บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 134 หลัวซิ่ว
บทที่ 134 หลัวซิ่ว
นั่นมันไอ้เฉินซีนี่!
เสียงหัวเราะที่ดังกึกก้องของเซี่ยจ้านหยุดลงทันที และแววตาเผยถึงอาการตกใจขณะที่เห็นเฉินซีกำลังเดินออกมาจากป่า
‘มารดามันเถอะ! นี่มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญเกินไปหรือ? เหตุใดข้าถึงต้องถูกส่งมายังสถานที่เดียวกับมารร้ายตนนี้!’
ชื่อเสียงของเฉินซีในปัจจุบันในเมืองทะเลสาบมังกรอาจกล่าวได้ว่าเป็นเหมือนดวงอาทิตย์บนท้องฟ้า ชายหนุ่มสามารถข้ามขอบเขตเข่นฆ่าผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำหกคนและผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางอีกหนึ่งคนของตระกูลซู จากนั้นก็สามารถเอาชนะหลินเส้าฉีที่เป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นแปดดารา ณ ศาลาชุมนุมเซียน ก่อนที่จะบดขยี้อัจฉริยะที่มีการบ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นสามดาราซึ่งฝึกฝนทักษะขัดเกลากายาเทพ
ความสำเร็จในการต่อสู้อันยอดเยี่ยมเหล่านี้ได้แพร่กระจายสู่หูของผู้บ่มเพาะทุกคนทั่วทั้งเมืองทะเลสาบมังกร และได้กลายเป็นหัวข้อที่ร้อนแรงที่สุดหลังมื้ออาหารตามตรอกซอยและท้องถนนของเมืองทะเลสาบมังกร
อายุสิบเจ็ดปี
ขอบเขตตำหนักอินทนิลหกดารา
กระบี่บินระดับมนุษย์ขั้นสุดยอดทั้งแปดเล่ม
การฝึกฝนเต๋าแห่งการต่อสู้ที่ระดับเต๋าแห่งการรู้แจ้ง
ข้อมูลนี้ถูกขุดคุ้ยและเผยแพร่โดยผู้ไม่หวังดีบางคน ทำให้เฉินซีกลายเป็นอัจฉริยะที่เจิดจรัสที่สุดเพียงชั่วข้ามคืน และกลายเป็นศูนย์กลางความสนใจของกองกำลังต่าง ๆ หากไม่ใช่เพราะเขาทำให้ตระกูลซูขุ่นเคืองและเป็นปฏิปักษ์กับตระกูลเซี่ย เขาคงจะถูกเชื้อเชิญจากกองกำลังต่าง ๆ เป็นแน่
แม้ว่า เซี่ยจ้านจะแสดงท่าทีเย่อหยิ่งและเกลียดชังเฉินซีจนถึงขีดสุด แต่เมื่อเขาเห็นเฉินซีปรากฏตัวต่อหน้าตนเองในตอนนี้ เขารู้สึกหวาดกลัวและไม่สบายใจ
เมื่อระลึกถึงตอนที่เขาจงใจเปิดเผยตัวตนของเฉินซีที่ด้านนอกเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ ทำให้เฉินซีตกเป็นเป้าสายตาของทุกคน ดังนั้นเขาก็รู้สึกหนาวสั่นอยู่ในใจขึ้นมา ‘เหตุใดกรรมถึงมาเร็วเช่นนี้?’
ความคิดเหล่านี้แวบเข้ามาในหัวของเซี่ยจ้าน เมื่อเขาเห็นเฉินซีกำลังเดินเข้ามาทีละก้าว เขาก็ไม่สามารถทนต่อความกลัวในใจได้อีกต่อไป และเขาก็ตะโกนออกมาด้วยเสียงอันดุร้ายว่า “เฉินซี เจ้าได้สัญญากับพี่ชายของข้าแล้วว่าพวกเราจะไม่ทำร้ายซึ่งกันและกัน หากเจ้ากล้าโจมตีข้า อย่าได้โทษตระกูลเซี่ยของข้าที่ถือเจ้าเป็นศัตรู!”
ในขณะนี้ เมื่อพวกเขาเห็นเฉินซีปรากฏตัวขึ้น ศิษย์ทั้งสี่ของตระกูลเซี่ยได้รวมตัวรอบ ๆ เซี่ยจ้านด้วยสีหน้าจริงจังราวกับกำลังเผชิญกับศัตรูที่น่าเกรงขาม
“นี่คือเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ และเป็นการแข่งขันจัดอันดับมังกรซ่อน หากข้าไม่ทุบตีจนพวกเจ้าไสหัวออกไป แล้วข้าจะเข้าสู่ชั้นที่สองได้อย่างไร” ทันที่กล่าวจบ ร่างของเฉินซีก็โผทะยานเข้าโจมตีอย่างดุเดือด ตามด้วยกระบี่ท่องปรภพทั้งแปดเล่มที่แฝงไปด้วยปราณแห่งกระบี่ก็พุ่งไปบนท้องฟ้าเช่นกัน อานุภาพของมันรุนแรงและรวดเร็วขณะที่พวกมันพุ่งใส่อีกฝ่ายทั้งห้า
นี่คือเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ ผู้บ่มเพาะกำลังถูกส่งเข้ามาตลอดเวลา ในขณะที่เฉินซีได้กลายเป็นเสี้ยนหนามของผู้คนส่วนใหญ่ไปแล้ว และถ้าเขาต้องการที่จะผ่านไปให้เร็วที่สุด เขาจะต้องยุติการต่อสู้ด้วยการฆ่าทุกคนอย่างโหดเหี้ยมและเด็ดเดี่ยว หากเขาถูกใครบางคนทำให้ล่าช้า ผู้บ่มเพาะในบริเวณใกล้เคียงจะสัมผัสถึงเขาและปิดล้อมเข้ามาเพื่อรุมโจมตี เมื่อนั้นก็จะกลายเป็นสถานการณ์ที่วิกฤตอย่างแน่นอน
ดังนั้นเมื่อเฉินซีได้ลงมือ เขาจึงไม่ลังเลยแม้แต่น้อย กระบี่ท่องปรภพทั้งแปดเล่มก่อตัวเป็นค่ายกลกระบี่ธารประทีปเลือนกระแสขั้นแรก พลังกระบี่ที่คล้ายกับกระแสน้ำส่งเสียงดังเสียดหูไปทั่วทุกทิศ
“บัดซบ! เซี่ยเฟิง เซี่ยเหิง เซี่ยซาน เซี่ยจง หยุดไอ้บัดซบนี่ซะ!” เซี่ยจ้านตะโกนออกมา และในขณะที่เขากล่าว ร่างของเขาก็ล่าถอยไปอย่างรวดเร็ว
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ทันทีที่เฉินซีลงมือ ศิษย์ตระกูลเซี่ยทั้งสี่คนก็มีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็วเช่นกัน พวกเขาชักกระบี่บินของตัวเองออกมาโดยไม่ลังเล ก่อนที่จะทำมือมุทราเพื่อใช้เคล็ดวิชากระบี่บังคับกระบี่บินของพวกเขาฟาดฟันไปที่กระบี่บินทั้งแปดเล่มของเฉินซี
เนื่องจากคนทั้งสี่นี้สามารถเข้าร่วมงานเทียบอันดับมังกรซ่อนได้ ดังนั้นพวกเขาล้วนเป็นศิษย์ระดับสูงของตระกูลเซี่ยและข้อเท็จจริงก็เป็นเช่นนั้น อายุของพวกเขาทั้งสี่คนอยู่ที่ประมาณยี่สิบปี การบ่มเพาะของพวกเขาอยู่ที่ขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นดาราที่หก ซึ่งถือได้ว่าพวกเขาเป็นคนหนุ่มที่มีศักยภาพไร้ขีดจำกัด
ในตอนนี้ เมื่อพวกเขาทั้งสี่ร่วมมือกัน ความมั่นใจของพวกเขาก็เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ซึ่งพวกเขาได้วางแผนจะฆ่าเฉินซีในโอกาสนี้ และแสดงความสามารถต่อหน้านายน้อยเซี่ยจ้าน ยิ่งไปกว่านั้น หากทำสำเร็จพวกเขาก็จะได้รับรางวัลมากมายจากตระกูลซูอีกต่างหาก ไม่มีสิ่งใดดีไปกว่านี้แล้ว
น่าเสียดายที่ความปรารถนาของพวกเขาในครั้งนี้ไม่มีวันเป็นจริง
เคร้ง! เคร้ง!
ภายใต้การผสานของกระบี่ท่องปรภพทั้งแปดเล่ม ค่ายกลกระบี่ธารประทีปเลือนกระแสขั้นที่หนึ่งเพียงพอที่จะฆ่าผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำทั่วไป ดังนั้นมันจึงสามารถบดขยี้กระบี่บินของเซี่ยเฟิงและอีกสี่คน โดยที่ความรุนแรงไม่ถูกลดทอนลงเลย ก่อนจะพุ่งเข้าไปสับฟันใส่ที่ศีรษะของกลุ่มเซี่ยเฟิง
“ระยำ! เจ้านี่มันทรงพลังเกินไป!”
“กระบี่บินระดับมนุษย์ขั้นสูงกลับถูกเขาบดขยี้ นี่มัน…”
“ถอนตัว! เราไม่ใช่คู่ต่อสู้มัน หากเราฝืนสู้ต่อไปคงจบลงด้วยการสูญเสียอย่างแน่นอน!”
กระบี่บินที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ ทำให้แรงใจที่จะสู้ของเซี่ยเฟิงและคนอื่น ๆ มอดลง ร่างกายของพวกเขาสั่นกลัวขณะที่ใบหน้าของพวกเขาซีดขาวราวกับภูตผี ภายใต้สัญชาตญาณการเอาชีวิตรอด ทั้งสี่คนจึงไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยที่จะขยี้ยันต์หยกในมือ
ฮึ่ม!
เสียงแปลก ๆ สี่เสียงดังก้องออกมาในเวลาเดียวกัน จากนั้นร่างของเซี่ยเฟิงและคนอื่น ๆ ก็ถูกดึงเข้าไปในหลุมดำที่ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าในทันที และพวกเขาก็ถูกเคลื่อนย้ายออกไปในพริบตา
‘การโจมตีแบบเต็มกำลังของข้าเป็นสิ่งที่แม้แต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำก็ไม่อาจต้านทานได้ เจ้าพวกนี้ช่างฉลาดแกมโกงจริง ๆ ที่หนีไปอย่างรวดเร็ว แต่น่าเสียดาย ที่ข้าไม่อาจทำให้พวกมันทิ้งตราคำสั่งไว้’ จากนั้นเฉินซีพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ร่างของเขาดูเหมือนลมกระโชกอย่างรุนแรงขณะที่ไล่ตามเซี่ยจ้านซึ่งอยู่ห่างออกไปมาก “ไอ้เวรนี่ต้องทำให้ข้าตกเป็นเป้าสายตาของทุกคน หากข้าไม่ฆ่ามันทิ้งซะ ข้าเกรงว่ามันจะไปรวบรวมคนของตระกูลเซี่ยเพื่อมาจัดการกับข้าในภายหลัง…”
เซี่ยจ้านหวาดกลัวจนตัวสั่นไปตั้งนานแล้ว เมื่อเทียบกับตอนที่เขาพบเฉินซีเมื่อครึ่งเดือนก่อน เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า ในตอนนี้ความแข็งแกร่งของเฉินซีเพิ่มขึ้นมาหลายเท่าตัวจนถึงขนาดทำให้ศิษย์ทั้งสี่ของตระกูลเขาไม่อาจต่อกรได้แม้แต่น้อย ความแข็งแกร่งที่น่าสะพลึงกลัวเช่นนี้คืออะไร?
‘เวรเอ๊ย! เหตุใดข้าจึงเป็นศัตรูกับตัวตนที่ร้ายก้าจเช่นนี้!? มันคงจะดีถ้าท่านพี่อยู่ที่นี่ด้วย!’
เซี่ยจ้านรู้สึกเสียใจจนลำไส้ปั่นป่วน จากนั้นเขาเค้นแรงทั้งหมดเพื่อวิ่งหนีเอาชีวิตรอด เขาไม่กล้าหันหลังกลับไปเพราะกลัวเป็นอย่างมากว่าเฉินซีจะตามทัน
และเมื่อเขาหันกลับไปมองก็พบว่า…
“ยังต้องการหนีอีกหรือ?”
พร้อมกับเสียงที่เย็นชาและไม่แยแส ทันใดนั้นร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเซี่ยจ้านในระยะสิบสองจั้งอย่างกะะทันหัน
แน่นอนว่าเจ้าของเสียงก็คือเฉินซี!
เซี่ยจ้านหวาดกลัวจนวิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่าง จากนั้นเขาก็บินขึ้นไปบนท้องฟ้าขณะกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งอยู่ในใจ ‘ตราบใดที่ข้าบินขึ้นไปกลางท้องฟ้า คนอื่น ๆ จะต้องเห็นข้าอย่างแน่นอน และในตอนนั้น ไอ้เฉินซีคงไม่กล้าตามข้ามาอีกแล้ว…’
“ฮึ่ม!” เฉินซีพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา จากนั้นเขาก็กางมือออกไปและปราณแท้อันไร้ขอบเขตของเขาก็เปลี่ยนเป็นมือขนาดมหึมาที่คว้าร่างของเซี่ยจ้าน และลากอีกฝ่ายกลับมา หลังจากนั้นเฉินซีก็เหวี่ยงมือตบไปที่ใบหน้าของเซี่ยจ้านอย่างรุนแรง
เพียะ!
เมื่อโดนเฉินซีตบด้วยความรุนแรง เซี่ยจ้านก็ล้มลงกองกับพื้นในทันที จากนั้นเขาก็ร้องออกมาอย่างโหยหวนก่อนที่จะพ่นฟันหน้าและเลือดคำใหญ่ออกมา
“เฉินซี! เจ้ากล้าละเมิดข้อตกลงกับพี่ชายข้า ก่อนหน้านี้เจ้าทำให้ตระกูลซูต้องขุ่นเคือง และคราวนี้เจ้าไม่กลัวที่จะเป็นศัตรูกับตระกูลเซี่ยของข้าหรือ?” เซี่ยจ้านคำรามด้วยสีหน้าดุร้ายเหตุผลที่เขาไม่ขยี้แผ่นยันต์หยกเพื่อหลบหนีก็เป็นเพราะเขาไม่เต็มใจที่จะจากไป หากข้อเท็จจริงที่การแข่งขันเพิ่งเริ่มต้นได้ไม่นาน แต่เขากลับถูกใครบางคนบดขยี้จนต้องออกจากการแข่งขันไป มันย่อมเป็นเรื่องที่น่าอับอายเกินจะทน
“นอกจากขู่ข้าด้วยวิธีชั้นต่ำเช่นนี้แล้ว เจ้ายังมีตัวเลือกอื่นอยู่อีกหรือ?” เฉินซีกระทืบเท้าไปที่ใบหน้าของเซี่ยจ้าน จนใบหน้าของอีกฝ่ายถูกกดลงกับพื้นอย่างรุนแรง เซี่ยจ้านส่งเสียงครวญครางที่ฟังไม่ได้ศัพท์ออกมา แต่มันก็ไร้ประโยชน์ไม่ว่าเขาจะโคจรปราณแท้เพื่อต่อต้านอย่างไรก็ตาม
“ดูนั่นสิ! นั่นมันเฉินซีนี่!”
“ทุกคนร่วมมือกัน ฆ่ามันก่อน!”
“ใช่แล้ว ไว้ค่อยแข่งขันกันอย่างยุติธรรมหลังจากที่ฆ่ามันแล้ว!”
ที่ริมแม่น้ำที่อยู่ห่างออกไป มีผู้บ่มเพาะมากกว่าสิบคนถูกเคลื่อนย้ายมาอีกครั้ง และเมื่อพวกเขาเห็นเฉินซีซึ่งอยู่ห่างออกไปราวร้อยยี่สิบจั้ง คนทั้งหมดต่างก็แสดงสีหน้ายินดีเป็นอย่างมากขณะที่ตะโกนเสียงดังกึกก้องและพุ่งเข้าหาเฉินซีอย่างรวดเร็ว
“ดูเหมือนว่าเจ้าไม่ได้ตั้งใจที่จะหนีเลยนี่!” เฉินซีมองไปในระยะไกลและเจตนาฆ่าของเขาก็พวยพุ่งออกราวกับระเบิด จากนั้นเขาก็ตบไปที่ศีรษะของเซี่ยจ้านอย่างรุนแรง หากฝ่ามือนี้ถูกเป้าหมาย แม้แต่ก้อนหินก็ยังแตกสลายกลายเป็นผุยผง
ฮึ่ม!
เซี่ยจ้านขยี้แผ่นยันต์หยกของเขาด้วยความไม่เต็มใจ และในขณะที่เขากำลังจะถูกหลุมดำบนท้องฟ้าพาตัวไป ฝ่ามือที่เฉินซีตบลงมาก็กลายเป็นกรงเล็บที่กระชากเข็มขัดมิติที่เอวของเซี่ยจ้านลงมา
“เฉินซีข้าจะไม่มีวันปล่อยเจ้าไป…” เสียงนั้นหยุดลงในทันทีเมื่อเซี่ยจ้านหายไปแล้ว
ฟุ่บ!
เฉินซีไม่มีเวลาตรวจสอบเข็มขัดมิติที่อยู่ในมือ และรีบใช้เคล็ดวาตะเหินทะยาน จนเกิดเสียงดัง ‘ฟุ้บ’ จากนั้นเขาก็หายตัวเข้าไปในป่าที่กว้างใหญ่อย่างฉับพลัน
“บัดซบ! มันหนีไปแล้ว!”
“ข่าวลือนั้นเป็นความจริง วิชาตัวเบาของไอ้เด็กนี่รวดเร็วเหมือนสายฟ้าจริง ๆ เราคงไม่อาจฆ่ามันในป่าที่หนาทึบเช่นนี้ได้”
“มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ในป่านี้มีที่ซ่อนมากเกินไป และความเร็วของไอ้เด็กคนนี้ก็เร็วเกินไป มันเสี่ยงเกินไปถ้าหากจะไล่ตามมัน”
…
ผู้บ่มเพาะมากกว่าสิบคนไล่ตามไปที่ชายป่าก่อนที่จะเริ่มพูดคุยด้วยความไม่เต็มใจ
“ทุกคน เฉินซีมันหนีไปแล้ว ดังนั้นพวกเราก็ควร…” ทันใดนั้น ชายหนุ่มที่มีผมถักเปียก็กล่าวออกมาอย่างไม่เร่งรีบ และในขณะที่เขากล่าว ขวานสีเขียวหยกก็ถูกเหวี่ยงออกไปเบา ๆ จากมือของเขา ฟันไปที่ด้านหลังของผู้บ่มเพาะอีกคนที่อยู่ข้างหน้า ก่อนที่เลือดสีแดงสดและอวัยวะภายในจะกระเซ็นออกมา
หลังจากฆ่าคนคนนี้แล้ว ชายหนุ่มที่มีผมถักเปียก็ไม่รั้งรอเลยแม้แต่น้อย เขาหันหลังกลับและกระโจนออกราวกับเสือดุร้ายที่กระโจนลงจากภูเขา และขวานสีเขียวหยกของเขาก็กวาดออกไปในแนวนอน ทำให้ผู้บ่มเพาะอีกสามคนที่ยังไม่ทันตั้งตัว ถูกผ่าออกเป็นสองท่อนด้วยขวานที่คมกริบ
“นั่นมัน หลัวซิ่ว!”
“บัดซบ! คนผู้นี้คือ หลัวซิ่ว ผู้กระหายเลือดดั่งอสูรแห่งหุบเขาดารา!”
เมื่อผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ เห็นรูปลักษณ์ของชายหนุ่มผมเปียอย่างชัดเจน ใบหน้าของพวกเขาก็ซีดลงทันที จากนั้นคนทั้งหมดก็บินหลบหนีไปจากทุกทิศทุกทางราวกับว่าพวกเขากำลังหลีกเลี่ยงสัตว์มีพิษ
หลัวซิ่วไม่ได้ไล่ตามคนเหล่านี้ไป เขาแลบลิ้นสีแดงฉานออกเพื่อเลียไข่มุกสีแดงเลือดบนใบหน้าของเขา สีหน้าของเขาดูมึนเมาขณะกำลังส่งเสียงครวญครางราวกับงูพิษที่กำลังแลบลิ้น
…
“ทรงพลังยิ่งนัก! บังคับให้ศิษย์ระดับสูงของตระกูลเซี่ยสี่คนต้องล่าถอยด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว! เฉินซีคนนี้เป็นคนที่ทรงพลังจริง ๆ!”
“ค่ายกลกระบี่ธารประทีปเลือนกระแสระดับลึกล้ำ! ข้าเคยเห็นค่ายกลกระบี่นี้ในหอขุมทรัพย์สวรรค์ของเมืองทะเลหมอก! ถึงแม้ค่ายกลกระบี่นี้จะยังไม่สมบูรณ์ และมีเพียงเคล็ดวิชาการบ่มเพาะสำหรับสองขั้นแรก แต่… นี่เป็นค่ายกลกระบี่ระดับล้ำลึกที่มีเพียงผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำเท่านั้นที่จะสำแดงพลังออกมาได้! ดังนั้น ผู้มีการบ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลเช่นเขาจะสำแดงพลังได้อย่างไร?”
“ชู่ว! คนผู้นี้ช่างไร้ยางอาย กล้าตบหน้านายน้อยของตระกูลเซี่ยจนดังก้อง เขาช่างน่าสะพรึงกลัวจริง ๆ!”
ภายนอกเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ สายตามากกว่าครึ่งของผู้คนได้เห็นการต่อสู้ระหว่างเฉินซีกับเซี่ยจ้านอย่างชัดเจน จากนั้นฝูงชนก็อื้ออึงไปด้วยเสียงสนทนาเซ็งแซ่
บนแท่นหยก เมื่อชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีดำหรูหราที่ปักด้วยด้ายสีทองได้ยินการสนทนาจากรอบข้าง เขาจึงนึกถึงฉากที่เขาเห็นก่อนหน้านี้ คิ้วหนาของเขาขมวดแน่น และสีหน้าของเขาก็ดูมืดมนเป็นอย่างยิ่ง
เขาคือ ‘เซี่ยขุ่ย’ ผู้นำตระกูลเซี่ย ซึ่งเป็นหนึ่งในหกตระกูลใหญ่ของเมืองทะเลสาบมังกร และ เซี่ยจ้านก็เป็นบุตรชายคนสุดท้องของเขา เมื่อเขาเห็นเฉินซีล้มเซี่ยจ้านและศิษย์คนอื่น ๆ ของตระกูลเซี่ยจนออกไปจากเจดีย์บำเพ็ญทุกข์อย่างง่ายดายราวกับกำลังกวาดใบไม้ที่เฉาตายแล้ว ท่าทางของเขานั้นไม่น่าดูเป็นอย่างยิ่ง
“ท่านพี่เซี่ย เจ้าเฉินซีนั่นน่ารังเกียจเกินไป เขาไม่ให้เกียรติพวกเราเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นตระกูลของพวกเราร่วมมือกันเพื่อกำจัดเจ้าเด็กนี้ดีหรือไม่?” เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหูของเขา และเมื่อเซี่ยขุ่ยเหลือบมองไป เขาก็เห็นผู้นำของตระกูลซู ซึ่งก็คือ ซูเจิ่นเทียนที่มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า
ใบหน้าของเซี่ยขุ่ยยังคงไม่เปลี่ยนแปลงขณะที่เขาตอบอย่างเฉยเมย “ระหว่างงานเทียบอันดับมังกรซ่อน ชัยชนะและความพ่ายแพ้นั้นเป็นเรื่องปกติ ทักษะของบุตรชายคนเล็กของข้ายังด้อยกว่าผู้อื่น ดังนั้นเขาจึงสมควรถูกไล่ออกไปแล้ว”
ซูเจิ่นเทียนส่ายศีรษะและไม่กล่าวอะไรอีก เดิมทีเขามีท่าทีไม่แยแสเมื่อเขาหยั่งเชิงเซี่ยขุ่ย และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงไม่เคลื่อนไหว ดังนั้นเขาจึงไม่พัวพันผู้นำตระกูลเซี่ยคนนี้อีกต่อไป
“พี่เฮ่อเหลียน ศิษย์จากหุบเขาดาราของท่านช่างน่ารังเกียจและไร้ยางอายยิ่งนัก!” ที่อีกด้านหนึ่งของแท่นหยก ท่านหญิงซิงอวิ้น ประมุขแห่งนิกายบุปผาหยกกล่าวด้วยใบหน้าที่เย็นชา
ในบรรดาผู้คนที่ชายหนุ่มผมถักเปียหลัวซิ่วได้ฆ่าไปก่อนหน้านี้ บังเอิญว่าเป็นศิษย์ของนิกายบุปผาหยก ดังนั้นนางจึงรู้สึกโกรธแค้น
“ในงานเทียบอันดับมังกรซ่อน การบาดเจ็บล้มตายเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ หลัวซิ่วได้สังหารอย่างเฉียบขาด อีกทั้งเขาก็มีทั้งความกล้าหาญและสติปัญญา ดังนั้นถ้าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ข้าก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องปกติมาก” เฮ่อเหลียนสุ่ย ประมุขของนิกายหุบเขาดาวตกกล่าวพลางหัวเราะเสียงดัง และความพึงพอใจก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่แก่ชราของเขา
เขาภูมิใจมากจริง ๆ หลัวซิ่วเป็นศิษย์ชั้นยอดที่เขาเอ็นดูเป็นอย่างมาก ชายหนุ่มเพิ่งจะอายุสิบเก้าปีทว่ากลับบรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นเก้าดารา และการฝึกฝนในเต๋าแห่งการต่อสู้ของเขาก็อยู่ในขั้นเต๋าแห่งการรู้แจ้งเช่นกัน เมื่อรวมกับหลัวซิ่วที่เพิ่งกลับมาจากดินแดนรกร้างอันเต็มไปด้วยการนองเลือด ทำให้ประสบการณ์ต่อสู้จริงได้รับการขัดเกลาจนถึงขีดสุด ดังนั้นเฮ่อเหลียนสุ่ยจะไม่ภูมิใจได้อย่างไรเมื่อเขามีศิษย์อัจฉริยะเช่นนี้?
เขามั่นใจด้วยซ้ำว่าหลัวซิ่วจะต้องติดหนึ่งในสิบอันดับแรกของงานเทียบอันดับมังกรซ่อนในครั้งนี้อย่างแน่นอน!
“ดูนั่นสิ! หลัวซิ่วไล่ตามเฉินซีไปแล้ว!” อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้เองที่เสียงอุทานด้วยความประหลาดใจดังขึ้นอย่างกะทันหันจากบนพื้นดิน และมันได้ขัดจังหวะความคิดของเฮ่อเหลียนสุ่ยทำให้สีหน้าของเขามืดมนลงในทันที
เหตุใดหลัวซิ่วถึงไล่ตามเฉินซีโดยไม่วางมือเลยเล่า?