บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 179 ขอบเขตเคหาทองคำ
บทที่ 179 ขอบเขตเคหาทองคำ
ปัง!
เฉินซีที่เพิ่งกลืนผลึกแก่นอสูรของค้างคาวมังกรโลหิตหกปีกลงไปก็รู้สึกราวกับมีภูเขาไฟปะทุขึ้นในร่างกาย
พลังงานน่าผวาที่ลุกไหม้และพุ่งออกมาราวกับลาวารุนแรงคำรามลั่น ไหลเวียนไปทั่วเส้นลมปราณและจุดฝังเข็มในร่าง สร้างความเจ็บปวดรุนแรงราวกับร่างกำลังละลายขึ้นมา
พลังงานภายในผลึกแก่นอสูรค้างคาวมังกรโลหิตหกปีกนั้นมีมหาศาลมาก ถึงกับเอาชนะทัณฑ์สวรรค์ทำให้มันกลายเป็นสัตว์ขนาดยักษ์ที่กำลังจะกลายร่างเป็นมนุษย์ เมื่อมันอยู่ในร่างมนุษย์ ความหนาแน่นของปราณแท้จะสูงกว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติธรรมดาถึงสิบหรือยี่สิบเท่า!
การบ่มเพาะของเฉินซีในปัจจุบันอยู่ที่ขอบเขตตำหนักอินทนิล และยังมีขอบเขตเคหาทองคำกับขอบเขตแกนทองคำหยินหยางอยู่ก่อนจะถึงขอบเขตจุติ ตอนนี้ เมื่อกลืนพลังงานที่น่ากลัวนี้ลงไป ก็ราวกับมีสัตว์ร้ายดุดันภายในร่างหมายจะฉีกกระชากและเผาผลาญเส้นลมปราณและอวัยวะภายในทั้งหมดของเขาเสียให้สิ้น ก่อนจะทะลวงออกจากร่างมาอย่างไรก็อย่างนั้น!
ความเจ็บปวด!
เป็นความเจ็บปวดเหลือคณา!
ราวกับมีค้อนใหญ่ทุบอยู่ภายในร่างกายอย่างแรง หรือราวกับว่ากำลังจะถูกเปลวไฟลุกโชนเผาไหม้จนไม่เหลืออะไรเลย ทำให้ทั้งร่างกายของเฉินซีสั่นสะท้าน เส้นเลือดในร่างปูดนูนขึ้นมา ใบหน้าเขาแดงก่ำบิดเบี้ยว ทั้งร่างปล่อยกระแสลมโหมกระหน่ำออกมา ทำให้อากาศรอบกายบิดเบี้ยวและระเหยเป็นไอ
“อ๊ะ! ลืมบอกว่าเจ้าจะต้องค่อย ๆ ดูดซับมันหลายร้อยครั้งสักหน่อย… เจ้านี่หุนหันพลันแล่นจริง!” เสียงของหลิงไป๋ดังขึ้นในหูของเฉินซีอย่างรวดเร็ว “เร็ว! เร็วเข้า! รีบโคจรวิชาบ่มเพาะของเจ้า รักษาจิตใจให้ปลอดโปร่งและคงสติไว้ เจ้าต้องไม่ปล่อยให้สติของเจ้าถูกมันทำลาย ไม่เช่นนั้นเจ้าต้องตายแน่!”
เฉินซีฟื้นจิตขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเสียงของหลิงไป๋ เขาอดทนต่อความเจ็บปวดรุนแรงภายในร่างที่รู้สึกราวกับว่าร่างกำลังจะติดไฟ และเริ่มใช้เคล็ดวิชากระเรียนเหมันต์
‘ซู่ ๆ’ ภายใต้การชี้นำของจิตวิญญาณทรงพลังของเฉินซี แก่นภายในที่มีความรุนแรงดั่งมังกรเพลิงดุร้ายก็ดิ้นรนอยู่นานอีกครา ก่อนที่ในที่สุดจะกลายเป็นเหมือนลาดื้อรั้นที่ถูกจูงจมูก เริ่มไม่เต็มใจจะหมุนเวียนไปตามทางที่กำหนดไว้
หลังจากนั้น เส้นน้ำแข็งแห่งปราณแท้ที่คล้ายกับเส้นขนวัวก็พลันพุ่งขึ้น ทำให้เฉินซีที่รู้สึกราวกับตนอยู่ในทะเลลาวารู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที เฉินซียิ่งจดจ่อตั้งสมาธิ ชำระล้างจิตใจตน และดูเหมือนว่าเขาจะสามารถตวัดกระบี่คราเดียวสะบั้นต้นเหตุแห่งความเจ็บปวดไปได้ ทั่วทั้งร่างกลับมาสงบทันทีที่เคล็ดวิชากระเรียนเหมันต์ไหลเวียนไปตามจังหวะที่วางไว้
เคล็ดวิชากระเรียนเหมันต์เป็นวิชาบ่มเพาะล้ำค่าหายาก ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ตำหนักอินทนิลของเฉินซีขยายตัวและลึกล้ำขึ้นกว่าคนปกติสิบเท่า แต่ปราณแท้ของเขายังมีพลังงานบริสุทธิ์และเย็นยะเยือกอยู่ภายใน ทันทีที่พลังไหลเวียน ก็สามารถทำให้พลังงานรุนแรงและแผดเผาดั่งเพลิงของแกนในของมังกรโลหิตหกปีกมีฤทธิ์เป็นกลางได้ ราวกับมีเม็ดฝนร่วงจากฟ้า ทำให้เขารู้สึกสดชื่นอย่างมาก
ครืน!
สายธารแห่งปราณแท้บริสุทธิ์อันกว้างใหญ่และทรงพลังไหลทะลักเข้าสู่ท้องทะเลแห่งลมปราณ ทำให้ทะเลสาบในตำหนักอินทนิลทั้งหมดเริ่มหมุนวนและขยายตัวลึกขึ้นไม่หยุด เกือบจะกลายเป็นมหาสมุทรไร้ขอบเขตทีเดียว! บนท้องฟ้าเหนือทะเลสาบขนาดใหญ่ ขนาดของปราณแท้ของดวงดาราเองก็กำลังขยายตัวด้วยความเร็วเช่นกัน
ทบเท่าทวีคูณ
ไปถึงสิบเท่า
ร้อยเท่า!
เมื่อเวลาผ่านไป ขนาดปราณแท้ของดวงดาราทั้งเก้าก็ใหญ่โตมโหฬาร จนดูราวกับดาราโบราณ เส้นแสงสว่างไสวจนถึงขีดสุด พวกมันส่องสว่างไปทั่วทะเลสาบในตำหนักอินทนิล ซึ่งดูงดงามอย่างน่าอัศจรรย์
ทว่าตอนนี้ เฉินซียังไม่ได้ดูดซับพลังเข้าไปถึงหนึ่งในสิบส่วนด้วยซ้ำ ในเส้นลมปราณทั่วร่างยังคงมีพลังงานไหลเวียนอยู่ หากเขาไม่สามารถดูดซับพลังงานนี้ได้อย่างสมบูรณ์ เช่นนั้นก็ยังเสี่ยงที่ร่างจะระเบิดจากพลังงานที่เพิ่มขึ้นได้
ในสถานการณ์เช่นนี้ เฉินซีไม่กล้าหยุดหมุนพลัง แต่ถึงจะทำได้เขาก็ไม่ยอมหยุดอยู่ดี เพราะเดิมทีเขาอยากอาศัยพลังงานนี้เพื่อทะลวงสู่ขอบเขตเคหาทองคำอยู่แล้ว
เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!
เวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไป รอยแตกนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นบนดวงดาราทั้งเก้าในตันเถียน จากนั้นพวกมันก็แตกเป็นเสี่ยง ๆ พร้อมกับเสียงดังลั่น!
แสงเย็นยะเยือกและกระจ่างชัดสาดส่องลงไปในทะเลสาบตำหนักอินทนิล ทั่วทั้งทะเลสาบเดือดพล่าน ก่อนจะหมุนเวียน ค่อย ๆ ก่อตัวเป็นหยินและหยาง ที่ดูเหมือนจะกลมแต่ก็ไม่กลม ยิ่งไปกว่านั้น ที่ศูนย์กลางคือหลุมดำลึกล้ำที่หมุนและส่งเสียงคำรามออกมาไม่หยุด ราวกับกำลังจะมีชีวิตขึ้นมา ราวกับหัวใจเต้นไปตามจังหวะลึกล้ำเกินหยั่ง
ปราณแท้แห่งหยินหยาง!
ขอบเขตเคหาทองคำ!
ตอนนี้เฉินซีได้เข้าสู่ขอบเขตเคหาทองคำหรือก็คือก้าวเข้าสู่ขั้นใหม่โดยสมบูรณ์แล้ว!
ภายในทะเลสาบตำหนักอินทนิล ปราณแท้ของเขาหนาขึ้นกว่าสิบเท่าเป็นอย่างน้อย เขามั่นใจว่าหากเจอกับเซวี่ยเฉินแห่งนิกายกระเรียนพิสุทธิ์ตอนนี้ เขาย่อมสามารถสู้อีกฝ่ายได้โดยไม่ต้องหนีไปในสภาพน่าสมเพชแน่
ตอนนี้ ทะเลสาบในตำหนักอินทนิลของเขาได้แยกออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเป็นหยิน อีกส่วนหนึ่งเป็นหยาง ในอนาคต เขาต้องดูดซับปราณหยินและหยางจากฟ้าและดินเพื่อทำให้ปราณแท้ทั้งหมดแกร่งขึ้น จนสามารถแยกดำขาวได้อย่างชัดเจน จากนั้นให้หยินและหยางบรรจบกัน เขาก็จะสามารถทะลวงขอบเขตแกนทองคำหยินหยางได้
หลุมดำที่หมุนวนอยู่ใจกลางทะเลสาบตำหนักอินทนิลถูกเรียกว่าประตูแห่งชีวิต!
เต๋านั้นเป็นนิรันดร์และเป็นแหล่งกำเนิดของชีวิต ประตูแห่งชีวิตอาจถือได้ว่าเป็นรากฐานแห่งฟ้าดิน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ หลุมดำที่หมุนเวียนวนอยู่ที่ใจกลางทะเลสาบตำหนักอินทนิลคือประตูสู่มหาเต๋า ซึ่งเป็นรากฐานฟ้าดิน ส่วนรากฐานฟ้าดินของการแปรสภาพปราณคือขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง!
กล่าวคือ การทะลวงเข้าขอบเขตแกนทองคำหยินหยางนั้นคือการพัฒนาแกนทองคำที่ผสานหยินและหยางเข้าด้วยกัน ทั้งยังเสริมการสร้างจิตวิญญาณและแก่นแท้จากประตูแห่งชีวิต
ทว่าเมื่อทะลวงสู่ขอบเขตแกนทองคำจากขอบเขตเคหาทองคำ ก็จำเป็นต้องใช้ปราณหยินหยางเยอะอย่างไม่น่าเชื่อ
ยิ่งไปกว่านั้น ปราณหยินหยางก็ยังมีคุณภาพต่างกันอีก ปราณหยินหยางที่มีคุณภาพยอดเยี่ยมสามารถทำให้เกิดอัตราความสำเร็จเพิ่มขึ้นห้าส่วน เมื่อกลั่นแกนทองคำได้ ในขณะที่ปราณหยินหยางที่คุณภาพด้อยกว่าอาจไม่สามารถกลั่นแกนทองคำได้เลย
นี่คือสาเหตุที่เฉินซีหมายจะมุ่งหน้าไปยังห้วงทะเลทรายมรณะ หากเขาพบสถานที่ที่เต็มไปด้วยปราณหยางนพเก้าล้ำลึกได้ เขาก็จะสามารถควบคุมปราณแท้ทั้งหมดในร่างกายได้อย่างเต็มที่ และสามารถเปิดหยางขั้นสุดได้
ทันทีที่บรรลุขอบเขตเคหาทองคำ เฉินซีก็เริ่มฝึกเคล็ดวิชามิติทมิฬ เส้นทางการบ่มเพาะพลังเขาเปลี่ยนไปทันที เพื่อให้เป็นไปอย่างตรงไปตรงมา สงบนิ่ง ชัดเจน และเรียบง่าย ซึ่งก็เป็นลักษณะเฉพาะของวิชาบ่มเพาะแห่งเต๋านั่นเอง
วิชาบ่มเพาะนี้เขาได้มาจากเป่ยเหิง เป่ยเหิงได้มันมาจากดินแดนเร้นลับจากซากปรักหักพังของนิกายโบราณที่ถูกทำลายในขณะเดินทางท่องโลก
วิชาบ่มเพาะปราณภายในวิชานี้ลึกล้ำนัก ทั้งยังบันทึกวิธีบ่มเพาะทั้งหมดตั้งแต่ขอบเขตก่อกำเนิดจนถึงขอบเขตเซียนปฐพีไว้ ซึ่งนับว่าวิชาบ่มเพาะนี้สมบูรณ์แบบตรงความต้องการของเฉินซีทีเดียว
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
เคล็ดวิชามิติทมิฬนี้ควรค่าแก่การที่เป่ยเหิงชื่นชมมัน ทันทีที่เฉินซีโคจรวิชาบ่มเพาะนี้ พลังงานจากผลึกแก่นอสูรของค้างคาวมังกรโลหิตหกปีกที่ยังคงอยู่ภายในร่างก็ถูกทำให้เชื่องเหมือนแกะในทันที จากนั้นมันก็ไหลผ่านเส้นลมปราณและจุดชีพจร ก่อนจะเปลี่ยนเป็นกระแสปราณไหลทะลักเข้าสู่ท้องทะเลแห่งลมปราณ
ยิ่งไปกว่านั้น เฉินซียังสังเกตเห็นว่า เมื่อเขาหมุนเวียนเคล็ดวิชามิติทมิฬ พลังชีวิตในร่างก็ดูจะผสานกับฟ้าดิน จนเกิดเป็นเสียงก้องกังวานหนึ่งขึ้น แม้แต่ยามปราณแท้ไหลเวียนไปทั่วร่าง มันยังปล่อยเสียงที่เบา ฟังดูสง่างาม และสงบเงียบตามธรรมชาติออกมาเช่นกัน
ตอนทะลวงสู่ขอบเขตเคหาทองคำ เฉินซียังดูดซับพลังงานไม่ถึงหนึ่งส่วนสิบที่อยู่ในผลึกแก่นอสูรของค้างคาวมังกรโลหิตหกปีกเข้าไปได้ด้วยซ้ำ
ตอนนี้ พลังที่เหลืออยู่เก้าในสิบส่วนได้เปลี่ยนเป็นปราณแท้บริสุทธิ์หลั่งไหลเข้ามาในท้องทะเลแห่งลมปราณอย่างเต็มที่ ทำให้ทะเลสาบตำหนักอินทนิลที่แยกเป็นหยินหยางขยายตัวออกอีกครั้ง และขยายต่อไปอีกเจ็ดวันเต็ม ก่อนที่ปราณแท้จะควบแน่นจนแทบกลายเป็นของแข็ง!
หากกล่าวว่าทะเลสาบในตำหนักอินทนิลของเขาก่อนหน้านี้เป็นอ่างล้างหน้า เช่นนั้นตอนนี้มันก็กลายเป็นหินโม่ไปแล้ว ปราณแท้ภายในร่างก็ทั้งบริสุทธิ์ หนาแน่น ทรงพลัง และกว้างใหญ่นัก เมื่อเทียบกับผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำทั่วไปแล้ว ทะเลสาบตำหนักอินทนิลของเฉินซีมีขนาดใหญ่กว่าถึงหนึ่งร้อยเท่า! เมื่อมีรากฐานมั่นคงมากเช่นนี้ เฉินซีจึงไม่จำเป็นต้องใช้ฝ่ามือมหาดาราก็สามารถสังหารศัตรูได้แล้ว!
แต่ยิ่งเขาสะสมพลังจนหนาแน่นมากเท่าไร ปราณหยินหยางที่ต้องใช้เพื่อทะลวงสู่ขอบเขตแกนทองคำก็มากขึ้นเท่านั้น นับว่ามากกว่าผู้บ่มเพาะทั่วไปมาก
“ฮู่ว ~” ลึกเข้าไปในป่า เฉินซีที่ฝึกฝนมาตลอดสิบวันลืมตาขึ้น ปล่อยก้อนอากาศสีขาวลูกหนึ่งออกมา ลมที่ปล่อยออกมานั้นดั่งดาบคม คล้ายมังกร เหมือนกระเรียนวิญญาณ เกิดเป็นรูปแบบมากมาย ดูน่าอัศจรรย์ตานัก
ในระหว่างที่ยังมึน ๆ อยู่ เขารู้สึกถึงพลังภายในร่างที่เพิ่มขึ้น เฉินซีรู้สึกราวกับได้เกิดใหม่ มองสิ่งใดก็ชัดเจนขึ้น สดใสขึ้นกว่าเก่า
ความรู้สึกสดใหม่เช่นนี้ ให้ความรู้สึกลึกล้ำเกินกว่าแค่ผิวเผิน ราวกับพลันขยับจากพื้นราบไปยังผาสูง ขอบเขตสายตาที่กว้างไกลขึ้นทำให้เห็นฟ้าดินในมุมใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
‘ตอนนี้การแปรสภาพปราณของข้ามาถึงขอบเขตเคหาทองคำแล้ว ข้าก็จะเข้าไปสู่เคหาบ่มเพาะของผู้อาวุโสฝูซีได้อีกครั้ง หากสามารถกลั่นร่างได้อีกระดับหนึ่ง ไม่เพียงแต่จะสามารถเห็นผู้อาวุโสจี้อวี๋ได้ แต่ยังจะสามารถเข้าไปในบททดสอบแห่งสรวงสวรรค์ระดับสองได้อีกด้วย ไม่แน่ว่าข้าอาจจะได้เรียนรู้พลังอิทธิฤทธิ์ใหม่ ๆ ก็เป็นได้’ เฉินซีครุ่นคิดในใจเงียบ ๆ ‘แต่ข้าไม่อาจใจร้อนเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ หากไม่ใช่เพราะอาศัยผลึกแก่นอสูรของค้างคาวมังกรโลหิตหกปีกในครั้งนี้ เกรงว่าข้าจะไม่สามารถทะลวงสู่ขอบเขตเคหาทองคำได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้หรอก อย่างไรนี่ก็คือการก้าวผ่านด่าน ถึงการสั่งสมพลังจะใช้ได้ในแง่หนึ่ง แต่ก็ยังต้องใช้การควบคุมอารมณ์และการทำสมาธิอย่างต่อเนื่อง เพื่อจับจุดเปลี่ยนผันที่อยู่ในใต้หล้าทะลวงด่านได้อย่างราบรื่นเช่นกัน’
“เฉินซี เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง?” หลิงไป๋ยืนอยู่บนไหล่ของเฉินก่อนจะยิ้มพลางถามขึ้น
เฉินซีจ้องเขาด้วยความโกรธ “เจ้าน่าจะรู้ดีว่าพลังภายในผลึกแก่นอสูรของค้างคาวมังกรโลหิตหกปีกน่ากลัวนัก เหตุใดเจ้าจึงไม่บอกข้าก่อนเล่า? ทำเอาข้าลำบากแทบตาย!”
“อันตราย อันตรายเอ๋ย หากไร้ซึ่งอันตรายแล้ว โชคลาภจะมาจากหนใดเล่า?” หลิงไป๋แบมือออกพลางทำท่าไถ่ถาม “ไปกันเถอะ นอกจากวารีวิญญาณแล้ว ทุกอย่างภายในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ก็ถูกกินจนเรียบหมด เจ้าต้องรีบหาของเพิ่มแล้วนะ ไม่เช่นนั้นได้จนดั่งขอทานแน่”
เฉินซีตกตะลึง เขาจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาว่างเปล่าพลางพูดว่า “ข้าจำได้ว่าตอนเราออกจากนิกายกระบี่เมฆาพเนจร พี่ใหญ่เป่ยเหิง บรรพจารย์ใหญ่เหวินเสวี่ยน หลิงคงจื่อ และคนอื่น ๆ ให้ยามาตั้งมากมายนี่…”
“ใช่ แล้วก็หมดเกลี้ยงแล้ว” สีหน้าของหลิงไป๋ตอนพูดขัดขึ้นยังคงไม่แปรเปลี่ยน “เจ้าไม่ต้องเจ็บปวดไป เนื่องจากได้พลังจากยาล้ำค่าเหล่านั้น การบ่มเพาะพลังของข้าก็เทียบได้กับผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางแล้ว มีข้าก็เหมือนมีนักรบเหรียญทองคอยอยู่เคียงข้าง คุ้มค่ากับราคาที่จ่ายไปนะ”
“หากเจ้าฝึกฝนไม่ก้าวหน้า ข้าตีเจ้าแน่!” เฉินซีส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดใจอะไรนัก สมบัติภายในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ได้ถูกเตรียมไว้สำหรับสองคนนั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ส่วนขวดบรรจุทรงแปดเหลี่ยม ไข่มุกเร้นนิรันดร์ลับดารา ระเบียนแดนมรณะ พู่กันพิพากษามาร และสมบัติล้ำค่าอื่น ๆ เขาได้ซ่อนมันไว้แล้ว จึงไม่ห่วงว่าจะถูกเจ้าตะกละน้อยทั้งสองตนนี่ถลุงไปแน่ เพราะเจดีย์บำเพ็ญทุกข์มีทั้งหมดแปดชั้น แต่ละชั้นเป็นดั่งแดนเล็ก ๆ แดนหนึ่ง จึงเป็นเรื่องง่ายมากที่เขาจะซ่อนของเอาไว้
“เฉินซี…” หลิงไป๋พูดขึ้นอีกครั้ง
“หือ? มีอะไรอีกหรือ?”
“ข้าอยากกินเนื้อย่าง!”
“…”
เฉินซีจ้องสหายน้อยผู้ไม่รู้จักพอที่ไร้ยางอายมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่สุดท้ายก็ไม่อาจทนสายตาอันน่าสงสารไหว จำต้องตอบตกลงไป
แน่นอนว่ายังมีอีกเหตุผลสำคัญอยู่ หลังจากทะลวงสู่ขอบเขตเคหาทองคำแล้ว เขาต้องทำการต่อสู้เพื่อฝึกฝนความแข็งแกร่ง และให้พลังให่ได้อย่างเชี่ยวชาญ
ผู้บ่มเพาะที่แท้จริงไม่ใช่ว่านั่งเฉย ๆ สักหลายร้อยปีแล้วจะแข็งแกร่งขึ้นได้สักหน่อย!