บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 1178 เร่งรีบเพื่อรับแต้มดารา
บทที่ 1178 เร่งรีบเพื่อรับแต้มดารา
บทที่ 1178 เร่งรีบเพื่อรับแต้มดารา
มีม่านแสงมากกว่าร้อยอันในพื้นที่มอบหมายภารกิจภายในของตราดาราม่วง
ซึ่งม่านแสงแต่ละอันจะเป็นตัวแทนของภารกิจแต่ละประเภท และจำนวนของมันไม่สามารถนับได้ เนื่องจากภารกิจจะถูกเพิ่มเข้ามาทุกขณะ
มันไม่ได้ถูกปิดประกาศโดยเหล่าศิษย์เท่านั้น แต่เหล่าอาจารย์ก็สามารถปิดประกาศได้เช่นกัน ซึ่งภารกิจเหล่านี้ เกี่ยวข้องกับ การบ่มเพาะ การปรับแต่งอุปกรณ์ การกลั่นโอสถ การฝึกสัตว์เซียน การเพาะปลูกสมุนไพรอมตะ และอื่น ๆ อีกมากมาย
สิ่งนี้ทำให้เฉินซีถึงกับขมวดคิ้ว เพราะภารกิจที่ปรากฏบนม่านแสงนั้นมีอยู่มากมาย และเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้สำเร็จด้วยขอบเขตการบ่มเพาะในปัจจุบัน ยกตัวอย่างเช่น ภารกิจเกือบทั้งหมดเป็นภารกิจที่ต้องออกไปทำภายนอกสำนึกศึกษา และต้องการผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนทองคำเป็นอย่างน้อยเพื่อดำเนินการ
แน่นอนว่าเฉินซีไม่ได้ตั้งใจรับภารกิจที่ต้องออกจากสำนักศึกษา
อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ทำให้เขาตระหนักได้ว่า ภายในสำนึกศึกษานั้นมีไม่กี่ภารกิจที่เหมาะกับศิษย์ใหม่
“หืม?” หลังจากนั้นไม่นาน คำที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นในใจของเฉินซี ภารกิจเกี่ยวกับเต๋าแห่งยันต์อักขระ!
เฉินซีดวงตาเป็นประกาย คิ้วที่ขมวดแน่นคลายออก บางทีตนอาจไม่เชี่ยวชาญในภารกิจที่เกี่ยวข้องกับการกลั่นโอสถ การบ่มเพาะ หรือการปลูกสมุนไพร แต่เขามีความมั่นใจอย่างมากในเต๋าแห่งยันต์อักขระที่คุ้นเคยมากที่สุด
โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ญาณมหาเทวะอมตะของเฉินซีก็เข้าสู่ม่านแสงของเต๋าแห่งยันต์อักขระ และเริ่มมองผ่านมันอย่างระมัดระวัง
“ภารกิจการฟื้นฟู ผังค่ายกลที่เสียหาย ความต้องการ ปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระ หากทำเสร็จภายในสามวัน รางวัลคือ หนึ่งพันแต้มดารา ห้ามเจรจาต่อรอง”
“ภารกิจปรับแต่ง ปรับแต่งข้อจำกัดธาตุน้ำอย่างน้อยสามชั้น ยิ่งคุณภาพสูงยิ่งดี ความต้องการ ปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระ รางวัลคือ หนึ่งพันถึงสามพันแต้มดารา”
“ภารกิจวิจัย ฟื้นฟูแผนผังค่ายกลยันต์อักขระบรรพกาล ความต้องการ ปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระ รางวัลคือ สามพันแต้มดารา”
“ภารกิจสกัดอักขระยันต์ ความต้องการ ปรมาจารย์ค่ายกลอักขระจำเป็นต้องสกัดอักขระยันต์ที่พัฒนาขึ้นภายในมรดกกระดูกของสัตว์อสูรเซียนวาตะยมโลก รางวัล หนึ่งพันแต้มดารา”
…
เฉินซีมองผ่านเนื้อหาของภารกิจเหล่านั้นทีละอัน และเมื่อเห็นภารกิจต่าง ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ รอยยิ้มเล็กก็ปรากฎขึ้นที่มุมปากอย่างอดไม่ได้ เป็นเพราะตนสามารถทำภารกิจเหล่านี้ส่วนใหญ่ให้สำเร็จได้อย่างง่ายดาย
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ญาณมหาเทวะของเฉินซีก็ส่องเข้าไปในภารกิจหนึ่ง เมื่ออ่านมันอย่างถี่ถ้วน เขาก็รับภารกิจนั้นมา
โอม~
ม่านแสงในใจสว่างวาบ จากนั้นภารกิจก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า
“ภารกิจฟื้นฟู ผังค่ายกลยันต์อักขระนิรนาม ความต้องการ ปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระ รางวัล หนึ่งพันแต้มดารา เวลาจำกัด ไม่มีกำหนด”
เห็นได้ชัดว่านี่คือภารกิจฟื้นฟูผังค่ายกลยันต์อักขระที่ปิดประกาศเมื่อสองวันก่อน และม่านแสงได้แสดงถึงผังค่ายกลยันต์อักขระที่เสียหาย ซึ่งจะต้องหาวิธีฟื้นฟูให้มันกลับมาสมบูรณ์
หมายความว่า เฉินซีสามารถทำภารกิจและรับแต้มดาราได้โดยไม่ต้องออกจากที่พัก
ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะเพ่งความสนไปยังผังค่ายกลยันต์อักขระที่เสียหาย และประมวลผลอย่างรวดเร็ว วิธีการแก้ปัญหาที่สมบูรณ์ก็ปรากฏขึ้นในใจ
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ได้หมายความว่าผังค่ายกลยันต์อักขระที่เสียหายนั่นสามารถซ่อมแซมได้โดยง่าย แต่เป็นเพราะการบ่มเพาะของเฉินซีในเต๋าแห่งยันต์อักขระนั้นผิดปกติเกินไป และเขาได้บรรลุถึงระดับปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระสูงสุดมานานแล้ว!
ในสายตาของปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระ บางทีอาจต้องใช้เวลาสองสามวันเพื่อทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ แต่สำหรับเฉินซีนั้นไม่ใช่เรื่องที่เหลือบ่ากว่าแรงแม้แต่น้อย
ชู่ว! ชู่ว! ชู่ว!
โดยไม่ลังเล ชายหนุ่มเริ่มใช้ญาณมหาเทวะอมตะ เขียนคำตอบบนม่านแสง หลังจากตรวจสอบและยืนยันว่าไม่มีปัญหาใด ๆ เฉินซีก็ถอนญาณมหาเทวะอมตะออกมา
การทำเช่นนี้ ก็เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ภารกิจจะล้มเหลว ท้ายที่สุดแล้ว ตามกฎของสำนักศึกษา หากใครไม่สามารถทำภารกิจให้เสร็จหลังจากรับภารกิจ แต้มดาราจำนวนหนึ่งจะถูกหักออกจากศิษย์คนนั้นทันที
ตัวอย่างเช่น รางวัลสำหรับภารกิจนี้คือ หนึ่งพันแต้มดารา แต่ถ้าล้มเหลว แต้มดาราจะถูกหักสองร้อยแต้ม
ในเวลาเดียวกันกับที่ญาณมหาเทวะอมตะถอนออก ภารกิจที่เสร็จสมบูรณ์ก็หายไปจากม่านแสง เขาต้องรอให้ผู้มอบภารกิจยืนยันความสำเร็จเสียก่อน จึงจะสามารถรับรางวัลได้
แน่นอนว่าหากบุคคลที่มอบหมายภารกิจไม่ยืนยันภายในสามวัน หรือปฏิเสธที่จะจ่ายรางวัล บุคคลนั้นจะต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรงจากสำนึกศึกษา และผลที่ตามมานั้น ก็เป็นสิ่งที่ไม่มีใครทนได้
ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลว่าบุคคลที่มอบภารกิจจะกลับคำพูดของตัวเอง หลังจากภารกิจสำเร็จแล้ว
เมื่อทำภารกิจนี้เสร็จ เฉินซีก็ไม่เสียเวลาแม้แต่ครู่เดียว ไล่ดูภารกิจอื่นอย่างเร่งรีบ เมื่อพบว่าตนสามารถทำภารกิจส่วนใหญ่ให้สำเร็จได้ เขาก็ไม่เลือกภารกิจอีกต่อไป และรับภารกิจแรกที่เห็นทันที
แน่นอนว่าภารกิจบางอย่างจำเป็นต้องจัดการเป็นการส่วนตัว เฉินซีจะไม่ยอมรับภารกิจเช่นนั้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง ภารกิจที่รับต้องสามารถทำให้สำเร็จได้โดยไม่ต้องออกจากที่พัก
ไม่ใช่ว่าเฉินซีขี้เกียจแต่อย่างใด แต่เขาแค่ต้องการประหยัดเวลาและได้รับแต้มดารามากขึ้น
โอม~
หลังจากนั้นไม่นาน เฉินซีก็ทำภารกิจอื่นเสร็จ มันเป็นภารกิจที่ให้ทำลายผังค่ายกลยันต์อักขระโบราณ และรางวัลก็คือหนึ่งพันแต้มดาราเช่นกัน
เมื่อเวลาผ่านไป เฉินซีสังเกตเห็นว่า เขาใช้เวลาน้อยกว่าหนึ่งก้านธูปเพื่อทำภารกิจทั้งสองนี้ให้เสร็จ สิ่งนี้ทำให้ชายหนุ่มจิตใจเบิกบาน และรู้สึกว่าวิธีการรับแต้มดารานี้ได้ผลจริง ๆ เพราะมันไม่ต่างอะไรกับการนั่งอยู่เฉย ๆ พร้อมกับมีรายได้เข้ามาไม่หยุดหย่อน
ดังนั้นในช่วงเวลาต่อมา เฉินซีได้ละทิ้งความคิดฟุ้งซ่านทั้งหมด และมุ่งความสนใจไปที่การทำภารกิจให้เสร็จสิ้น
ชายหนุ่มมองข้ามข้อกำหนดเฉพาะและรางวัลของภารกิจ ประหนึ่งหุ่นเชิดที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย รับภารกิจถัดไปทันทีที่ภารกิจในมือเสร็จสิ้น
อย่างไรก็ตาม ภายนอกเฉินซีจะดูเหมือนกำลังนั่งสมาธิด้วยท่าทางสงบสำรวม และไม่ได้แสดงสัญญาณใด ๆ แม้แต่น้อยว่าตนกำลังบ่มเพาะ ทำให้เขาไม่ต่างอะไรกับรูปปั้นมนุษย์
โอม~
โอม~
คลื่นความผันผวนประหลาด ดังก้องกังวานอยู่ในใจ มันเป็นเสียงที่เกิดขึ้นเมื่อภารกิจเสร็จสิ้น แต่ในความคิดของเฉินซี มันคือแต้มดาราจำนวนแล้วจำนวนเล่าที่เรียกหาเขา…
ภายใต้การกระตุ้นของเสียงดังกล่าว ชายหนุ่มรู้สึกเปี่ยมล้นไปด้วยพลังงาน และเผยกลิ่นอายสง่างามอันยิ่งใหญ่ เขาตั้งใจจะกวาดภารกิจทั้งหมด พร้อมกับรับแต้มดาราจำนวนมหาศาลด้วยความยินดี
…
ในขณะที่เฉินซีกลับไปที่พักเพื่อทำภารกิจให้เสร็จอย่างสงบ ผู้คนจำนวนมากก็มารวมตัวกันที่โถงผู้คุมกฎของสำนึกศึกษาฝ่ายนอก
ห้องโถงใหญ่และโอ่อ่า ซึ่งรองอาจารย์จั่วชิวฮงได้มอบให้กับเหล่าศิษย์ของโถงผู้คุมกฎเป็นการส่วนตัว และอาจถือได้ว่าเป็นฐานหลักของเหล่าศิษย์ของโถงผู้คุมกฎแห่งสำนึกศึกษาฝ่ายนอก
ในขณะนี้ จั่วชิวจวินผู้มีใบหน้าเย็นชา ดวงตาแคบ และจมูกเหยี่ยว มีสีหน้าเคร่งขรึมขณะนั่งตัวตรงบนที่นั่งของเจ้าภาพ
ส่วนคนอยู่ที่อยู่ใกล้เคียงคือ จั่วชิวอิน อ๋าวอู๋หมิง อ๋าวเทียนซิง และเจี้ยงฉางไฮ่ ไม่มีศิษย์คนอื่น ๆ ของหอโถงผู้คุมกฎแม้แต่คนเดียว
เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่กำลังหารือกันในเวลานี้ เป็นเรื่องลับที่ไม่สามารถรั่วไหลได้
“เราประเมินอิทธิพลของเจ้าเด็กนั่นต่ำไป ไม่ว่าจะเป็นเซวียนหยวนอวิ่น มู่อวี่ชง หรือจี้เซวียนปิง ที่ออกหน้าเพื่อเจ้าเด็กนั่น ล้วนเป็นตัวแปรที่เราไม่ได้นำมาพิจารณาในปฏิบัติการของเราในครั้งนี้” จั่วชิวจวินหายใจเข้าลึก ก่อนจะทำลายความเงียบในห้องโถง และกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ไม่หรอก พี่จั่วชิว เรายังคงมองข้ามไปอีกหนึ่งประเด็น นั่นคือพลังฝีมือของเฉินซี หากอ๋าวเทียนซิงสามารถทำร้ายมันอย่างหนักในคราวเดียว เซวียนหยวนอวิ่นและคนอื่น ๆ ก็จะไม่มีโอกาสออกหน้าเพื่อมัน แม้ว่าพวกเขาจะต้องการก็ตาม” เจี้ยงฉางไฮ่กล่าว เขามีใบหน้ากว้างกับรูปร่างตรงดุจทวน ซึ่งเป็นที่น่าประทับใจเมื่อพบเห็น กำลังนั่งด้วยท่าทางสบาย ๆ ดูคล้ายภูเขาสูงตระหง่านที่ไม่สามารถเคลื่อนได้
“ฮึ่ม! นี่เจ้ากำลังว่าข้าไร้ความสามารถอย่างนั้นหรือ?” อ๋าวเทียนซิงแค่นเสียงเย็น มองไปที่เจี้ยงฉางไฮ่ด้วยสายตาน่ากลัว
เจี้ยงฉางไฮ่กลับมีท่าทีผ่อนคลาย “ข้าไม่ได้กล่าวเช่นนั้น แต่เจ้าไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า เพราะความล้มเหลวของเจ้า จึงเป็นสาเหตุของสถานการณ์ที่ไม่อาจแก้ไขได้เช่นนี้”
ปัง!
อ๋าวเทียนซิงฟาดฝ่ามือไปที่โต๊ะ ทำให้มันแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เศษไม้ปลิวว่อนไปทุกทิศทุกทาง
ชายร่างใหญ่ภพมังกรลุกขึ้นยืน พลางจ้องมองเจี้ยงฉางไฮ่ด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าเด็กบัดซบนั่นสามารถต้านฝ่ามือข้าได้ ทั้งที่มีการบ่มเพาะเพียงขอบเขตเซียนลึกลับขั้นกลาง ดังนั้นเหตุใดเจ้าถึงไม่ลองดูเล่า? หากเจ้าสามารถทำได้ ข้าจะยอมขอโทษเจ้าทันที!”
ความหมายที่แฝงอยู่นี้ คือพลังฝีมือของเฉินซีนั้นแข็งแกร่งอย่างคาดไม่ถึง ในขณะที่เจี้ยงฉางไฮ่รู้เพียงวิธีกล่าวเหน็บแนม ดังนั้นเจี้ยงฉางไฮ่ควรลงมือเอง หากเจี้ยงฉางไฮ่มีความกล้าพอที่จะทำเช่นนั้น!
ใบหน้าของเจี้ยงฉางไฮ่แข็งทื่อ เจ้าตัวแค่นเสียงเย็น จากนั้นย่นริมฝีปากและนิ่งเงียบ เพราะเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน ที่เขาจะตกลงรับคำท้าที่ไม่สมเหตุสมผลของอ๋าวเทียนซิง เพราะหากไม่สามารถต้านทานได้จริง ๆ มันจะไม่กลายเป็นเขาด้อยกว่าเฉินซี ซึ่งมีเพียงการบ่มเพาะขอบเขตเซียนลึกลับขั้นกลางหรอกหรือ?
“เอาล่ะ เจ้าทั้งคู่ต่างเป็นพันธมิตรของตระกูลจั่วชิว ดังนั้นเราควรดูแลซึ่งกันและกัน อย่าได้โต้เถียงกันเพราะเรื่องนี้อีก” จั่วชิวจวินกล่าว เขาเป็นหัวหน้าศิษย์ของโถงผู้คุมกฎชั้นนอก และเป็นอันดับสองของเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์ ดังนั้นคำพูดของเขาจึงมีน้ำหนักค่อนข้างมาก
อ๋าวเทียนซิงกลับไปนั่งบนที่นั่งของตนเมื่อได้ยินสิ่งนี้ “ภพมังกรตกลงที่จะร่วมมือกับตระกูลจั่วชิวของเจ้าเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องฟังคำสั่งของตระกูลจั่วชิวของเจ้าตลอดเวลา”
จั่วชิวจวินยิ้มและกล่าวว่า “แน่นอน”
เขาเหลือบมองทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่และกล่าวว่า “การที่กองกำลังทั้งสามของเรารวมกันได้ ก็เป็นเพราะเฉินซี ถือได้ว่าเป็นโชคอย่างหนึ่ง ไม่ต้องกังวล ตราบใดที่เราสามารถจัดการกับเจ้าเด็กนั่นได้ ตระกูลจั่วชิวของเราก็จะไม่ลืมแสดงความขอบคุณต่อภพมังกรและตระกูลเจี้ยงของพวกเจ้าอย่างแน่นอน”
สีหน้าของอ๋าวเทียนซิง อ๋าวอู๋หมิง เจี้ยงฉางไฮ่และคนอื่น ๆ ผ่อนคลายลงอย่างมากเมื่อได้ยินสิ่งนี้
เทียบกันแล้ว แม้พวกเขาจะเป็นศิษย์จากมหาอำนาจสูงสุด และไม่มีใครด้อยไปกว่ากัน แต่อิทธิพลของตระกูลจั่วชิวในสำนึกศึกษาก็เป็นสิ่งที่ภพมังกรและตระกูลเจี้ยงไม่สามารถเทียบได้
นี่เป็นสิ่งที่พวกเขาต้องยอมรับ
“ความล้มเหลวเพียงครั้งเดียวไม่ใช่เรื่องใหญ่ หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล ข้าได้รับคำแนะนำจากรองอาจารย์ใหญ่มาก่อนหน้านี้ เราจะไม่ดำเนินการรุนแรงใด ๆ ก่อนการสอบของฝ่ายในจะเริ่มขึ้น”
จั่วชิวจวินกล่าวอย่างเฉยเมย “แต่ถ้าเจ้าเด็กนั่นละเมิดกฎของสำนักศึกษา เราก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องแสดงความเมตตาใด ๆ ต่อมัน”
สำหรับรองอาจารย์ที่กล่าวถึง ย่อมหมายถึงจั่วชิวฮง
จั่วชิวอินอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งนี้ “ลูกพี่ลูกน้อง แล้วเราจะปล่อยเจ้าเด็กไปเช่นนี้หรือ?”
จั่วชิวจวินขมวดคิ้วกล่าวตามตรง เขารู้สึกผิดหวังอย่างมากกับท่าทีของลูกพี่ลูกน้อง แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องดีที่จะทำให้ลูกพี่ลูกน้องต้องเสียหน้าต่อหน้าทุกคน
“เราจะไม่ปล่อยมันไป เราแค่ต้องอดทน รอจนกว่าจะมีการสอบของฝ่ายใน ท้ายที่สุด ศิษย์ส่วนใหญ่ต่างรู้ว่าเรากำลังพยายามจัดการกับเจ้าเด็กนั้น ในขณะที่เจ้าเด็กนั้นเป็นศิษย์อันดับหนึ่งในหมู่ศิษย์ใหม่ และได้รับความสนใจจากผู้ยิ่งใหญ่มากมาย ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องโง่เขลาอย่างยิ่งที่จะจัดการกับมันในตอนนี้”
จั่วชิวจวินอดทนอธิบาย “แต่พวกเจ้าทุกคนไม่ต้องกังวล ไม่ว่าเจ้าเด็กนั้นจะสามารถเข้าร่วมการสอบของฝ่ายในได้หรือไม่ ข้าจะมอบความประหลาดที่น่ายินดีให้กับมันในตอนนั้นอย่างแน่นอน!”
เมื่อกล่าวคำว่าความประหลาดใจ ริมฝีปากที่บางเหมือนคมกระบี่ก็โค้งเป็นรอยยิ้มเย็นยะเยือก ทำให้รูปลักษณ์ดูเย็นชาและไร้ความปรานีน่ากลัวอย่างยิ่ง