บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 190 มหานครห้วงทะเลทรายมรณะ
บทที่ 190 มหานครห้วงทะเลทรายมรณะ
เรือเหาะสมบัติลำหนึ่งเหินไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว ผ่านไม่ถึงชั่วยามเทือกเขาที่ทอดตัวยาวต่อเนื่องกันได้ลับหายไปจากสายตา สภาพแวดล้อมจึงเปลี่ยนไปทันที
ท้องฟ้ากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ประกอบกับดวงอาทิตย์สีแดงฉานลอยลงต่ำ ขณะกำลังเคลื่อนตัวเตรียมที่จะลับขอบฟ้า
ผืนดินปกคลุมด้วยสีเหลืองหม่นกว้างขวางจนสุดสายตา จากนั้นไกลออกไป ณ ขอบฟ้าปรากฏเป็นเค้าโครงของเมืองหนึ่งที่โอ่อ่าสง่างาม อาคารสูงตระหง่านได้รับการตกแต่งอย่างสวยงาม เปล่งแสงสีทองเจิดจรัส ดูราวกับอาคารที่สร้างด้วยทองคำบริสุทธิ์ทั้งหลัง ทำให้ยิ่งหรูหราอลังการมากขึ้น ฉากหลังของอาคารคือห้วงทะเลทรายมรณะขนาดใหญ่เหมือนทะเลกว้างไร้ขอบเขต กับเสียงกระหึ่มของพายุทรายประดุจเสียงคำรามของมังกรแกร่งกล้า
เมื่อมองแต่ไกลจะพบเห็นเมืองที่มีขนาดใหญ่มหึมาตั้งตระหง่านสูงเสียดฟ้าสีเหลืองหม่นประกอบด้วยทะเลผืนทราย และจะได้ยินเสียงกระเพื่อมของสายลมที่พัดพาเอาความหนาวเย็นเสียดแทงจากสวรรค์สู่โลก ฟังคล้ายกับเสียงกระตุ้นของกลองรบที่ปลุกเร้าให้โลหิตในกายพลุ่งพล่าน เหมือนเขาได้มาเยือนแนวหน้าของสนามรบที่เต็มไปด้วยอาวุธทวนเงาวับและม้าศึกหุ้มเกราะ ที่ทหารกล้าอย่างเขาไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการได้สละเลือดเนื้อและชีวิตดินแดนบ้านเกิดจะได้พิชิตแผ่นดินอื่นเพื่อขยายพรมแดน
สถานที่แห่งนี้คือเมืองห้วงทะเลทรายมรณะ
อาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลในเขตแดนตอนใต้ หากคิดในแง่ของความใหญ่โตและความโอ่อ่าของเมืองห้วงทะเลทรายมรณะแห่งนี้ถือว่าเป็นอันดับหนึ่งแน่นอน ยิ่งกว่านั้นพื้นที่นี้ยังอุดมไปด้วยสินแร่ล้ำค่ามากมายกระจายอยู่ทั่วไป และเป็นที่ที่ผลิตทรายกำมะถัน ทองคำตะวัน เหล็กกล้าร้อยหลอม และเครื่องมือแปรสภาพวัตถุดิบที่มีราคาสูงจำนวนมาก วัตถุดิบเหล่านี้จะถูกนำไปแปรสภาพเป็นสมบัติวิเศษระดับล้ำลึกทั้งหมด พ่อค้าวาณิชจากดินแดนเถื่อนทางตอนเหนือ ที่ราบตอนกลาง และฝั่งทะเลตะวันออกจำนวนมากนิยมมาเปิดสาขาของตัวเองที่เมืองห้วงทะเลทรายมรณะเพื่อรับซื้อสินค้าที่มีความพิเศษต่าง ๆ ของเมืองแห่งนี้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้การค้าขายของที่นี่เจริญรุ่งเรืองและเฟื่องฟูอย่างมาก
ที่นี่แตกต่างกับเมืองทะเลสาบมังกร ตรงที่เมืองห้วงทะเลทรายมรณะไม่ได้ห้ามผู้บ่มเพาะพลังเหินสัญจรไปมาบนอากาศ ดังนั้นเมื่อเฉินซีมาถึงที่นี่จึงพบว่ามีความเคลื่อนไหวสาดแสงเป็นทางมากมายนับไม่ถ้วน ผู้คน รถลากและสมบัติวิเศษบินได้หลากหลายประเภทกำลังเหินอยู่บนท้องฟ้าเหนือมหานครห้วงทะเลทรายมรณะ แต่ละชิ้นปกคลุมไปด้วยแสงสีหลากหลาย รวมทั้งปราณของสมบัติล้ำค่าหมุนเวียนวนอยู่รอบ ๆ ยิ่งส่งให้เกิดความงดงามตระการตามากขึ้น
‘เมืองห้วงทะเลทรายมรณะเป็นสถานที่ที่น่าสนใจอย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด’ ขณะที่เฉินซีคิดพลางถอนใจเฮือกระบายความรู้สึกข้างใน จากนั้นจึงเก็บเรือเหาะสมบัติและเปลี่ยนมาใช้การเดินด้วยเท้าเข้าเมืองอย่างคนธรรมดาสามัญ
ถันไถจื่อเซวียนและพวกไม่มีใครโต้แย้งแต่อย่างใด ตามปกติเมื่อใดที่กลับเข้ามาในเมืองจะปรากฏคลื่นมหาชนแห่แหนมายังพวกเขาพร้อมกับเสียงที่ดังกระหึ่มทันที
“ตระกูลหานโหดเหี้ยมจริง ๆ ข้าได้ยินว่าคนตระกูลถันไถหลายพันคนเกือบจะถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จนหมด เลือดไหลนองดั่งสายน้ำ ช่างน่าเศร้านัก”
“ฮึ! ถึงตระกูลหานไม่เคลื่อนไหว แต่กองกำลังแห่งอื่นก็ต้องเคลื่อนไหวอยู่วันยังค่ำ เหนือสิ่งอื่นใดตระกูลถันไถยังกุมสิทธิ์ทางการค้าเป็นอันดับหนึ่งในเมืองห้วงทะเลทรายมรณะ ทั้งหอค้าสมบัติล้ำค่า และครอบครองพื้นที่แห่งสมบัติล้ำค่าที่ประทานลงมาจากฟ้าอย่างช่องเขาเมฆามรกตด้วย และมันก็เปรียบเสมือนเนื้อก้อนโตที่ดึงดูดความสนใจของบรรดากองกำลังมหาอำนาจผู้ละโมบมานานแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจที่ตระกูลหานจะออกมาเคลื่อนไหว”
“อันที่จริง การที่ตระกูลหานออกมาเคลื่อนไหวครั้งใหญ่นี้ พวกเขาได้เชื้อเชิญผู้บ่มเพาะพลังขอบเขตจุติที่มีพลังแข็งแกร่งมารับมือถันไถหงโดยเฉพาะ คงหวังว่าหลังจากจบการต่อสู้ครั้งนี้จะไม่มีตระกูลถันไถอยู่ในเมืองห้วงทะเลทรายมรณะอีกต่อไป”
“เรื่องนั้นไม่มีทางเป็นไปได้แล้วใช่ไหม ข้าได้ยินมาว่าถันไถหงยังไม่ตาย และยังมีคนมาช่วยเหลือกำจัดผู้บ่มเพาะพลังขอบเขตจุติได้สำเร็จ และเห็นว่ากำลังวางแผนตอบโต้ตระกูลหานอยู่เหมือนกัน”
“จริงเท็จปะปนกัน เรื่องจริงเป็นอย่างไรไม่มีใครรู้ แต่อีกไม่นานหรอกพวกเราจะได้รู้เสียทีว่าใครชนะและใครแพ้”
บรรยากาศภายในเมืองห้วงทะเลทรายมรณะ ผู้คนมากหน้าหลายตาเคลื่อนที่สัญจรขึ้น ๆ ลง ๆ กระนั้นทุกคนต่างก็ถกกันถึงการต่อสู้ที่เกิดขึ้นระหว่างตระกูลหานและตระกูลถันไถ บ้างรู้สึกตื่นเต้น บ้างตระหนกตกใจ และบ้างถอนใจด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย เป็นเหตุให้ทั่วทั้งเมืองมีแต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์อันเอิกเกริก
ทันทีที่ถันไถจื่อเซวียนเข้ามาในเมือง ข่าวที่ได้ยินทำให้นางถึงกับหน้าเผือดวูบและตกใจไม่น้อย เมื่อไม่อาจยับยั้งความวิตกกังวลที่มีในใจได้อีกต่อไป จึงบอกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงร้อนใจ “สหายเต๋าเฉินเค่อ ข้านึกได้ว่ามีธุระเร่งด่วนต้องรีบไป พวกเราคงต้องขอตัวแยกไปก่อน คราวหน้าพวกเราค่อยมาการขายค้ากัน”
เฉินซีพยักหน้าทว่ามิได้เอ่ยตอบ ด้วยเพราะใครก็ตามเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ พวกเขาก็คงอยู่เฉยไม่ได้เหมือนกัน หลังจากพวกถันไถจื่อเซวียนแยกไปไม่นาน เฉินซีจึงออกเดินเตร่ไปรอบเมืองห้วงทะเลทรายมรณะอย่างเพลิดเพลิน
สิ่งก่อสร้างแทบจะทั้งหมดในเมืองห้วงทะเลทรายมรณะก่อสร้างด้วยผงทองกำมะถัน ทำให้สูงส่ง รุ่งโรจน์ สวยงามตระการตาอย่างที่เห็น ผู้คนสัญจรไปมาบนท้องถนนกว้างขวางประดุจกระแสธารไหลรินสอดประสาน คนที่เดินอยู่ชั้นธรรมดาที่สุดจะเป็นผู้บ่มเพาะพลังขอบเขตก่อกำเนิด และทำมาค้าขายอย่างตรงไปตรงมาหรือผู้ให้บริการ นอกนั้นเป็นผู้บ่มเพาะพลังชั้นเหนือกว่าอย่างขอบเขตตำหนักอินทนิล คนเหล่านี้จะทะยานอยู่บนอากาศ
มีแม้กระทั่งผู้บ่มเพาะพลังขอบเขตเคหาทองคำที่เป็นคนสำคัญ และจะมีบริวารคอยคุ้มกันเป็นโขยง
ผู้บ่มเพาะพลังขอบเขตแกนทองคำหยินหยางมีอยู่มากเช่นกัน แต่ยังไม่ค่อยพบเจอผู้บ่มเพาะพลังขอบเขตจุติ
สรุปแล้วผู้บ่มเพาะพลังขอบเขตจุติถือว่ามีสถานะสูงกว่าผู้นำตระกูลเก่าแก่บางตระกูลด้วยซ้ำ และบางคนก็เป็นผู้นำนิกายซึ่งตามปกติคนเหล่านี้จะไม่ปรากฏตัวในที่สาธารณะ
สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือท่ามกลางสายธารของผู้คนที่เคลื่อนไหวพลุกพล่านนั้น จะมีผู้บ่มเพาะพลังจากภายนอกแถบดินแดนตอนใต้ปะปนอยู่ไม่ขาดสาย พวกเขาจะสวมเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่ดูแปลกตา บางคนดูท่าจะเป็นนายน้อยของชนชั้นสูงจากดินแดนที่ราบตอนกลาง เสื้อแขนกว้างโบกสะบัดตามประเพณีโบราณเต็มเพียบ บางคนเป็นชายหนุ่มหน้าตาดุร้ายที่มาจากเขตแดนเถื่อนทางตอนเหนือ เปลือยอกและเจาะใบหูใส่ห่วงทำจากกระดูก บางคนเป็นวัยรุ่นที่ดูแล้วมิใช่คนธรรมดา พวกเขามาจากชายฝั่งทะเลตะวันออก ที่คอสวมสร้อยสารพัดสารพันอาทิไข่มุก หยกและสวมหมวกขนนก…โดยทั่วไปคนเหล่านี้จะมีใบหน้าอ่อนเยาว์และอายุน้อย ทว่ากลิ่นอายที่ปลดปล่อยออกมากลับน่าเกรงขามยิ่ง ส่วนใหญ่จะมีพลังขอบเขตแกนทองคำหยินหยางกันเกือบทุกคน เวลาที่พวกเขาเดินแทรกไปในฝูงชน จึงเหมือนยักษ์กับคนแคระอย่างไรอย่างนั้น
“ข้าได้ยินมาว่าเพื่อมาร่วมงานชุมนุมดาวรุ่งซึ่งจะมีขึ้นในอีกห้าปีข้างหน้า ผู้บ่มเพาะรุ่นเยาว์จากเขตแดนเถื่อนทางตอนเหนือ ที่ราบตอนกลางและแถบชายฝั่งทะเลตะวันออกจะมาที่เมืองห้วงทะเลทรายมรณะและเข้าไปยังทะเลทรายมรณะ ซึ่งได้ชื่อว่าดินแดนแห่งความตายเพื่อขัดเกลาพลังและความแข็งแกร่งให้ตัวเอง นึกไม่ถึงว่าจะได้มาเห็นพวกเขากับตา ในหมู่มนุษย์ที่มีลักษณะพิเศษนั่นน่ะบางคนเป็นหงส์กับมังกรจริง ๆ น่าอิจฉาชะมัด!”
“ใช่แล้ว แต่กลัวว่าทั่วเขตแดนทางใต้เราจะมีผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางที่อายุต่ำกว่าสามสิบอยู่แค่ไม่กี่คนน่ะสิ พอมาเทียบกับคนพวกนี้แล้ว โลกของผู้บ่มเพาะพลังในเขตแดนทางใต้ของเราดูเหมือนจะ…อ่อนด้อยไปเลย”
“อนิจจา เรื่องนี้ก็ช่วยไม่ได้ เมื่อราวพันปีก่อนในแผ่นดินราชวงศ์ซ่งเขตแดนทางใต้เรานับว่าล้าหลังกว่าที่แห่งอื่น ๆ หลายปีผ่านไปช่องว่างยิ่งกว้างขึ้น ๆ เป็นอย่างนี้มาชั่วนาตาปี จนบางคนถึงกับถอดใจไปเลย ข้าได้ยินว่าผู้อาวุโสสูงสุดเป่ยเหิงแห่งนิกายกระบี่เมฆาพเนจร…ก็เคยเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่งเมื่อสองสามพันปีก่อน แต่กลับไม่ติดหนึ่งร้อยอันดับแรกด้วยซ้ำ อย่างนี้จะไม่ท้อแท้อย่างไรไหว”
“อย่าว่าอะไรเลย ข้าสงสัยว่าจะมีผู้บ่มเพาะรุ่นเยาว์ในดินแดนทางใต้ของเราเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่งในอีกห้าปีข้างหน้าไหม จะมีใครที่สามารถต่อสู้เพื่อเป็นหนึ่งร้อยอันดับแรกหรือไม่ จริงสิ…ข้าได้ยินมาว่า เฉินซีที่เป็นอันดับหนึ่งของเทียบอันดับมังกรซ่อนเมื่อปีก่อน คนผู้นี้เป็นผู้บ่มเพาะที่ไม่ธรรมดา สงสัยเหมือนกันว่าเขาจะเข้าร่วมชุมนุมดาวรุ่งในอีกห้าปีหรือไม่”
“เฉินซีอย่างนั้นหรือ ไม่ว่าเขาจะมีพรสวรรค์ทางสติปัญญามากน้อยแค่ไหน แต่เขาจะสามารถบรรลุขอบเขตแกนทองคำหยินหยางได้ภายในเวลาอีกแค่ไม่กี่ปีได้หรือ คิดไม่ออกเลย ข้าเกรงอยู่ว่าเขาจะไม่มีวาสนาได้เข้าร่วมชุมนุมดาวรุ่งในครั้งนี้น่ะซี”
เฉินซีอดที่จะรู้สึกถึงกระแสของความสิ้นหวังหมดอาลัยตายอยากพุ่งวาบขึ้นมาไม่ได้ เมื่อแอบได้ยินคนรอบข้างกำลังคุยเรื่องของตนเอง ‘สงสัยคนพวกนี้จะไม่ปลื้มในตัวข้าเท่าใดนัก’
“เฉินซี…ถ้าเช่นนั้นเจ้าต้องมุ่งมั่นฝึกให้หนักเพื่อที่จะบรรลุขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ไม่เพียงจะต้องเข้าร่วมชุมนุมดาวรุ่งเท่านั้น เจ้ายังต้องสู้สุดชีวิตเพื่อเป็นสิบอันดับแรกให้ได้ จะได้ซัดเจ้าพวกนี้ให้หน้าหงายไปเลย แล้วดูสิว่าพวกเขาจะกล้าประเมินฝีมือของเจ้าต่ำอยู่อีกหรือไม่” เสียงหลิงไป๋พูดผ่านกระแสปราณ น้ำเสียงแสดงความไม่สบอารมณ์
ชายหนุ่มเหยียดมุมปากยิ้มโดยไม่แสดงว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ได้แต่นึกในใจว่า ‘ไม่เพียงแต่ข้าจะต้องเป็นสิบอันดับแรกของชุมนุมดาวรุ่งเท่านั้น สิ่งที่สำคัญคือข้าจะต้องเข้าสู่สมรภูมิบรรพกาลและต้องได้สิทธิ์เข้าสู่ภวังค์ทมิฬด้วย!’
“สหายเต๋าท่านนี้ คงกำลังรอให้ฤดูพายุของห้วงทะเลทรายมรณะสิ้นสุดลงในอีกสามวันข้างหน้า จากนั้นจึงจะเข้าสู่ห้วงทะเลทรายมรณะเพื่อฝึกและขัดเกลาพลังสินะ ถ้าเช่นนั้นเหตุใดจึงไม่เข้ามาพักที่หอขุมทรัพย์สวรรค์และฝึกบ่มเพาะพลังกับเรา ท่านจะได้ฟื้นพลังและเสริมสร้างกำลังกายให้กลับมาแข็งแกร่ง ที่หอขุมทรัพย์สวรรค์แห่งนี้อาจให้ข้อมูลที่จำเป็นเกี่ยวกับทะเลทรายมรณะแก่ท่านมากมายก็ได้”
ขณะที่เฉินซีกำลังเดินเรื่อยเปื่อยไปตามถนนหนทาง เมื่อผ่านอาคารสูงตระหง่านและสง่างามแห่งหนึ่ง สตรีที่คอยต้อนรับแขกอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าเอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นเป็นการดึงความสนใจจากลูกค้า
“หือ” ชายหนุ่มชำเลืองมองกลุ่มสตรีซึ่งมีท่วงท่าอ่อนช้อยอยู่ในชุดเครื่องแต่งกายผ้าไหมชั้นดีเนื้อบางและมีความสวยงาม บรรยากาศรอยกายของทุกคนแฝงกลิ่นอายอันน่าเกรงขาม แต่ละคนเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิล หากอยู่ที่เมืองหมอกสน พวกนางจะได้รับการต้อนรับในฐานะผู้มีเกียรติหรือคนที่ได้รับการยกย่องระดับผู้อาวุโสแห่งกองกำลังต่าง ๆ อย่างแน่นอน แต่ตอนนี้นางเป็นได้แค่ผู้ดูแลของหอขุมทรัพย์สวรรค์เท่านั้น
หลังจากนั้นเฉินซีก็นึกขึ้นได้ว่า ตอนที่ตนกลับออกจากเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้นั้น ครั้งหนึ่งได้ขายสิ่งของให้แก่หอขุมทรัพย์สวรรค์แห่งเมืองทะเลหมอกไปชุดหนึ่ง ตอนนั้นเขาได้รับตราคำสั่งสมบัติสวรรค์ทองคำม่วงมาด้วย
“ตกลง” เฉินซีพยักหน้ารับ
ต้วนมู่เจ๋อเคยเล่าให้ฟังว่าเบื้องหลังหอขุมทรัพย์สวรรค์เป็นพวกตระกูลชั้นสูงของราชวงศ์ซ่ง ซึ่งมีอิทธิพลมากและมีสถานประกอบการกระจายอยู่ทั่วแผ่นดินซ่ง พวกเขาไม่เพียงรับซื้อสมบัติล้ำค่าของหายากเท่านั้น ยังซื้อขายข้อมูล โอสถ วัตถุต่าง ๆ และนำออกประมูลเป็นจำนวนมาก การเข้ามาอาศัยภายในหอขุมทรัพย์สวรรค์สามารถมั่นใจเรื่องความปลอดภัยได้ ถ้าแม้นว่าผู้บ่มเพาะพลังขอบเขตจุติอยากจะฆ่าเจ้า จะต้องให้เจ้าออกมาจากหอขุมทรัพย์สวรรค์เสียก่อน
อย่างไรก็ตาม การเข้าพักที่หอขุมทรัพย์สวรรค์นั้นมีค่าใช้จ่ายที่สูงเอาการ โดยค่าใช้จ่ายสำหรับหนึ่งวันอาจมากกว่าวารีวิญญาณแปดสิบชั่ง แม้แต่ผู้บ่มเพาะพลังแกนทองคำหยินหยางชั้นธรรมดายังไม่สามารถแบกรับค่าใช้จ่ายที่สูงขนาดนี้ได้
ที่นี่มีกระทั่งห้องรับรองพิเศษที่มีราคาเท่ากับวารีวิญญาณแปดร้อยชั่งต่อวัน ซึ่งดึงดูดสายตาให้คนผ่านไปมาถึงกับต้องหยุดมอง ถึงกระนั้นห้องรับรองพิเศษนี้เตรียมไว้เฉพาะต้อนรับแขกผู้มีเกียรติอย่างที่คนธรรมดาสามัญไม่มีปัญญาเข้าไปใช้
“ผู้อาวุโสท่านนี้ ข้าขอทราบนามของท่านได้หรือไม่เจ้าคะ” เมื่อนางเห็นว่าเฉินซีมีท่าทางอยากจะมาพักที่หอขุมทรัพย์สวรรค์ แววตาของสตรีสาวงามหลายคนก็เป็นประกายสว่างไสว หลายคนเปลี่ยนท่าทีเป็นยิ้มแย้มและเปลี่ยนวิธีการเจรจากับเฉินซีทันที
“ข้าชื่อเฉินเค่อ อยากจะเข้าไปฝึกในห้วงทะเลทรายมรณะ” เฉินซีตอบยิ้มขณะเดินตามผู้ดูแลหญิงเข้าไปในหอขุมทรัพย์สวรรค์
ภายในหอขุมทรัพย์สวรรค์แห่งเมืองห้วงทะเลทรายมรณะมีการประดับตกแต่งด้วยสิ่งของมีประกายเงางามอย่างทองคำและหยก ทั้งกว้างขวางและใหญ่โต พื้นปูด้วยทรายก้นสมุทร โต๊ะและม้านั่งทำจากไม้กฤษณาสีคราม โคมไฟล้ำค่าที่แขวนสูงขึ้นไป กระถางธูปมีกลุ่มควันลอยม้วนขดเป็นวง ทุกซอกมุมในหอขุมทรัพย์สวรรค์จะมีฉากบังตาหลายต่อหลายฉาก กลิ่นอายและความสง่าปลดปล่อยออกมาจากทั่วทุกมุมแสดงถึงความหรูหราอย่างที่สุด
“ผู้อาวุโส ท่านไม่ได้มาจากเมืองห้วงทะเลทรายมรณะใช่หรือไม่เจ้าคะ สันนิษฐานว่าท่านยังไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับห้วงทะเลทรายมรณะมากนัก ที่หอขุมทรัพย์สวรรค์ของเรามีข้อมูลให้เลือกสรรมากมายหลายหลาก อยากลองฟังก่อนไหมเจ้าคะ” คนพูดยิ้มแย้มแจ่มใสขณะเอ่ยถาม
ชายหนุ่มย้อนถามอย่างให้ความสนใจ “มีอะไรบ้าง ว่ามา”
“ยกตัวอย่างเช่น ข้อมูลเรื่องพื้นที่ลับและเคหาต่าง ๆ ในห้วงทะเลทรายมรณะ ที่ไหนมีอันตรายท่านไม่ควรเข้าใกล้ ไม่ว่าท่านต้องการรู้เรื่องอะไรก็ตาม ทางเราสามารถจัดหาให้ได้ทุกอย่างเลยเจ้าค่ะ”
“อืม ก็ได้” เฉินซีนิ่งคิดนิดหนึ่ง จากนั้นจึงหยิบตราคำสั่งสมบัติสวรรค์ทองคำม่วงออกมา ก่อนจะยื่นให้คนตรงหน้า “เตรียมห้องรับรองพิเศษให้ข้า แล้วรวบรวมข้อมูลทั้งหมดของห้วงทะเลทรายมรณะมาให้ข้าด้วย”
ตราคำสั่งสมบัติสวรรค์ทองคำม่วงอย่างนั้นหรือ?
คนที่นั้นเมื่อได้เห็นตราคำสั่งชิ้นนี้เข้า สายตาของบรรดาผู้ดูแลหญิงที่มองเฉินซีได้แปรเปลี่ยนไปทันที จากที่มองด้วยความเคารพตามปกติไปเป็นเทิดทูนบูชา ประหนึ่งสามัญชนเผชิญหน้ากับราชันกระนั้น
“ผู้อาวุโส ท่านมาได้จังหวะพอดี เวลานี้หอขุมทรัพย์สวรรค์มีห้องรับรองพิเศษเหลืออยู่อีกห้องเดียว เชิญตามข้ามาเจ้าค่ะ” ผู้ดูแลหญิงพูดอย่างนอบน้อม
“เดี๋ยว! ห้องรับรองพิเศษนั้นนายน้อยของข้าจองแล้ว! เจ้าหนุ่มขอบเขตเคหาทองคำคนนั้นรีบหลีกไปเสีย ก่อนจะสร้างความขุ่นเคืองให้คนที่เจ้าไม่สมควรไปทำให้ขุ่นเคือง!” ขณะที่เฉินซีกำลังทำท่าจะเดินตามสาวต้อนรับคนดังกล่าว พลันมีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้าประตูหน้าหอขุมทรัพย์สวรรค์ ชายหนุ่มสวมเครื่องแต่งกายหรูหรา กับหญิงสาวสองคนและบริวารชุดดำตามมาอีกสี่คนข้างหลัง ส่วนคนพูดเป็นหนึ่งในคนชุดดำ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยามชัดเจน