บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 162 การแก้แค้น
บทที่ 162 การแก้แค้น
ราชวงศ์ซ่งครอบครองดินแดนอันกว้างใหญ่ประกอบไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ และแบ่งเป็นสี่ดินแดนได้แก่ ตอนใต้ ทะเลตะวันออก ที่ราบตอนกลาง และแดนเถื่อนตอนเหนือ ซึ่งครอบคลุมเนื้อที่กว่าหนึ่งร้อยล้านลี้และมีนิกายไม่ทราบจำนวนมาตั้งรกรากอยู่ในบริเวณนี้ และที่นี่มีผู้บ่มเพาะจำนวนมากลอบเข้ามาใช้เป็นที่ฝึกบ่มเพาะพลังอย่างลับ ๆ ในฐานะผู้กุมอำนาจแห่งราชวงศ์ซ่ง…หวงฝูจงหลินเป็นผู้ปกครองที่มีอำนาจและทารุณโหดร้ายมาก
เป่ยเหิงเป็นเพียงผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายอันดับหนึ่งในดินแดนทางใต้…นิกายกระบี่เมฆาพเนจร หากเทียบในแง่ของสถานะ เขาคงไม่อาจเทียบได้แม้เพียงเสี้ยวหนึ่งในพันของจักรพรรดิต้าซ่ง เมื่อได้รับฟังข่าวที่น่าตระหนกตกใจ สีหน้าของเขาพลันแสดงออกถึงความหวาดหวั่นอย่างชัดเจน ในสายตาของเขายกให้พวกไป๋หว่านฉิงอยู่ในจุดที่สูงและยกย่องนับถือเป็นที่สุด
“เมื่อเขารู้สึกตัวขึ้นมา เจ้าช่วยนำแผ่นหยกนี้ไปให้เขาด้วย” ขณะที่เป่ยเหิงชะงักงันพูดไม่ออก ไป๋หว่านฉิงก็ยื่นยันต์สดับเสียงให้คนตรงหน้า
เป่ยเหิงมีหรือจะกล้าชักช้า จากนั้นเขาก็รีบรับมันมาและเก็บไว้อย่างระมัดระวังในคลังสมบัติวิเศษของเขา ก่อนที่จะพูดด้วยรอยยิ้มว่า “สหายนักพรตเต๋าไม่ต้องห่วง ข้าจะจัดการให้ ไม่ทราบว่าสหายนักพรตเต๋ามีอะไรจะแจ้งอีกหรือไม่”
ไป๋หว่านฉิงนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงส่งตราคำสั่งอีกอันให้กับเป่ยเหิง “นี่คือตราของข้า ต่อไปหากเจ้าหรือเฉินซีประสบปัญหาเมื่อใด จงส่งสิ่งนี้มาที่แดนภวังค์ทมิฬ…ตระกูลไป๋ทันที”
แดนภวังค์ทมิฬ!
เป่ยเหิงชะงักด้วยสะดุ้งในหัวใจ ภาพของโลกในตำนานที่แสนงดงามพลันปรากฏขึ้นในห้วงคำนึง ดินแดนแห่งนั้นมีความงดงาม ทรงพลังและยิ่งใหญ่ เป็นสถานที่มหัศจรรย์อันเต็มไปด้วยตำนาน รวมทั้งมีผู้บ่มเพาะพลังจำนวนนับไม่ถ้วน สถานที่นั้น…
เมื่อเป่ยเหิงรู้สึกตัวจากภวังค์ความคิด พวกไป๋หว่านฉิงก็หายตัวไปเสียแล้ว เขาก้มลงมองตราคำสั่งในมือ มันมีลักษณะเหมือนหยกแต่ก็มิใช่หยก สีขาวสะอาดดั่งหิมะท่ามกลางมวลเมฆหมอกที่ลอยอวลอยู่ตรงส่วนบน อักขระโบราณคำว่า ‘ว่างเปล่า’ มองเห็นได้อย่างเลือนราง คำเพียงคำเดียว แต่ราวกับสามารถทะลุทะลวงทุกสิ่งได้อย่างอิสระดุจดั่งกระบี่ที่มีน้ำหนักมหาศาล
‘ข้าต้องรักษาตราคำสั่งนี้ไว้ให้ดี บางทีข้าอาจต้องพบเจอกับเรื่องใหญ่โดยไม่เจตนาก็ได้’ ว่าแล้วชายชราจึงจัดการเก็บงำตราคำสั่งอย่างระมัดระวังก่อนที่จะถอนหายใจเฮือกด้วยความโล่งอก เมื่อเขาหันกลับไปมองเฉินซี แววตาของเขาดูเป็นมิตรขึ้นมาก ความรู้สึกที่มีต่อเฉินซีกลับเพิ่มมากขึ้น
เป่ยเหิงรู้ดีว่าตนได้ประโยชน์จากผลบุญครั้งใหญ่นี้เพราะเฉินซี นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงได้รับความไว้ใจจากตระกูลไป๋ที่แสนจะเป็นปริศนา เช่นนี้เขายังจะกล้าพูดได้หรือว่าชายหนุ่มเฉินซีเป็นแค่คนธรรมดา
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
พลันปรากฏเสียงดังของวัตถุบางอย่างจำนวนมากพุ่งแหวกอากาศก่อนจะตกลงไปที่บริเวณภูเขาดาวตก เพียงพริบตาเดียวแสงประหลาดหลากสีสันมากมายก็ทะยานมาถึง
เป่ยเหิงกวาดสายตามองพลันก็เข้าใจได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
ความปั่นป่วนจากการที่พระราชวังข่ายดาราเปิดใช้ค่ายกลสังหารเซียนเก้าพระราชวังข่ายดารานั้นส่งผลหนักหนาสาหัสจริง ๆ ทั้งเกิดปรากฏการณ์สายฟ้าฟาดราวกับสายน้ำ ถ้าตายังไม่บอดย่อมสังเกตเห็นได้อย่างแน่นอน
“เวรกรรม! ภูเขาดาวตก ไยจึงกลายเป็นเช่นนี้”
“น่ากลัวเหลือเกิน! พระราชวังข่ายดาราทั้งหมดพังพินาศเหมือนหายนะครั้งใหญ่! ฝีมือของใคร หรือว่าเป็นเซียนสวรรค์ ในที่สุดพลังของค่ายกลสังหารเซียนเก้าพระราชวังข่ายดาราก็เพียงพอที่จะทำลายผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีสินะ!”
“พังพินาศเพียงชั่วข้ามคืน ผู้ที่ทำให้พระราชวังข่ายดารามีสภาพอย่างนี้ มันจะน่าสะพรึงกลัวแค่ไหน”
ฝูงผู้บ่มเพาะที่ทะยานเป็นลำแสงพากันลอยวนเวียนไปรอบ ๆ ภูเขาดาวตก คนเหล่านี้ล้วนมาจากกองกำลังต่าง ๆ ในเมืองทะเลสาบมังกรซึ่งเป็นหกตระกูล สามสำนักและนิกายใหญ่ที่ยิ่งใหญ่อีกเจ็ดนิกาย ยกเว้นพระราชวังข่ายดารา ตอนนี้เมื่อพวกเขาจ้องมองทุกสิ่งที่บัดนี้เหลือเพียงซากปรักหักพัง สีหน้าและแววตาของทุกคนจึงเต็มไปด้วยความตกใจสุดขีด
พระราชวังข่ายดาราเป็นกองกำลังอันยิ่งใหญ่ พวกเขามีทั้งวัตถุและทรัพยากรเก็บกักซึ่งได้รับการสืบทอดมานานนับหมื่นปี มีศิษย์นับหมื่นคนและมีผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาที่เก่งกาจสามารถอย่างไฉ่เส้าที่คอยดูแลความสงบเรียบร้อย เวลานี้นับว่าเป็นยุคทองแห่งความเจริญรุ่งเรืองและอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของพวกเขา มีสถานะอยู่ในจุดที่สูงที่สุดในโลกแห่งการบ่มเพาะพลังของดินแดนตอนใต้ อย่างไรก็ตามตอนนี้พวกเขากลายสภาพเหลือเพียงซากปรักหักพัง กลายเป็นสถานที่แห่งความตายชั่วเวลาเพียงวันเดียว ใครบ้างจะไม่ตกใจ
“เอ๊ะ ดูนั่น เร็วสิ! กระแสวังวนดำและขาวน่ากลัวเหลือเกิน มันเกิดจากการกลั่นตัวของอัสนีดาราพิฆาตขั้นสมบูรณ์ หากมันเกิดแรงระเบิดขึ้นมาละก็ สงสัยว่าต่อให้เป็นเซียนปฐพีก็คงไม่รอดแน่!”
“เฮ้ย! มีคนอยู่ที่นั่น!”
“นั่นมัน…”
ทันใดนั้น สายตาของทุกคนที่จ้องมองกระแสวังวนสีดำและขาว ซึ่งแผ่ขยายคลุมพื้นที่กว่าหกลี้เป็นตาเดียว ได้มองตรงไปยังเฉินซีและเป่ยเหิง
“ผู้อาวุโสใหญ่!”
“เฉินซี!”
เมื่อพวกเขาเห็นเป่ยเหิงและเฉินซี เสียงอุทานแสดงความประหลาดใจมากมายก็ดังออกมาทันที
เป่ยเหิงเงยหน้าขึ้นทันที และพบว่าคนเหล่านั้นคือประมุขหลิงคงจื่อและผู้อาวุโสของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร เขาจึงเอ่ยออกไปด้วยเสียงอันดังทันที “หลิงคงจื่อ พวกเจ้ามาได้เวลาพอดี ตอนนี้พระราชวังข่ายดาราถูกทำลายจนพินาศ สั่งให้ผู้อาวุโสและศิษย์ออกค้นหาสมบัติและวัตถุล้ำค่า จากนั้นก็ส่งกลับไปที่นิกายได้เลย”
“อ้อ! แล้วผู้อาวุโสใหญ่ของพระราชวังข่ายดาราจะไม่… ” หลิงคงจื่อเกิดความประหลาดใจ
“จงทำอย่างที่ข้าบอก ไปเอาความคิดไร้สาระเหล่านี้มาจากไหน” หัวคิ้วของเป่ยเหิงขมวดมุ่น ขณะตำหนิเสียงดัง
“รับทราบขอรับ!” หลิงคงจื่อรีบรับคำทันที เดิมเขาเคยคิดจะพามาเฉพาะผู้อาวุโสสิบเจ็ดคน ส่วนศิษย์ไม่ได้สั่งให้ติดตามไปด้วย เพราะถึงอย่างไรการต่อสู้กับพระราชวังข่ายดารายังนับว่าน่ากลัวเกินไป และอาจพบกับเหตุไม่คาดฝันได้โดยง่าย เหตุที่เขาตัดสินใจเช่นนี้ก็เพราะคำนึงถึงความปลอดภัยของศิษย์นั่นเอง ทว่าเวลานี้เขากลับรู้สึกเสียใจที่ตนเคยตัดสินใจเช่นนั้น เพราะตอนนี้เขาต้องการเรียกศิษย์ทุกคนในนิกายให้ออกมาร่วมกันปล้นสถานที่นี้และกวาดล้างสมบัติล้ำค่าที่มีอยู่ทั้งหมดในพระราชวังข่ายดาราเหลือทิ้งไว้อย่างที่สุด
ถึงอย่างไร พระราชวังข่ายดาราก็เป็นหนึ่งในแปดนิกายใหญ่แห่งเมืองทะเลสาบมังกร พวกเขาจึงได้ซุกซ่อนทรัพยากรสำหรับการบ่มเพาะและวัตถุวิญญาณไว้มากมาย ตอนนี้มันได้ถูกกวาดเอาไปจนสิ้น แล้วจะมีเหลืออยู่สักเท่าไรกัน
ทันใดนั้น หลิงคงจื่อก็หันไปสั่งการผู้อาวุโสคนหนึ่ง โดยบอกให้กลับไปพากำลังเสริมจากนิกายมาที่นี่ ก่อนจะนำผู้อาวุโสอีกสิบหกคนทะยานตรงลงไปยังซากปรักหักพังของภูเขาดาวตก และเริ่มการปล้นสะดมทันที
ในฐานะประมุขของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร หลิงคงจื่อได้มาเยือนที่ พระราชวังข่ายดาราเพื่อพบปะกับเถี่ยอวิ๋นจื่อหลายครั้ง ทำให้พอจะคุ้นเคยกับที่ตั้งของหอขุมทรัพย์ โถงทักษะยุทธ์ ทุ่งสมุนไพรวิญญาณและอีกหลายสถานที่ในทำนองเดียวกัน หลังจากที่เข้าไปในภูเขาดาวตก เขาจัดการเรียกความทรงจำกลับมา ก่อนจะพุ่งตรงไปยังสถานที่ที่เก็บสมบัติล้ำค่า พวกเขาเสมือนกลุ่มโจรที่เข้าปล้นสะดม ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมามากมายของพวกตน จึงมีหลักอยู่สามประการคือรวดเร็ว แม่นยำ และดุดัน
เหตุการณ์หาได้รอดพ้นสายตาของผู้บ่มเพาะพลังจากนิกายอื่นที่อยู่รอบบริเวณ ความโลภพลันเข้าครอบงำจิตใจของพวกเขา พระราชวังข่ายดาราถูกทำลายแล้ว แต่ทรัพยากรที่หลงเหลืออยู่ก็กลายเป็นอาหารอันโอชะ ใครเล่าจะไม่อยากลิ้มลอง?
อย่างไรก็ตาม เสียงดังปานฟ้าผ่าของเป่ยเหิงที่ส่งเสียงตะคอกอย่างเย็นชาดังก้องไปทั่วทั้งสวรรค์และโลก ทำให้ผู้บ่มเพาะทั้งหลายตื่นตกใจและตื่นจากฝันหวานด้วยความโลภทันที
เมื่อหลายคนมองเห็นสายตาของเป่ยเหิงที่จ้องเขม็งผสานกับเจตนาเข่นฆ่าชัดแจ้ง ทุกคนจึงรู้สึกเหมือนถูกบีบที่หัวใจอย่างแรง จนกระทั่งยอมทิ้งความตั้งใจที่จะเข้าไปมีส่วนแบ่งอย่างสิ้นเชิง
เป่ยเหิงเป็นใคร
เขาก็คือบรรพจารย์สูงสุดของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร และเป็นเซียนปฐพีที่มีสถานะสูงส่ง อีกทั้งยังเป็นเฒ่าเจ้าเล่ห์ที่มีพลังน่าสะพรึงกลัวที่คอยดูแลความสงบเรียบร้อย ใครเล่าจะกล้ากระทำหุนหันพลันแล่น
ที่สำคัญที่สุดคือผู้บ่มเพาะที่อยู่รอบ ๆ ต่างเชื่อว่าเหตุที่พระราชวังข่ายดาราถูกทำลายจนย่อยยับเช่นนี้ ต้องมีความเกี่ยวข้องกับเป่ยเหิงอย่างแน่นอน และต้นเหตุก็มาจากเป่ยเหิงนั่นเอง!
ลองคิดดูว่าขนาดพระราชวังข่ายดารายังตกอยู่ในเงื้อมมือของตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ผู้นี้ ใครจะยังกล้าไปแหย่หนวดเสือ ขืนทำลงไปมิเท่ากับรนหาที่ตายหรืออย่างไร
ในเมื่อไม่อาจเข้าไปมีส่วนร่วมได้ ผู้บ่มเพาะหลายคนจึงพากันกลับไปแต่โดยดี ด้านหนึ่งพวกเขาก็กลัวว่าการปรากฏตัวของพวกตนจะทำให้เป่ยเหิงเกิดความเข้าใจผิด อีกนัยหนึ่งพวกเขาต่างก็ต้องการรีบส่งข่าวเรื่องที่พระราชวังข่ายดาราถูกทำลายจนสิ้นซากให้กองกำลังที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาโดยเร็วที่สุด
เรื่องนี้ต้องดังไปถึงสวรรค์ในภายภาคหน้าเป็นแน่ เนื่องจากเรื่องทั้งหมดเกี่ยวข้องกับการจัดสรรผลประโยชน์ของกองกำลังแห่งเมืองทะเลสาบมังกร จึงทำให้พระราชวังข่ายดาราถูกทำลายจนพินาศ และไม่มีผู้ใดอยากยุ่งกับเรื่องนี้
“ฮึ่ม! อย่างน้อยพวกเจ้าทุกคนก็รู้จักฟังเหตุผล” เป่ยเหิงคำรามอย่างเย็นชา จากนั้นเขาจึงหันไปมองเฉินซีอีกครั้งและพบว่ากระแสวังวนดำและขาวขยับลดลงจากหกลี้เหลือเพียงเก้าสิบจั้งแล้ว และอีกไม่นานมันคงถูกดูดกลืนจนหมด
‘แปลกประหลาดอะไรเช่นนี้! อัสนีดาราพิฆาตพุ่งขึ้นจากกระแสวังวนดำและขาวดั่งแม่น้ำสายใหญ่มหึมา ทว่าร่างผอมกะหร่องของเจ้าหนุ่มกลับกลืนอัสนีดาราพิฆาตได้มากมายถึงเพียงนี้’ เป่ยเหิงถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง
เปรี้ยง!
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ขนาดของกระแสวังวนดำขาวที่อยู่เหนือศีรษะของเฉินซีเหลือเพียงเท่าโม่หินเท่านั้น เพราะมันได้ถูกชายหนุ่มสูบกลืนจนหมดเหมือนปลาใหญ่โผขึ้นฮุบน้ำกระนั้น ต่อมาดวงตาทั้งสองที่ปิดสนิทมาเป็นเวลานานกลับค่อย ๆ เผยอเปิดขึ้นอย่างเชื่องช้า
โครม! โครม!
กระแสวังวนที่มีทั้งสายฟ้า ลม ธาตุทั้งห้า หยินและหยาง เต๋าแห่งการรู้แจ้งได้กระจ่างเข้ามาในคลองจักษุของเขาวูบหนึ่ง ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะกลับสู่ความสงบอีกครั้ง
นั่นมันคือดวงตาอะไร
มันทั้งลึกซึ้งและชัดเจนราวกับดวงดาวที่สุกสกาวที่สุดเท่าที่เคยมีในโลก และมีแรงดึงดูดลึกลับอย่างที่ไม่มีผู้ใดสามารถต้านทาน ประหนึ่งว่าจะดูดเอาดวงวิญญาณของคนคนหนึ่งได้กระนั้น!
หลังจากที่เคยได้สัมผัสกับปราณจ้าววิญญาณแห่งมหาหยิน มหาหยาง สายลมและสายฟ้าแล้ว ร่างกายของเฉินซีจึงดูเหมือนไร้ซึ่งข้อบกพร่องอย่างสิ้นเชิง ผิวกายก็เปล่งปลั่ง โปร่งแสง เนียนเรียบและละเอียดนุ่มนวลเสียยิ่งกว่าน้ำ ซ้ำยังขาวยิ่งกว่าหยก เส้นผมดำสนิทที่ปลิวไสวส่องประกาย เหมือนเกิดขึ้นจากเถ้าธุลี บัดนี้ร่างกายของเขาเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์ขั้นสูงสุด
แม้ว่าร่างกายนี้จะสูงโปร่งทว่าผอมกะหร่องดูอ่อนแอจนแทบไม่สามารถต้านทานกระทั่งกระแสลม ทว่าความแข็งกลับเปรียบได้กับสมบัติวิเศษระดับล้ำลึก เพียงแค่เขากำมือเบา ๆ ก็สามารถบดขยี้สมบัติวิเศษระดับมนุษย์ได้ น่าเกรงขามยิ่งนัก
‘การแปรสภาพลมปราณและการฝึกบ่มเพาะพลังแปรสภาพร่างกายของข้าบรรลุถึงขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นสมบูรณ์แล้ว และเวลานี้ยังห่างจากขอบเขตเคหาทองคำอีกเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น ไม่นานหรอกข้าจะได้เข้าสู่เคหาบ่มเพาะ เมื่อผู้อาวุโสจี้อวี๋พบกับข้าอีกครั้ง เขาต้องตกใจแน่ ผ่านไปเพียงไม่กี่เดือนนับตั้งแต่ที่พวกเราพบกันครั้งสุดท้าย เขาจะคิดหรืิอไม่นะว่าข้าจะก้าวหน้าได้เร็วปานนี้’ ขณะที่เฉินซีจินตนาการ สีหน้าประหลาดใจของจี้อวี๋พลันปรากฏรอยยิ้มบางผุดขึ้นที่มุมปากของเขา ทว่าเมื่อเขากวาดสายตาแลไปอีกด้าน เขาก็มีท่าทางตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด
ภูเขาดาวตกที่แต่เดิมเป็นภูเขาที่สวยงาม แม่น้ำใสสะอาดและบรรยากาศเหมือนเคหาเซียน บัดนี้กลายแผ่นดินที่ถูกเผาไหม้จนเกรียม อาคารและกำแพงพังทลายจนหมดสิ้น มีแต่ความหายนะไปทั่วทุกหนแห่ง เหมือนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง ดูแล้วช่างน่าสลดหดหู่และนิ่งงัน
ในซากปรักหักพังเหล่านั้น หลิงคงจื่อผู้เป็นประมุขนิกายกระบี่เมฆาพเนจร พร้อมด้วยคนอีกสิบกว่าคนกำลังง่วนอยู่กับการขุดค้นหาบางสิ่งบางอย่าง บางครั้งก็แสดงความตื่นเต้น แต่เวลานั้นไม่มีพวกของไป๋หว่านฉิง
‘เวลาผ่านไปไม่นาน เหตุใดภูเขาดาวตกจึงกลายเป็นเช่นนี้ พระราชวังข่ายดาราถูกทำลายพินาศไปแล้วอย่างนั้นหรือ น้าไป๋และคนอื่นเล่าหายไปไหน’ เฉินซีหันมองรอบข้างด้วยความหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย บัดนี้คำถามมากมายผุดขึ้นในใจของชายหนุ่ม
“ตอนที่เจ้าฝึกบ่มเพาะพลังอยู่นั้น พระราชวังข่ายดาราได้ถูกผู้อาวุโสไป๋เถิงทำลายจนสิ้นซากแล้วอย่างไรล่ะ” เป่ยเหิงดูเหมือนจะรับรู้ถึงความสับสนของเฉินซี เขาจึงเอ่ยพร้อมถอนใจเฮือก “นิกายใหญ่ที่มีการพัฒนาและดำรงอยู่มานานนับหมื่นปี ภายในวันเดียวได้เปลี่ยนเป็นแผ่นดินไหม้เกรียม เรื่องต่าง ๆ ที่ผ่านในชีวิตล้วนมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ต้องทำใจ”
“พวกสามคนนั้นเล่าขอรับ พวกเขาอยู่ที่ใด” เฉินซีมิได้สนใจเรื่องที่พระราชวังข่ายดาราถูกทำลายลงแต่อย่างใด อันที่จริงเขาเองก็เคยคิดมาก่อนแล้วว่า ในเมื่อพระราชวังข่ายดารามีศิษย์ที่เย่อหยิ่งและยโสโอหังอย่างไฉ่เล่อเทียน มันก็สมควรถูกทำลายไม่ช้าก็เร็ว
“สตรีผู้นั้นฝากสิ่งนี้ไว้ให้เจ้า” เป่ยเหิงยื่นแผ่นหยกให้เฉินซี ซึ่งเพียงมองเห็นก็เชื่อแน่ว่าเป็นสิ่งที่ไป๋หว่านฉิงฝากไว้ให้ “คนทั้งสามออกเดินทางไปก่อนแล้ว พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปยังจวนของตระกูลซู นางตั้งใจที่จะกำจัดศัตรูรายนี้แทนเจ้าอย่างไรล่ะ”
อะไรนะ
น้าไป๋จะช่วยข้าทำลายตระกูลซูอย่างนั้นหรือ
เฉินซีรับเอาแผ่นหยกมาถือไว้ หากยังไม่ทันพิจารณาดู เขาก็ตกตะลึงกับคำพูดของเป่ยเหิงเสียก่อน
ตระกูลซูถือว่าเป็นศัตรูคู่แค้นที่เฉินซีเกลียดชังเข้ากระดูกดำ พวกมันฉีกสัญญาการหมั้นหมายองเขาเป็นชิ้น ๆ ท่านปู่ต้องมาตาย เฉินฮ่าวกลายเป็นคนพิการ ความอัปยศอดสูและความทุกข์ทรมานที่เขาได้รับตั้งแต่อายุยังน้อย…ทั้งหมดนี้เกิดจากตระกูลซู
กล่าวได้ว่าเป้าหมายสุดท้ายของการฝึกบ่มเพาะพลังอย่างยากลำบากและต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดเพื่อความแข็งแกร่งตลอดหลายปีที่ผ่านมาเพื่อการแก้แค้น ปัจจุบันเขาได้ทำลายตระกูลหลี่จนสิ้นแล้ว ขณะที่ตระกูลซูก็ต้องเจ็บหนัก ตอนนี้เขาเข้าใกล้เป้าหมายในการแก้แค้นเข้าทุกที ๆ
‘นาง…เหตุใดนางจึงดีกับข้านัก’ ในใจของเฉินซีรู้สึกสับสนซับซ้อนอย่างบอกไม่ถูก จากนั้นเขาก็ใช้เคล็ดวาตะเหินทะยานพุ่งไปยังที่พำนักของตระกูลซูอย่างไม่ลังเล
ตัวเองก็บอกไม่ถูกเช่นกันว่าทำไมจึงทำเช่นนี้ แต่ที่รู้ก็คือทั้งหมดเกิดจากแรงกระตุ้นในใจล้วน ๆ มันเป็นแรงกระตุ้นที่ไม่อาจยับยั้ง ราวกับว่าแค่ได้เห็นหน้าของไป๋หว่านฉิงกับตาของตัวเอง เขาจึงจะเชื่อว่าทั้งหมดเป็นเรื่องจริง
“เด็กคนนี้!” เป่ยเหิงสั่นศีรษะน้อย ๆ หลังหายจากอาการตกตะลึง “ใช่ เมื่อตระกูลซูถูกทำลาย พวกมันได้ทิ้งสมบัติล้ำค่าเอาไว้ ของเหล่านี้กลายเป็นของที่ไม่มีเจ้าของ ข้ายอมให้คนอื่นมาชุบมือเปิบไม่ได้เด็ดขาด…”
ว่าแล้วเป่ยเหิงก็เรียกหาหลิงคงจื่อ ก่อนจะออกคำสั่งให้เขากลับไปนิกายและส่งศิษย์จำนวนหนึ่งไปที่ตระกูลซู ส่วนตัวเองก็มุ่งหน้าตรงไปที่ตระกูลซูอย่างรวดเร็ว
ต่อมาไม่นาน เขาทันสังเกตเห็นเปลวเพลิงพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า น่าประหลาดนัก นั่นมันมาจากทิศที่ตั้งของตระกูลซูนี่นา!