโห จากนั้นนางก็จ้องมองศิษย์ใหม่ด้วยความโกรธ ก่อนจะหันหลังกลับและจากไปอย่างรวดเร็ว
“พี่หญิง พี่หญิง! รอข้าด้วย” ศิษย์ใหม่คนนั้นรีบเดินตามหลังนางไป ทว่ายังไม่ลืมเผยรอยยิ้มอ่อนโยนเมื่อเดินผ่านเฉินซี
แม้ว่าเฉินซีจะไม่รู้จักศิษย์ใหม่คนนี้ แต่เขาก็ยังพยักหน้าตอบอย่างสุภาพ
“นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะเป็นที่นิยมในหมู่ศิษย์ใหม่” อาซิ่วหัวเราะคิกคัก เหมือนกับน้ำพุที่ไหลริน มันทั้งน่าฟังและทำให้จิตวิญญาณสดชื่น
“แน่นอนว่าเขาเป็นอันดับหนึ่ง และแค่ตำแหน่งนี้ก็เพียงพอที่จะได้รับความเคารพจากคนส่วนใหญ่” เหลียงเริ่นยิ้มขณะที่กล่าว เดิมทีชายหนุ่มรู้สึกประหม่าเล็กน้อยเมื่อได้พบอาซิ่ว แต่จากการที่ได้คลุกคลีกับนาง เขาสังเกตเห็นว่านิสัยของอาซิ่วนั่นเป็นคนร่าเริงและมีชีวิตชีวา นางไม่มีกลิ่นอายเกเรแม้แต่น้อย ซึ่งผิดกับบุคลิกที่องค์หญิงน้อยของตระกูลเซวียนหยวนควรมี และเข้าถึงได้ง่ายมาก
ไม่ใช่แค่เหลียงเริ่นเท่านั้น กู่เยวหมิงและมู่อวี่ชงก็รู้สึกแบบเดียวกัน พวกเขาชอบบุคลิกของอาซิ่วมาก
“มันก็แค่ฉายา และมันจะสร้างปัญหามากมายให้ข้าแทน” เฉินซีกล่าวพลางส่ายหัว
เฉินซีทราบดีว่า แม้บางคนอาจจะเคารพรัศมีอันเจิดจรัสของผู้ที่ได้อันดับหนึ่ง แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังอิจฉา และยังคงไม่มั่นใจในความแข็งแกร่งของเขา ดังนั้นจึงมีคนมากหน้าหลายตาเข้ามาท้าทายเฉินซี และนั่นนับเป็นสิ่งที่น่ารำคาญที่สุดที่เคยพบเจอ
ขณะที่กำลังพูดคุยกัน พวกเขาก็ไปต่อที่ท้ายแถว
ห้องโถงนี้เป็นส่วนสำคัญของภูเขาภารกิจ มีหน้าที่มอบหมายภารกิจให้ศิษย์ที่ผ่านการยืนยันตัวตนแล้ว โดยหลังผ่านการยืนยัน เหล่าศิษย์จะสามารถตรวจดูภารกิจใหม่ ๆ ที่ลงประกาศในทุกวันผ่านตราดาราม่วง และไม่จำเป็นต้องออกจากที่พัก
แน่นอนว่าการยืนยันตัวตนก็ต้องจ่ายด้วยแต้มดารา ทว่าไม่ได้มากมายนัก เพียงแค่หนึ่งพันแต้มเท่านั้น
แต่หลังจากทราบเรื่องนี้ มุมปากของเหลียงเริ่นและกู่เยวหมิงก็กระตุกวูบ พลางสาปแช่งสำนักศึกษา …ว่าที่แห่งนี้ช่างขูดเลือดขูดเนื้อเสียยิ่งกว่าพ่อค้าหน้าเลือด!
มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะทั้งสองคนอยู่ในอันดับสุดท้ายของการจัดอันดับ ดังนั้นจึงได้รับแต้มดาราเพียงไม่กี่พันเท่านั้น พวกเขาใช้แต้มดาราหนึ่งพันแต้มสำหรับที่พัก และตอนนี้ยังต้องจ่ายอีกหนึ่งพันแต้ม มันจึงทำให้ความมั่งคั่งของพวกเขาลดลงไปกว่าครึ่งในทันที
ทั้งคู่ถอนใจอย่างหมดอารมณ์ “เราเพิ่งเข้าสำนักได้ไม่นาน แต่แต้มดารากลับถูกใช้เหมือนน้ำ ข้าสงสัยว่าการได้รับแต้มดาราในอนาคต มันจะยากถึงเพียงใด…”
ไม่นานนัก ก็ถึงตาของเฉินซีและคนอื่น ๆ
มีชายวัยกลางคนในชุดสีเทานั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะ เมื่อเขาเห็นเฉินซีเดินเข้ามา ชายวัยกลางคนก็ดึงสมบัติที่ดูเหมือนตราประทับหยกออกมาอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะวางมันไว้บนตราดาราม่วงของเฉินซี
โอม!
แต้มดาราหนึ่งพันแต้มถูกหักออกจากตราดาราม่วง หัวใจของเฉินซีพลันปวดร้าวเล็กน้อย
แต้มดาราถูกใช้ไปอย่างรวดเร็วจริง ๆ…
เมื่อได้รับตราดาราม่วงกลับมา เฉินซีสังเกตเห็นว่าเนื้อหาของตราดาราม่วงเปลี่ยนไป มีพื้นที่มอบภารกิจอยู่ภายในนั้น และเมื่อถ่ายญาณมหาเทวะอมตะเข้าไป มันก็เหมือนกับการเข้าสู่พื้นที่แปลกประหลาดที่มีม่านแสงมากมายลอยอยู่ในนั้น โดยม่านแสงเต็มไปด้วยภารกิจแถวแล้วแถวเล่า
ภารกิจทุกอันจะกำกับด้วยชื่อ คำขอ และจำนวนแต้มดาราที่จะได้รับ อาจกล่าวได้ว่า มันมีภารกิจอยู่มากนับไม่ถ้วน
“โอ้ จริงสิ ทุกครั้งที่เจ้าทำภารกิจเสร็จ ทางสำนักจะหักค่าธรรมเนียมจำนวนหนึ่ง โดยยึดตามความยากง่ายของภารกิจที่ได้รับมอบหมาย พยายามเข้าล่ะพ่อหนุ่ม” เสียงของชายวัยกลางคนที่สวมชุดสีเทาดังขึ้นจากทางข้างหลัง ทำให้เฉินซีมีสีหน้าแข็งทื่อ มุมปากกระตุกอย่างแรง
“ไม่น่าแปลกใจที่ไม่มีใครสามารถแลกเปลี่ยนแต้มดาราเป็นชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากได้ เพราะค่าธรรมเนียมเหล่านี้ ทำให้แต้มดาราที่เหล่าศิษย์ต้องเสียเลือดและหยาดเหงื่อเพื่อให้ได้มา กลับต้องสูญเสียไป…”
ในเวลาไม่นาน มู่อวี่ชง เซวียนหยวนอวิ่น เหลียงเริ่น กู่เยวหมิง และคนอื่น ๆ ก็เสร็จแล้วเช่นกัน จากนั้นพวกเขาก็ออกจากห้องโถงไปพร้อมกัน
“ถ้าข้าไม่รู้ว่านี่คือภูเขาภารกิจของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ข้าคงคิดว่าข้าหลงเข้าไปในตลาดมืด ช่างต่ำช้าเสียจริง” เหลียงเริ่นกัดฟันและเผยสีหน้าเจ็บปวด
ศิษย์ใหม่คนอื่น ๆ ก็รู้สึกเศร้าในใจเช่นกัน ทั้งหมดนี้ทำให้พวกเขารู้สึกลึกซึ้งถึงความหมายของแต้มดาราที่ได้รับ และมันสำคัญยิ่งกว่ามั่งคง อีกทั้งยังยากที่จะได้มายิ่งกว่าความมั่งคั่ง…
“อืม? นั่นไม่ใช่จ้าวเมิ่งหลีหรอกเหรอ? นางกำลังรอใครอยู่” เซวียนหยวนอวิ่นกล่าวขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ทุกคนเงยหน้าขึ้นและเห็นร่างเพรียวบางยืนอยู่ใต้ต้นไม้อันอุดมสมบูรณ์และเก่าแก่ที่หน้าห้องโถง
นางสวมชุดสีแดงเพลิง ผมสีดำเงางามปล่อยลงมาราวกับน้ำตก รูปลักษณ์ที่งดงามและสดใส ทั่วทั้งร่างเปล่งประกายกลิ่นอายแห่งความสูงส่งที่ไร้รูปร่าง ราวกับหญิงงามล่มเมือง ซึ่งหลุดออกมาจากภาพวาด
เหล่าศิษย์ทุกคนที่มายังห้องโถงและจากไป ไม่สามารถห้ามใจไม่ให้จ้องมองนางซ้ำ ๆ ในขณะที่พวกเขาดูเหมือนจะหายใจไม่ออก น่าเสียดายที่ไม่มีสักคนเดียวที่กล้าเข้าไปคุยกับนาง
แม้ดูเหมือนว่านางจะสงบ แต่ทั้งร่างของหญิงสาวกลับเปล่งกลิ่นอายอันเย่อหยิ่งและเหินห่างออกมา ให้ความรู้สึกยากจะเข้าถึง ทำให้แม้กล้ามองนางจากระยะไกล แต่พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปทักทาย
หญิงสาวคนนี้เป็นลูกหลานของวิหคอมตะที่แท้จริง ซึ่งโดยปกติแล้ว จ้าวเมิ่งหลีเป็นอัจฉริยะที่มีสายเลือดอันสูงส่งอย่างที่ไม่มีใครเทียบได้
ในช่วงยุคบรรพกาล วิหคอมตะที่แท้จริง เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง พวกมันได้ปลูกฝังเมล็ดพันธุ์แห่งความกลัวไปทั่วภพทั้งสาม กล้าดูถูกเหล่าทวยเทพและพุทธองค์อย่างภาคภูมิ และมีเพียงสิ่งมีชีวิตอย่างมังกรเขียว ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของภพมังกรเท่านั้น ที่จะสามารถเทียบเคียงกับนางได้
ในฐานะผู้สืบทอดที่มีสายเลือดบริสุทธิ์ที่สุดของวิหคอมตะที่แท้จริง จ้าวเมิ่งหลีย่อมมีสิทธิ์ในการหยิ่งทะนง เสริมให้นางดูเหมือนเทพธิดาในหัวใจของบรรดาศิษย์ใหม่
“ชิ ข้าสงสัยว่าจะเป็นใครในสำนักที่สามารถครอบครองหัวใจของวิหคอมตะที่แท้จริงผู้นี้ได้” มู่อวี่ชงยิ้มเบา ๆ สายตาเปล่งประกายด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า
“ลืมมันไปซะ ลูกหลานของวิหคอมตะที่แท้จริงนั่นต่างเย่อหยิ่งไปถึงกระดูกดำ ดังนั้นการครอบครองหัวใจของพวกนางจึงยากกว่าการทะลวงสู่ขอบเขตราชันเซียนเสียอีกกระมัง” เซวียนหยวนอวิ่นส่ายหัว และกระแทกความมั่นใจของมู่อวี่ชงอย่างตรงไปตรงมา
ใบหน้าของมู่อวี่ชงแข็งทื่อ ก่อนจะกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว “ข้าไม่ได้บอกว่าข้าจะเกี้ยวนาง…” เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี่ ชายหนุ่มก็เหลือบมองเฉินซี และทันใดนั้น ก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “แต่ข้าคิดว่าเฉินซีนั่นมีโอกาสอยู่มาก”
เซวียนหยวนอวิ่นตกตะลึง และครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะกล่าวอย่างจริงจังว่า “เขาอาจมีโอกาสจริง ๆ เพราะในหมู่พวกเราศิษย์ใหม่ มีเพียงเฉินซีและเจิ่นลู่เท่านั้นที่มีอันดับสูงกว่าจ้าวเมิ่งหลี ในขณะที่เจิ่นลู่เป็นบรรพชิต ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะตามหาคู่บำเพ็ญเพียร ดังนั้นจึงเหลือเพียงเฉินซี เท่านั้น…”
ยิ่งกล่าวมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น และดูตั้งใจสนับสนุนให้เฉินซีเกี้ยวจ้าวเมิ่งหลีอย่างสุดกำลัง
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เฉินซีรีบกล่าวทันที “หยุดเลย!”
ชายหนุ่มไม่มีความรู้สึกไม่ดีต่อจ้าวเมิ่งหลี แต่เขาก็ไม่อาจกล่าวได้ว่ามีความประทับใจในตัวนางเช่นกัน ไม่ต้องกล่าวถึงว่าเขาไม่มีความคิดที่จะสนใจเรื่องระหว่างชายหญิงอื่นอีก!
“ไปกันเถอะ” เฉินซีส่ายหัวก่อนจะหันหลังเดินจากไป ในใจยังคงสงสัยว่าจ้าวเมิ่งหลีอาจได้ยินการสนทนาของพวกตนอย่างชัดเจน และเพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดที่ไม่จำเป็น ทางที่ดีควรออกไปให้เร็วที่สุด
อาซิ่วฟังจากด้านข้างมาตั้งแต่ต้น นางอดไม่ได้ที่จะกะพริบตาใสเมื่อเห็นสิ่งนี้ จากนั้นชำเลืองมองเฉินซีที แล้วเหลือบมองจ้าวเมิ่งหลีที คล้ายจมอยู่ในห้วงความคิด “เจ้าไม่สนใจนางจริง ๆ หรือ?”
เฉินซีกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ข้าดูเหมือนสนใจหรือ?”
อาซิ่วยิ้มอย่างมีเลศนัย “เอาล่ะ ไว้บอกข้าเมื่อเจ้าสนใจนาง แล้วข้าจะช่วยเจ้าถอนขนวิหคอมตะที่แท้จริงให้ด้วย”
“…” เฉินซีถึงกับพูดไม่ออก
เมื่อกลุ่มของพวกเขากำลังจะออกจากภูเขาภารกิจ เสียงอันเยือกเย็นและน่าฟังก็ลอดเข้ามาในหูของเฉินซี
“เฉินซี ข้าจะให้โอกาสเจ้าเกี้ยวข้า ถ้าเจ้าสามารถเอาชนะข้าได้ในการสอบของสำนักฝ่ายในในอีกสองปีนับจากนี้ และอย่าได้กล่าววาจาลับหลังผู้อื่นอีก!”
“แน่นอน ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะสามารถเป็นหนึ่งในห้าสิบอันดับแรกของเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์ได้ภายในเวลาสองปี ด้วยเหตุนี้ โอกาสในการที่จะเจ้าจะสามารถเข้าร่วมการสอบของสำนักฝ่ายในจึงน้อยมาก”
“อย่างไรก็ตาม ข้ายังคงหวังว่าเจ้าจะสามารถทำมันได้สำเร็จ ถึงอย่างไร มันคงเป็นที่น่าเบื่อมาก หากคู่ต่อสู้อย่างเจ้าไม่ได้เข้าร่วมการสอบของสำนักฝ่ายใน…”
พร้อมกับเสียงนี้ วิหคอมตะที่แท้จริงซึ่งมีขนที่สวยงามและเปล่งประกาย สง่างามดั่งจักรพรรดินีแห่งวิหคอมตะสยายปีกและบินฉีกท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว ซึ่งตลอดทางก็ทำให้เกิดเสียงอุทานแสดงความชื่นชมมากมาย
จู่ ๆ เฉินซีก็หยุดเคลื่อนไหวและมองดูลำแสงที่ลุกโชน ที่กำลังจะหายไปในขอบฟ้า รอยยิ้มแปลก ๆ ปกคลุมมุมปาก “ดูเหมือนนางจะได้ยินบทสนทนาก่อนหน้านี้จริง ๆ”
‘ข้าจะเข้าร่วมการสอบของสำนักฝ่ายใน ในอีกสองปีนับจากนี้อย่างแน่นอน แต่ไม่ใช่เพื่อเกี้ยวเจ้าแต่อย่างใด …ในตอนนั้นข้าหวังว่าเจ้าจะไม่เข้าใจผิด…’ เฉินซีพึมพำในใจ ก่อนที่จะสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นใบหน้าที่หล่อเหลาและมั่นคง ก็เต็มไปด้วยความมั่นใจจาง ๆ
“ใครบอกว่าเป็นไปไม่ได้ที่เลื่อนขั้นจากขอบเขตเซียนลึกลับขั้นกลาง ไปสู่ขอบเขตเซียนทองคำภายในสองปี?”
“ไว้รอดูก็แล้วกัน!