บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 1203 ไม่มีใครกล้าขัดขวาง
บทที่ 1203 ไม่มีใครกล้าขัดขวาง
บทที่ 1203 ไม่มีใครกล้าขัดขวาง
ฟู่!
การโจมตีด้วยกระบี่ของเฉินซีครั้งนี้ มีแรงผลักดันที่รุนแรงและรวดเร็ว ในขณะที่มันซ้อนทับเคล็ดกระบี่วารีและเคล็ดกระบี่อัคคี ทำให้อานุภาพของมันเพิ่มขึ้นถึงสองเท่า พุ่งตรงไปที่กลางหน้าผากของหลิวเจ๋อเฟิงทันที!
หลิวเจ๋อเฟิงรู้สึกตกใจมาก เขาไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะสามารถเข้าใจความล้ำลึกของการทับซ้อนของกฎ ทั้งที่อยู่ในขอบเขตเซียนลึกลับ และแม้แต่กางเขนหยินหยาง ซึ่งเป็นสุดยอดกระบวนท่า ก็ไม่สามารถขัดขวางเฉินซีได้!
“เฉือนอันธการ!” แม้ความคิดจะไม่หยุดนิ่ง แต่การเคลื่อนไหวของหลิวเจ๋อเฟิงก็ไม่ได้ช้าลงเลย เจ้าตัวเรียกกระบี่หยินและกระบี่หยางไขว้กัน ก่อนจะฟันพวกมันลงไป
ชู่ว! ชู่ว!
ฟ้าดินเหมือนถูกเฉือนออกเป็นสองส่วน ครึ่งหนึ่งเป็นเหมือนราตรีมืดมิด อีกครึ่งหนึ่งราวกับทิวาสว่างไสวราว และเมื่อการโจมตีตัดกัน กฎของหยินหยางก็ส่งเสียงดังก้อง
ปัง!
ปราณกระบี่ปะทะกัน และแปรเปลี่ยนเป็นคลื่นความผันผวนอันน่าสะพรึงกลัวกวาดไปทั่วบริเวณโดยรอบ และท่วมท้นไปทั้งลานบำเพ็ญเต๋า มันทำให้ข้อจำกัดสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
มันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การปะทะกันครั้งนี้ น่าสะพรึงกลัวเพียงใด
ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างตกใจเมื่อเห็นฉากเมื่อครู่ เป็นที่เข้าใจได้ว่า หลิวเจ๋อเฟิงเข้าใจวิธีการทับซ้อนกฎ เพราะคนผู้นี้เป็นถึงเซียนทองคำ แต่เฉินซีกลับเข้าใจวิธีนี้เช่นกัน ช่างเป็นเรื่องเกินความคาดหมายของพวกเขาไปมาก
โดยปกติแล้ว ผู้คนจะเริ่มเข้าใจวิธีการทับซ้อนกฎก็ต่อเมื่อบรรลุความสมบูรณ์ในกฎแห่งมหาเต๋าอย่างน้อยสองประเภท
ไม่ต้องกล่าวถึงการเข้าใจวิธีการทับซ้อนกฎ ผู้เยี่ยมยุทธ์ส่วนใหญ่พบว่ามันยากที่จะบรรลุความสมบูรณ์ในกฎแห่งมหาเต๋าด้วยซ้ำ
พวกมันเป็นกฎและมาจากเต๋าแห่งสวรรค์ แม้ทุกคนที่อยู่ที่นี่จะเป็นอัจฉริยะมีประสบการณ์ผ่านการทดสอบมากมายเพื่อเข้าสู่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะทำสิ่งนี้ให้สำเร็จ
ภายใต้สถานการณ์ปกติ ผู้เยี่ยมยุทธ์ส่วนใหญ่จะมีความสามารถในการบรรลุสิ่งนี้ หลังจากบรรลุสู่ขอบเขตเซียนทองคำ สำหรับคนที่สามารถเข้าใจวิธีการทับซ้อนกฎล้วนหาได้ยากยิ่ง โดยเฉพาะตัวตนที่อยู่ในขอบเขตเซียนลึกลับเช่นเฉินซี และแม้แต่ในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าก็อาจไม่มีด้วยซ้ำ
“ไม่แปลกใจเลยที่เด็กนั่นจะไม่เกรงกลัวหลิวเจ๋อเฟิง เพราะเขาเข้าใจความสามารถดังกล่าวแล้วนี่เอง…”
หลายคนอุทานด้วยความชื่นชม ในที่สุด พวกเขาก็เข้าใจว่าเฉินซีนั้นไม่ง่ายอย่างที่คิด ในทางกลับกัน การแสดงฝีมือก็เกินความคาดหมายซ้ำแล้วซ้ำเล่า กลับทำให้ทุกคนไม่สามารถทราบได้แน่ชัดว่าคนผู้นี้มีไพ่ตายอยู่กี่ใบ!
“บัดซบ! คนผู้นี้จะแข็งแกร่งได้ถึงขนาดนี้ได้อย่างไร!?” ในฝูงชน ใบหน้าของจั่วชิวจวินกลายเป็นหมองคล้ำ ความรู้สึกเลวร้ายอย่างสุดจะพรรณาได้เกิดขึ้นในใจ เพราะสถานการณ์ได้ดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว สิ่งนี้เกินการควบคุมของเขาแล้ว ตอนนี้จึงได้แต่ภาวนาให้หลิวเจ๋อเฟิงสามารถควบคุมสถานการณ์ได้…
…
บนลานบำเพ็ญเต๋า สีหน้าของหลิวเจ๋อเฟิงหนักอึ้ง แม้ตนจะสามารถหยุดการโจมตีของเฉินซีก่อนหน้านี้ได้ แต่พลังต่อสู้ของอีกฝ่ายกลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนรู้สึกถึงอันตรายที่คืบคลานเข้ามา
หลิวเจ๋อเฟิงไม่กล้าปล่อยให้ความคิดฟุ้งซ่าน และพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจะสงบสติอารมณ์ …ยามนี้เขาไม่อาจประมาทแม้แต่น้อย ด้วยเฉินซีได้กลายเป็นคู่ต่อสู้ตัวฉกาจไปแล้ว!
ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!
ในขณะเดียวกัน เฉินซีก็พุ่งเข้ามาอีกครั้ง
…
ไม่ว่าจะเป็นการถกเถียงของผู้คนที่อยู่รอบข้าง หรือการแสดงออกหลิวเจ๋อเฟิง เฉินซีก็ไม่ได้แยแสต่อเรื่องใดทั้งสิ้น หรือบางทีชายหนุ่มยังคงอยู่ในสภาวะของการ ‘รู้แจ้ง’
การเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้อย่างหลิวเจ๋อเฟิง ได้กระตุ้นศักยภาพของเฉินซีอย่างเต็มที่ ชายหนุ่มได้ละทิ้งความคิดที่ทำให้ไขว้เขวทั้งหมด เหลือเพียงกระบี่เท่านั้นที่ยังมั่นคงอยู่ในใจ!
“หัวใจของข้าก็เหมือนกระบี่! ฟ้าดินต่างตกอยู่ในการควบคุมของข้า!”
ความเข้าใจมากมายของเต๋าแห่งกระบี่ ได้พรั่งพรูไปทั้งกาย ดวงตาสว่างไสวดุจกระบี่ ทุกรูขุมขนบนร่างเต็มไปเจตจำนงของกระบี่ที่บริสุทธิ์และรุนแรง ทำให้ร่างกายดูเหมือนจะกลายเป็นกระบี่!
โอม~
กระบี่ตะขอดาราในมืออาบไล้ไปด้วยประกายแสงของดวงดาว ราวกับมีธารดาราไหลเอื่อย กระบี่เปล่งเสียงคำรามพลุ่งพล่านดุจกระแสน้ำ และดังก้องไปทั่วฟ้าดิน
พริบตาต่อมา ปรากฏกระแสปราณกระบี่เจิดจรัสจำนวนมากพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า!
เคล็ดกระบี่อัคคีและวารี!
เคล็ดกระบี่พสุธาและพฤกษา!
เคล็ดกระบี่อัคคีและทอง!
เคล็ดกระบี่วารีและพสุธา!
การสืบทอดเคล็ดกระบี่เบญจธาตุจากยันต์เทวะอนันต์ ถูกเฉินซีซ้อนทับได้สำเร็จ พลังแห่งกฎสอดประสาน บังเกิดเป็นเคล็ดวิชาใหม่มากมาย!
ยิ่งกว่านั้น อานุภาพของพวกมันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นเท่าทวีคูณ
…
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!
หลิวเจ๋อเฟิงหลบหลีกพลางต้านทานการโจมตีด้วยพลังทั้งหมด ทันใดนั้น ม่านตาพลันขยายออก เขารู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาล
ความกดดันเช่นนี้รุนแรงมากขึ้นตามกาลเวลาที่ไหลผ่าน มันแสดงสัญญาณของอำนาจที่เหนือกว่าราง ๆ สิ่งนี้ทำให้สีหน้าหลิวเจ๋อเฟิงหนักอึ้งยิ่งขึ้น ในหัวใจไม่อาจหลีกหนีจากคลื่นพายุที่รุนแรงได้
สิ่งนี้จะเป็นไปได้อย่างไรกัน?
พลังต่อสู้ของคนผู้นี้จะสามารถเพิ่มพูนในระหว่างการต่อสู้ได้อย่างไรกัน?
หรือว่าผู้เป็นเซียนทองคำอย่างข้า กำลังจะพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้าสำนักได้ไม่นาน?
ไม่ได้การแล้ว!
ข้าจะแพ้ไม่ได้!
หลิวเจ๋อเฟิงฝืนกัดฟันแน่น หัวใจเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง ขณะอยู่ภายใต้แรงกดดันที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นทีละนิด
…
กระบวนท่ากระบี่ของเฉินซีฉีกทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า กวาดไปทั่วบริเวณทั้งหมด มันคมกริบมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้กระทั่งผู้ชมที่อยู่ไกลออกไปก็สังเกตเห็นว่า อานุภาพปราณกระบี่นั้นเพิ่มขึ้นทีละน้อยอย่างเห็นได้ชัด
ยิ่งไปกว่านั้น ประกายแสงของกระบี่ดูเหมือนจะ ‘คมมากขึ้นเรื่อย ๆ’ จนถึงระดับที่มันค่อย ๆ มีชีวิตของมันเอง
เฉินซีแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง!
พลังกระบี่ก็พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน!
“เขากำลังขัดเกลาและทำความเข้าใจในเต๋าแห่งกระบี่ผ่านการต่อสู้ ศักยภาพของเฉินซีผู้นี้ ช่างน่ากลัวจริง ๆ!” หลายคนตกตะลึงเป็นอย่างมาก “ถ้าเขาไม่หยุด หลิวเจ๋อเฟิงอาจจะพ่ายแพ้”
…
“เจตนจำนงของกระบี่ อานุภาพของกระบี่ และจิตวิญญาณของกระบี่กลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นสัญญาณของการควบคุมโลกด้วยกระบี่อยู่ราง ๆ ในขณะที่หัวใจและกระบี่ก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หรือว่าวันนี้เฉินซีจะบรรลุสู่ระดับเซียนกระบี่?”
ในระยะไกล โจวจื่อหลีจ้องมองเฉินซีโดยไม่กะพริบตา เพราะกลัวว่าจะพลาดรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ไป “ไม่แปลกใจเลยที่หัวเจี้ยนคงมอบกระบี่ตะขอดาราให้เขา”
เต๋าแห่งกระบี่! มหาเต๋าที่มีความอันตรายสูงสุดในบรรดามหาเต๋าทั้งสามพันประเภท มันทั้งรวดเร็วและทรงพลังอย่างไม่มีใครเทียบได้
เซียนกระบี่ผู้มีชื่อเสียงในภพเซียน ต่างก็มีพลังต่อสู้อันน่าตกตะลึง พวกเขาเป็นตัวตนที่ขึ้นชื่อว่ามีพลังทำลายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
แต่ผู้ที่สามารถบรรลุแนวทางใจหลอมรวมกระบี่ และบรรลุระดับปรมาจารย์ในเต๋าแห่งกระบี่ได้นั้น กลับมีเพียงหนึ่งในล้านคน สำหรับผู้ที่สามารถบรรลุถึงระดับปรมาจารย์ชั้นยอด ที่การโจมตีเพียงครั้งเดียวก็สามารถทำลายเคล็ดวิชาทั้งหมดได้ ก็เป็นตัวตนเช่นขนวิหคอมตะเขากิเลน ส่วนผู้ที่สามารถบรรลุถึงระดับเซียนกระบี่ ซึ่งมีหัวใจดุจกระบี่นั้น ยากที่จะหาได้จากคนนับพันล้านคน
นอกจากจิตตานุภาพและความสามารถในการเข้าใจแล้ว การจะบรรลุระดับเซียนกระบี่ได้นั้น จะต้องขึ้นอยู่กับวาสนาด้วยเช่นกัน
…
บนลานบำเพ็ญเต๋า การต่อสู้ระหว่างเฉินซีและหลิวเจ๋อเฟิงทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ และมันมาถึงจุดสูงสุดแล้ว
แม้ว่าหลิวเจ๋อเฟิงจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรับมือกับแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่เห็นได้ชัดว่าเขาแสดงสัญญาณของการถูกสยบอย่างแท้จริง
“อ๊า!” ประกายแสงดุร้ายสว่างวาบในดวงตาของหลิวเจ๋อเฟิง เขาบ้าคลั่งอย่างสมบูรณ์
ทันใดนั้น กระบี่หยินและหยางก็แทงตรงไปยังพื้นที่ด้านหน้า พลังงานมหาศาลของดวงดาวสองสายพุ่งลงมาจากจักรวาลอันไร้ขอบเขต พลังงานสายหนึ่งเป็นหยินสุดขีด ส่วนอีกสายหนึ่งเป็นหยางสุดขั้ว พวกมันเดินทางข้ามจักรวาลอันไร้ขอบเขต เพื่อพรั่งพรูเข้าสู่กระบี่เต๋าหยินหยาง!
“หยินหยางวิบัติ! กระบวนท่านี้ชักนำพลังงานของดารามหาหยาง และดารามหาหยิน ซึ่งเป็นไม้ตายของศิษย์พี่หลิวเจ๋อเฟิง นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะใช้มันในตอนนี้!”
ฝูงชนร้องออกมาด้วยความตกใจอย่างยิ่ง
“ทำลาย!” กระบี่ตะขอดาราก็เคลื่อนไหวเช่นกัน
กระแสปราณกระบี่ที่แฝงด้วยกฎแห่งทอง กฎแห่งวารี และกฎแห่งพสุธาได้รวมตัวกันเป็นรูปร่าง ก่อนจะเคลื่อนตัวเข้าปะทะกับการโจมตีของหลิวเจ๋อเฟิง
อย่างที่กล่าวไว้ ทองถูกใช้เพื่อให้ได้น้ำ น้ำทำให้ดินชุ่มชื้น และดินก็มีทองอยู่ในนั้น เมื่อกฎทั้งสามซ้อนทับกัน อานุภาพของมันก็จะเพิ่มขึ้นทบทวี
ปัง!
เกิดเสียงดังโครมครามจากการปะทะกัน
พลังงานของดวงดาวที่ชักนำโดยกระบี่เต๋าหยินและหยางนั้นถูกฟันออกเป็นสองส่วน ในขณะที่ปราณกระบี่อันแพรวพราวของเฉินซีกวาดไปข้างหน้าพร้อมกับเสียงหวีดหวิวในอากาศ ก่อนที่มันจะระเบิดใส่หลิวเจ๋อเฟิงที่อยู่ไกลออกไป ทำให้ร่างของหลิวเจ๋อเฟิงกระแทกเข้ากับข้อจำกัดของลานประลองอย่างแรง เลือดไหลออกจากปากไม่หยุดหย่อน ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะลุกยืนขึ้นได้อีกต่อไป
ทุกคนต่างตกตะลึงเป็นอย่างมาก
“เฉินซีเป็นผู้ชนะ!” เสียงของชายชราผมขาวดังก้อง ในเวลาเดียวกัน เขารีบควักจานค่ายกลออกมา และเปิดใช้งานข้อจำกัดเพื่อส่งหลิวเจ๋อเฟิงออกไป ช่วยไม่ได้ เขากลัวว่าเฉินซีจะสังหารหลิวเจ๋อเฟิงจริง ๆ
“ข้าแพ้แล้ว…” หลังจากที่ดิ้นรนอยู่เป็นเวลานาน ดวงตาของหลิวเจ๋อเฟิงก็เผยร่องรอยของความสลดใจ ขณะลุกขึ้นยืน เขามองเฉินซี ก่อนที่จะจากไปพร้อมกับร่างโค้งงอด้วยอาการบาดเจ็บ
ลานบำเพ็ญเต๋าตกอยู่ในความเงียบสงัด จากนั้นเสียงสนทนาต่าง ๆ ก็ดังขึ้น
“เขาแพ้แล้ว”
“แม้แต่ศิษย์พี่หลิวเจ๋อเฟิงซึ่งอยู่ในอันดับแปดของเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์ก็พ่ายแพ้ เราควรทำอย่างไรดี”
“ปะ… เป็นไปได้อย่างไรกัน? ศิษย์ใหม่คนนั้นจะผิดปกติขนาดนั้นได้อย่างไร”
ชั่วขณะหนึ่ง ฝูงชนต่างระเบิดคลื่นเสียงโกลาหล พวกเขาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อและความตกใจอย่างสุดขีด
“ยอดเยี่ยม!”
“ศิษย์พี่เฉินซี ทำได้ดีมาก!”
“น่าทึ่งมาก! ศิษย์พี่เฉินซียอดเยี่ยมมาก!”
ศิษย์ใหม่ทุกคนต่างยินดีปรีดา พวกเขาตะโกนชื่อของเฉินซีซ้ำแล้วซ้ำเล่า และอดไม่ได้ที่จะแสดงความชื่นชมอย่างแรงกล้า
“ยอดเยี่ยม!” โจวจื่อหลีปรบมือ ใบหน้าเคร่งขรึมและสำรวมเผยอารมณ์แห่งการชมเชยอย่างไม่ปิดบัง
ในทางกลับกัน ใบหน้าของจั่วชิวฮงกระตุกอย่างรุนแรง เขาอ้าปาก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใด
“ช่างเป็นไอ้โง่ที่ไร้ประโยชน์จริง ๆ เขาซึ่งเป็นเซียนทองคำอันดับที่แปดของเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์ แต่กลับไม่สามารถเอาชนะศิษย์ใหม่ได้ด้วยซ้ำ เขาทำให้ศิษย์อาวุโสทั้งหมดต้องเสียหน้า!” จั่วชิวจวินคำรามอย่างบ้าคลั่ง และไม่สามารถยับยั้งความรู้สึกของตนได้อีกต่อไป
วันนี้เขาส่งพวกหลิวอี่หมิงออกไปก่อน และเพื่อหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้น จึงส่งข่าวให้กับหลิวเจ๋อเฟิง เดิมที แผนการเหล่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะจัดการกับศิษย์ใหม่คนใดก็ได้ แต่ไม่คาดคิดว่าจะไม่สามารถทำอะไรเฉินซีได้
ในเวลานี้ เขาฟังเสียงเซ็งแซ่รอบข้างและเฝ้าดูเหล่าศิษย์กำลังโห่ร้องให้กำลังใจเฉินซีอย่างพร้อมเพรียงกัน แม้จะไม่เต็มใจที่จะยอมรับ แต่จั่วชิวจวินก็ทราบอย่างชัดเจนว่า แผนการสยบเฉินซี กลับช่วยเฉินซีให้ได้รับความสำเร็จแทน ชื่อเสียงของเด็กนั่นเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์
อีกไม่นาน ทั้งสำนักศึกษาจะรู้ว่าเกิดอันใดขึ้นในวันนี้ รวมถึงการแสดงฝีมือของเฉินซี!
…
ชายหนุ่มยังคงสงบสำรวม เขายืนอยู่เงียบ ๆ เป็นเวลานาน และควบคุมพลังชีวิตร่างของตน ขณะใช้ต้นอ่อนเงาทมิฬเพื่อเติมเต็มปราณเซียนพิสุทธิ์ในกายที่ถูกเผาผลาญไปอย่างรุนแรง
การต่อสู้กับหลิวเจ๋อเฟิงนั้นยากลำบากยิ่ง มันทำให้เขาเหนื่อยเล็กน้อย แต่…ยังมีพละกำลังที่จะสู้ต่อ
“อย่างที่ข้ากล่าวไปก่อนหน้านี้ ข้าจะอยู่กับพวกเจ้าจนถึงที่สุด ศิษย์พี่ท่านใดต้องการจะประลองกับข้าหรือไม่?” หลังจากช่วงเวลาสั้น ๆ เสียงที่ไม่แยแสของเฉินซีก็ดังก้อง มันเหมือนกับพายุที่ทำให้เสียงจอแจรอบ ๆ หยุดชะงัก
บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบสนิท
ศิษย์อาวุโสทุกคนชำเลืองมองกันและกัน ไม่มีผู้ใดตอบรับหลังจากผ่านไปนาน
“ในเมื่อไม่มีใครอยากประลองกับข้า เช่นนั้นศิษย์น้องคงต้องขอตัวลา” สิ้นคำ เฉินซีก็จากไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับพาเหลียงเริ่นและกู่เยวหมิงไปกับตนด้วย
ผู้คนเฝ้าดูทั้งสามจากไป ฝูงชนเปิดเส้นทางให้โดยพร้อมเพรียง ไม่มีผู้ใดหาญกล้าขัดขวางคนผู้นี้อีก!