บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 145 แผนการร้ายครั้งใหญ่
จนถึงตอนนี้ ในบรรดาผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลทั้งสองพันคนที่เข้าสู่ชั้นสี่สัญลักษณ์ของเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ ต่างตายอย่างน่าอนาถไปมากกว่าสองร้อยคน และมีผู้บ่มเพาะอีกพันห้าร้อยคนได้ทำลายยันต์เคลื่อนย้ายเพื่อหลบหนีออกจากเจดีย์ ดังนั้นจึงเหลือผู้บ่มเพาะไม่ถึงสามร้อยคนที่ยังคงอยู่ในการจัดอันดับเท่านั้น
ผู้บ่มเพาะกว่าสองร้อยคนที่ตายอย่างน่าอนาถ ล้วนถูกลอบสังหารจากผู้บ่มเพาะที่ลับลึกและไม่ทราบที่มาเก้าคน
ผู้บ่มเพาะที่เสียชีวิตอย่างน่าอนาถล้วนมาจากกองกำลังที่หลากหลาย พวกเขาอายุยังน้อย มีศักยภาพสูง และมีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม ความหวังอันยิ่งใหญ่ของกองกำลังต่าง ๆ ถูกวางไว้บนบ่าของพวกเขา แต่ในตอนนี้ พวกเขาทั้งหมดได้พบกับชะตากรรมที่น่าเศร้าและต้องมานอนตายอยู่บนพื้น การตายของพวกเขาทำให้กองกำลังต่าง ๆ ต้องสูญเสียอย่างมหาศาล และนับตั้งแต่มีงานเทียบอันดับมังกรซ่อน ยังไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดมาขึ้นก่อน
ต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้ก็คือผู้บ่มเพาะที่ลึกลับและไม่รู้ที่มาทั้งเก้าคน!
แต่นับว่าโชคดี ที่ชั้นสี่สัญลักษณ์มีขนาดไม่ใหญ่มาก และในเวลาไม่นาน เหล่าศิษย์ที่หลงเหลืออยู่ก็สังเกตเห็นว่ามีบางสิ่งที่ผิดปกติ พวกเขาจึงร่วมมือกันก่อกองกำลังขึ้นมา จากนั้นจึงเปิดฉากโจมตีผู้บ่มเพาะที่ลึกลับและไม่ทราบที่มาทั้งเก้าคน ภายใต้การนำของเฟยเหลิ่งชุ่ยและชิวเหลิ่ง
เมื่อผู้คนที่อยู่นอกเจดีย์ได้เห็นสถานการณ์เหล่านี้ ความกังวลที่ตึงเครียดของทุกคนก็ผ่อนคลายลงเป็นอย่างมาก ตราบใดที่เหล่าศิษย์สามารถสังหารคนทั้งเก้าได้ การแข่งขันก็อาจจดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่น
ทว่าสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อเหล่าศิษย์ที่เหลืออยู่กำลังจะตีวงล้อมและกักขังผู้บ่มเพาะที่ลึกลับและไม่ทราบที่มาทั้งเก้าคน ทันใดนั้นเอง มีศิษย์ราว ๆ ห้าสิบคนได้แปรพักตร์และเข้าโจมตีศิษย์ของนิกายต่าง ๆ ที่อยู่เคียงข้างอย่างกะทันหัน เพียงชั่วพริบตา ทำให้มีผู้คนเสียชีวิตไปกว่าสี่สิบคน!
ผู้บ่มเพาะทั้งห้าสิบคนที่ได้แปรพักตร์อย่างกะทันหัน แท้จริงแล้วเป็นพวกเดียวกับผู้บ่มเพาะที่ลึกลับและไม่ทราบที่มาทั้งเก้าคน!
การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันเช่นนี้ไม่เพียงทำให้ทุกคนที่อยู่นอกเจดีย์ต้องตกตะลึง แม้แต่ศิษย์ของกองกำลังต่าง ๆ ที่อยู่ในเจดีย์ก็ตั้งตัวไม่ทันเช่นกัน ทำให้สถานการณ์พลิกผันในทันที
ในขณะที่สถานการณ์ได้ถูกพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ จึงเหลือศิษย์เพียงสองร้อยคนจากกองกำลังต่าง ๆ ที่ถูกนำโดยเฟยเหลิ่งชุ่ยและชิวเหลิ่งเท่านั้นที่ยังคงสู้อยู่ในสนามรบ ส่วนศัตรูของพวกเขาได้เปลี่ยนจากเก้าคนกลายเป็นหกสิบห้าคนในชั่วพริบตา!
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้บ่มเพาะที่ลึกลับและไม่ทราบที่มาเหล่านี้ดูเหมือนจะเก็บซ่อนฝีมือที่แท้จริงไว้อยู่เสมอ และเมื่อเกิดการแปรพักตร์ขึ้น พวกมันจึงเปิดเผยพลังที่แท้จริงออกมา พวกมันล้วนทรงพลังเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าพวกมันจะไม่อาจเทียบได้กับเฟยเหลิ่งชุ่ยและชิวเหลิ่ง แต่พลังของพวกมันก็เหนือกว่าศิษย์คนอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด ดังนั้น แม้ว่าจะพวกมันมีเพียงหกสิบห้าคน แต่กลับเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด
การต่อสู้ระเบิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ภายใต้เงื้อมมือของกองกำลังร่วมของผู้บ่มเพาะที่ลึกลับและไม่ทราบที่มาทั้งหกสิบห้าคน ศิษย์ของกองกำลังต่าง ๆ จากเมืองทะเลสาบมังกรต่างทำลายยันต์เคลื่อนย้ายในมือไปทีละคน เหลือทิ้งไว้เพียงความเคียดแค้นอยู่ในใจ และมีศิษย์บางคนที่ไม่อาจหลบหนีได้ทันเวลาจึงถูกฆ่าตายในทันที
ความน่าสยดสยองของการต่อสู้ ที่เต็มไปด้วยฉากนองเลือด ทำให้สีหน้าของผู้คนที่อยู่ด้านนอกเจดีย์กลายเป็นไม่น่าดู ราวกับว่ามีก้อนหินก้อนมหึมากดทับหัวใจของพวกเขา ทำให้หัวใจของพวกเขาไม่สามารถต้านทานได้
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้คนยังได้เห็นว่าพวกผู้บ่มเพาะที่ลึกลับและไม่ทราบที่มายอมต่อสู้จนตัวตายไม่ยอมทำลายยันต์เคลื่อนย้ายอย่างเด็ดขาด ราวกับเป็นทหารเดนตายผู้ภักดีที่ไม่แยแสต่อชีวิตและความตาย โหดเหี้ยมต่อศัตรูและไร้ปรานีต่อตนเอง!
เป็นเพราะความโหดเหี้ยม ไร้ความปรานี และความไม่แยแสต่อชีวิตของพวกมัน จึงทำให้สถานการณ์ต่อสู้เลวร้ายลงเรื่อย ๆ หลังจากนั้นไม่นาน มีเพียงเฟยเหลิ่งชุ่ย ชิวเหลิ่ง และศิษย์อีกสิบคนเท่านั้นที่ยังคงเหลืออยู่ในสนามรบ ในขณะที่ยังมีศัตรูอีกสามสิบสองคนที่กำลังจ้องมองมาที่พวกเขาราวกับพยัคฆ์ที่จับจ้องเหยื่อ
พวกเขาจบสิ้นแล้ว…!
นี่เป็นความคิดเดียวในใจของผู้คนที่อยู่นอกเจดีย์ และข้อเท็จจริงก็ไม่เกินความคาดหมายของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย
“ไปกันเถอะ ไม่มีความหมายที่จะอยู่ต่อไป คนเหล่านี้ไม่ได้มาที่นี่เพื่อเข้าร่วมงานเทียบอันดับมังกรซ่อนอย่างแน่นอน” เฟยเหลิ่งชุ่ยเอ่ยขึ้นขณะที่พยายามต้านทานการโจมตีที่มาจากรอบด้านราวกับคลื่นยักษ์ที่ซัดสาด ขณะที่นางกล่าวกับเฉินฮ่าวที่อยู่เคียงข้าง
“มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ คนเหล่านี้โหดเหี้ยมและไร้ความปรานี พวกมันไม่เหมือนกับศิษย์ของดินแดนทางใต้ของเราอย่างสิ้นเชิง” ชิวเหลิ่งที่อยู่ใกล้เคียงก็กล่าวเช่นกันว่า “ไปกันเถอะ เรายังสามารถมีชีวิตอยู่ได้หากออกไป แต่เมื่อพวกมันออกไป พวกมันย่อมถูกเหล่าผู้อาวุโสของกองกำลังต่าง ๆ จับกุม ก่อนที่จะทรมานด้วยการถลกหนังและดึงเส้นเอ็นจนกว่าพวกมันจะตายโดยสภาพศพไม่สมบูรณ์!”
“ตกลง! ไปกันเถอะ!” เฉินฮ่าวบีบศัตรูให้ล่าถอยด้วยการฟันกระบี่เพียงครั้งเดียว ก่อนที่จะทำลายยันต์เคลื่อนย้ายในมือของเขา
ปัง! ปัง! ปัง!
ในเวลาเดียวกัน เฟยเหลิ่งชุ่ย และคนอื่น ๆ ได้ทำลายยันต์เคลื่อนย้ายของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง และพวกเขาก็หายไปจากจุดนั้นในทันที
ในตอนนี้ ดูเหมือนว่ามีเพียงผู้บ่มเพาะที่ลึกลับและไม่ทราบมาทั้งสามสิบสองคนเท่านั้น ที่คงเหลืออยู่ในชั้นสี่สัญลักษณ์
“ในที่สุดโอกาสก็มาถึงเสียที เจดีย์บำเพ็ญทุกข์นี้เป็นสมบัติอมตะที่สืบทอดมาจากนิกายพุทธ แม้ว่ามันจะได้รับความเสียหายและดวงจิตของมันจะถูกลบล้างไปอย่างไร้ร่องรอย แต่ตราบใดที่มันอยู่ในมือของข้า ข้าจะสามารถฟื้นฟูมันให้กลับมาอยู่ในสภาพเดิมได้ภายในร้อยปีอย่างแน่นอน!” ที่ด้านนอกเจดีย์ สตรีในชุดดำกล่าวช้า ๆ ด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำและเย็นยะเยือกจากเงามืดอยู่ห่างออกไป ร่างกายของนางถูกคลุมด้วยชุดคลุมสีดำจนทำให้มองไม่เห็นรูปร่างหน้าตา ทำให้นางดูลึกลับยิ่งนัก
ที่ด้านข้างของสตรีในชุดดำคือชายวัยกลางคนที่สวมชุดคลุมสีดำคล้ายกัน และเขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่เคารพว่า “ขอแสดงความยินดีกับ หัวหน้าหมู่ตึกฟ่าน ตราบใดที่ศิษย์ทั้งสิบคนจากผู้พิทักษ์จิตอสูร สามารถเข้าไปในชั้นสูงสุดของเจดีย์ได้ พวกเขาจะสามารถควบคุมแกนกลางของสมบัตินี้ เมื่อถึงเวลานั้น สมบัติอมตะที่ล้ำค่านี้จะเป็นของท่าน และมีเพียงคนที่มีสถานะเหมือนท่านเท่านั้นที่คู่ควรกับสมบัติชิ้นนี้!”
“เจ้าอย่าได้นับลูกไก่ก่อนที่มันจะฟักเป็นตัว มีผู้เชี่ยวชาญมากมายอยู่นอกเจดีย์บำเพ็ญทุกข์นี้ เฟิ่งหมิง เจ้าจงเตรียมตัวให้พร้อม เมื่อผู้พิทักษ์จิตอสูรทั้งสามสิบสองคนทำภารกิจสำเร็จ เจ้าและข้าจะต้องรีบไปนำเจดีย์บำเพ็ญทุกข์จากพวกเขามาและจากไปในทันที” สตรีชุดดำที่ถูกเรียกว่า ‘หัวหน้าหมู่ตึกฟ่าน’ กล่าวช้า ๆ
“ขอรับ! ท่านหัวหน้าหมู่ตึกฟ่าน ว่าแต่พวกผู้พิทักษ์จิตอสูรทั้งสามสิบสองคนล่ะ…” ชายในชุดดำที่เรียกว่า ‘เฟิ่งหมิง’ ถามอย่างลังเล
“มันไม่สำคัญหากพวกเขาจะต้องตาย ข้าจะอธิบายกับนายท่านเกี่ยวกับเรื่องนี้เอง”
“หากเป็นเช่นนั้นคงจะดียิ่งนัก”
“หืม?” สตรีชุดดำดูเหมือนจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นนางก็จ้องมองไปที่พื้นผิวของเจดีย์ สายตาที่เย็นเสียดกระดูกส่องประกายออกมา คางที่ขาวและบอบบางราวกับหยกเนื้อดีก็ยื่นออกมาจากใต้หมวกสีดำของนาง
…
‘บัดซบ!’
การสูญเสียของกองกำลังต่าง ๆ ในงานเทียบอันดับมังกรซ่อนครั้งนี้เรียกได้ว่าสาหัสถึงขีดสุด!
‘ทั้งหมดเป็นเพราะไอ้พวกบัดซบพวกนี้ การแข่งขันงานเทียบอันดับมังกรซ่อนจึงได้กลายเป็นสนามรบแห่งการเข่นฆ่าครั้งใหญ่ หากพวกมันออกมาจากเจดีย์เมื่อไรละก็ ข้าจะฉีกพวกมันออกเป็นพัน ๆ ชิ้น ก่อนที่จะเหยียบขยี้กระดูกและอัฐิของพวกมันไม่ให้ได้ไปผุดไปเกิดใหม่ในสภาพสมบูรณ์!’
ที่ด้านนอกเจดีย์ หัวใจของผู้คนที่อยู่ที่นั่นต่างก็รู้สึกหนักอึ้ง เมื่อมองไปที่ผู้บ่มเพาะที่ลึกลับและไม่ทราบที่มาทั้งสามสิบสองคนที่อยู่ในชั้นสี่สัญลักษณ์ ก็ยิ่งซ้ำเติมความรู้สึกให้โกรธแค้นเป็นอย่างมาก
แต่ทันใดนั้นเองก็เกิดเสียงอุทานขึ้นมา
“เอ๊ะ! นั่นมัน…”
“เฉินซี! นั่นมันเฉินซี! เขายังไม่ได้จากไปจริง ๆ!”
“หืม? เขากำลังบินไปหาไอ้พวกบัดซบทั้งสามสิบสองคนนั่น! หรือว่าเขาต้องการทำลายล้างพวกมันด้วยตัวเอง?”
“อย่าได้กล่าววาจาไร้สาระในเวลาเช่นนี้ ศิษย์ของตระกูลซูไม่อาจเทียบกับคนเหล่านั้นได้ พวกมันทุกคนต่างก็โหดเหี้ยม ไร้ความปรานี และไม่เกรงกลัวต่อความตาย อีกทั้งความแข็งแกร่งของพวกมันทุกคนยังด้อยกว่าเฟยเหลิ่งชุ่ยแห่งนิกายกระบี่เมฆาพเนจรเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ว่าเฉินซีจะทรงพลังสักเพียงใด หากต้องเผชิญหน้ากับคนทั้งสามสิบสองคนนี้ เขาก็ยังต้องหลบหนีเพื่อเอาชีวิตรอดเช่นเดียวกัน”
ผู้คนที่อยู่ในตอนนี้ต่างก็ต้องตกใจ เมื่อสังเกตเห็นว่าภายในชั้นสี่สัญลักษณ์นั้น เฉินซีกำลังเข้าใกล้ผู้บ่มเพาะที่ลึกลับและไม่ทราบที่มาทั้งสามสิบสองคน ทำให้พวกเขาอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง
“เจ้าเด็กคนนี้ยังคงโอ้อวดความสามารถในเวลาเช่นนี้ เขาช่างรนหาที่ตายอย่างแท้จริง! แต่จะเป็นการดีที่สุดถ้าเจ้าเด็กคนนี้สามารถหลบหนีไปได้…”
ที่บนแท่นหยก ผู้นำของตระกูลซู ซูเจิ่นเทียนกำลังมองไปที่เฉินซีซึ่งอยู่ภายในเจดีย์ เมื่อเขานึกถึงผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำทั้งหกคนและผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำอีกหนึ่งคนที่ต้องตายอย่างน่าอนาถด้วยน้ำมือของเฉินซี ไม่เพียงแค่นั้น ศิษย์ของตระกูลซูอีก 96 คนซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ ก็ยังต้องมาตายอย่างน่าอนาถด้วยน้ำมือของชายหนุ่มอีก ความเกลียดชังมหาศาลก็พวยพุ่งออกมาจากในใจ และเขาไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการจับเฉินซีด้วยมือตัวเอง ก่อนที่จะใช้เคล็ดวิชาที่โหดเหี้ยมทุกประเภทในการทรมานเฉินซีช้า ๆ จนกว่าจะขาดใจตาย!
…
เมื่อเฉินซีมาถึงป่าหยกเขียวขจี เขาเห็นศพจำนวนนับไม่ถ้วนนอนอยู่บนพื้นดินพร้อมเลือดที่หลั่งไหลออกมาราวกับสายน้ำ และสภาพการตายของพวกเขาแต่ละคนนั้นน่าอนาถเป็นอย่างยิ่ง
แต่ จู่ ๆ หัวใจของเขาก็รู้สึกเหมือนถูกบีบเค้นจึงรีบใช้ญาณศักดิ์สิทธิ์ตรวจสอบศพทั้งหมดอย่างระมัดระวัง เมื่อเขาตรวจสอบซากศพเหล่านี้จนแน่ใจดีแล้ว เขาก็ทอดถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อยืนยันว่ากลุ่มของเฉินฮ่าว และตู้ชิงซีไม่ได้อยู่ท่ามกลางซากศพเหล่านี้
แต่ฉากที่นองเลือดและโหดร้ายเช่นนี้ยังคงทำให้สีหน้าของเขาดูตึงเครียดเป็นอย่างมาก เพราะเขารู้สึกราง ๆ ว่า อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึงภายในชั้นสี่สัญลักษณ์ ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่ทราบ
…
“หืม? ยังมีคนอยู่ตรงนั้น!” ในขณะนี้เอง เสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างกะทันหันจากที่ห่างไกลสุดลูกหูลูกตาภายในป่า และพร้อมกับเสียงนี้ ร่างหลายสิบร่างที่ดูเหมือนเมฆดำทะมึนที่ลอยมาปกคลุมได้ปรากฏต่อหน้าเฉินซีในชั่วพริบตา แต่ก็ต้องตกใจ พวกมันกลับเป็นผู้บ่มเพาะที่ลึกลับและไม่ทราบที่มาทั้งสามสิบสองคนที่หัวหน้าหมู่ตึกฟ่านได้กล่าวถึง
แม้เฉินซีจะไม่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด แต่เขากลับสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่า เจตนาฆ่าของคนพวกนี้เข้มข้นถึงขีดสุด และเสื้อผ้าของพวกมันก็แปดเปื้อนไปด้วยเลือดสด ๆ เห็นได้ชัดว่าพวกมันเพิ่งผ่านการต่อสู้ที่ดุเดือดมา
เฉินซีจึงชี้ไปที่ซากศพบนพื้นแล้วถามว่า “คนเหล่านี้ถูกพวกเจ้าฆ่าหรือ?”
“ถูกต้อง ในตอนนี้ ศิษย์ของกองกำลังต่าง ๆ ในเมืองทะเลสาบมังกรของเจ้า ถ้าหากพวกมันไม่ตาย ก็ได้หลบหนีออกไปหมดแล้ว และมีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ยังเหลืออยู่ ข้าขอแนะนำให้เจ้าไสหัวออกไปจากที่นี่ด้วยตัวเอง มิฉะนั้น ชีวิตสุนัขของเจ้าต้องมาจบลงด้วยน้ำมือของพวกข้า” ชายคนหนึ่งที่มีผมสีขาวโดดเด่นก้าวเดินออกมาช้า ๆ เขาคือผู้บ่มเพาะที่มีนามว่าลู่ผิง
ไสหัวออกไป? ชีวิตสุนัขหรือ?
ดวงตาของเฉินซีหรี่ลงขณะที่กล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “โอ้ ที่แท้พวกเจ้าทุกคนไม่ใช่ผู้บ่มเพาะจากเมืองทะเลสาบมังกรนี่เอง ถ้าข้าเดาไม่ผิด บางทีพวกเจ้าทุกคนอาจไม่ใช่ผู้บ่มเพาะจากดินแดนทางใต้ด้วยซ้ำ”
“ฮึ่ม! คิดว่าข้าจะบอกเจ้าหรือ?” ลู่ผิงคำรามอย่างเหยียดหยาม จากนั้นก็โบกมือในขณะที่เขากล่าวว่า “เร็วเข้า ไสหัวไปซะ เจ้าสารเลว เหตุใดเจ้าถึงกล่าววาจาไร้สาระมากมายเช่นนี้? อย่าได้บังคับให้ข้าต้องลงมือ ไม่เช่นนั้น ชีวิตสุนัขของเจ้าจะไม่สามารถอยู่ได้จนถึงวันพรุ่งนี้!”
ไม่ว่าอารมณ์ของเฉินซีจะมั่นคงแค่ไหน เมื่อถูกดูถูกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็อดไม่ได้ที่รู้สึกโกรธแค้น และทำให้เจตนาฆ่าปรากฏขึ้นในใจของเขาในทันที แต่ทว่าเขายังคงกล่าวอย่างใจเย็นว่า “พวกเจ้าทุกคนได้ฆ่าคนไปมากมาย และเจ้าก็อาจจะต้องตายหลังจากที่เจ้าออกไปจากเจดีย์ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าช่วยบอกหน่อยได้ไหม ว่าเป้าหมายของพวกเจ้าคือสิ่งใด? หรือว่าจะเป็นเจดีย์บำเพ็ญทุกข์?”
จากมุมมองของเฉินซี การกระทำของคนเหล่านี้ผิดปกติเกินไป ซึ่งดูเหมือนว่าพวกมันจะไม่สนใจต่อความปลอดภัยของตนเอง หรืออันที่จริง พวกมันไม่ได้เข่นฆ่าเพื่ออันดับและรางวัลจากงานเทียบอันดับมังกรซ่อน แต่พวกมันกำลังตามหาบางสิ่ง ยิ่งกว่านั้น มันต้องเป็นสิ่งของที่ล้ำค่าและยิ่งใหญ่ มิฉะนั้นพวกมันคงไม่เข่นฆ่าอย่างไม่เกรงกลัวภายใต้จมูกของผู้นำของกองกำลังต่าง ๆ
“เจ้า…” ลู่ผิงอุทานอย่างลืมตัว จากนั้นเขาก็ตระหนักได้ทันใดและปิดปากในทันที
น่าเสียดายที่มันสายเกินไปแล้ว ในตอนนี้ เฉินซีก็แน่ใจแล้วว่า คนเหล่านี้มาที่นี้เพราะเจดีย์บำเพ็ญทุกข์อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม เจดีย์นี้เป็นสมบัติอมตะเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว แม้ว่ามันจะได้รับความเสียหาย แต่ถ้ามีผู้คนที่สามารถซ่อมแซมมันได้ ย่อมไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันจะต้องเป็นสมบัติล้ำค่าที่ใคร ๆ ต่างก็ปรารถนาจนต้องเก็บเอาไปฝัน
ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนพวกมันน่าจะมีวิธีซ่อมแซมอยู่ในครอบครองเสียแล้ว ดังนั้น ถ้าข้าสามารถครอบครองมันได้ จะไม่เท่ากับการได้รับสมบัติอมตะมาจากพวกมัน โดยไม่ต้องเปลืองแรงหรอกหรือ? เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ หัวใจของเฉินซีก็เต้นแรงด้วยความตื่นเต้น