บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 193 ชาวิญญาณหมอกพิสุทธิ์
บทที่ 193 ชาวิญญาณหมอกพิสุทธิ์
ห้องรับรองพิเศษของหอขุมทรัพย์สวรรค์ได้รับการตกแต่งอย่างสวยงามและหรูหรา ด้วยคานที่ทาสีสันสดใส เสาแกะสลัก โคมไฟล้ำค่ามากมาย และยังมีเตียงสำหรับใช้ในการทำสมาธิหรือการบ่มเพาะซึ่งทำจากหยกธารน้ำแข็งชั้นสูงสุด เมื่อผู้บ่มเพาะนั่งบนนั้น ไม่เพียงแต่จะสามารถกำจัดความคิดฟุ้งซ่านและทำให้จิตใจสงบนิ่งได้ มันยังช่วยบำรุงร่างกายและหล่อเลี้ยงพลังงานที่สำคัญ ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่เลิศเลอราวกับปาฏิหาริย์เป็นอย่างมาก
ยิ่งกว่านั้น ยังมีกลิ่นหอมบริสุทธิ์และสดชื่นลอยอยู่ในอากาศ ซึ่งคล้ายกับกลิ่นหอมหวานที่แผ่ซ่านออกมาจากพื้นดินหลังฝนโปรยปราย นอกจากนี้ยังมีพลังชีวิตอยู่มากมาย ทำให้จิตใจและร่างกายรู้สึกปลอดโปร่งขึ้น และแม้แต่แขนขาก็ยังรู้สึกเบาอย่างเห็นได้ชัด ราวกับว่าร่างกายได้รับการชำระล้างด้วยน้ำศักดิ์สิทธิ์สูงสุด ทำให้ปราศจากสิ่งสกปรกและรู้สึกสดชื่นเป็นอย่างยิ่ง
กลิ่นหอมนี้ถูกแผ่ออกมาจากก้อนไขมันในตะเกียงทองสัมฤทธิ์
ก้อนไขมันนี้มีสีเขียวหยกและดูเหมือนเป็นชิ้นส่วนของอำพัน นอกจากนี้ มันมียังปราณวิญญาณที่หนาแน่นเป็นอย่างมาก มันถูกเรียกว่า ‘ไขวิญญาณหยก’ ซึ่งสกัดออกมาจากแก่นของต้นสนอายุนับหมื่นปี ต้นสนอายุหมื่นปีเพียงต้นเดียวกลับสามารถสกัดเป็นไขวิญญาณหยกที่มีขนาดเท่าเล็บมือได้เพียงชิ้นเดียว ด้วยเหตุนี้ มันจึงเป็นเรื่องที่ฟุ่มเฟือยและหรูหราเป็นอย่างมาก ส่วนที่หอขุมทรัพย์สวรรค์ใช้เป็นเพียงน้ำหอมเท่านั้น
‘ช่างเป็นสถานที่ที่ดี! วารีวิญญาณหนึ่งพันจิน สำหรับการเข้าพักหนึ่งวันก็ถือว่าคุ้มค่า’ หลังจากที่เฉินซีเข้าไปในห้องรับรองพิเศษและพิจารณาการตกแต่งโดยรอบ เขาก็อดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความชื่นชมอย่างไม่รู้จบภายในใจ
หลังจากที่ท่านหญิงสุ่ยฮวาพาเฉินซีเข้าไปในห้องรับรองพิเศษ นางก็ไม่ได้จากไป แต่นั่งไขว่ห้างหน้าโต๊ะแทน และเริ่มต้มชาด้วยท่าทางสง่างาม
ผู้ประเมินเล่อฉีดูเหมือนจะรู้สึกตัวและรีบจากไปในทันที
เฉินซีไม่รู้สึกแปลกใจเมื่อเห็นสิ่งนี้ เขาเดินไปที่โต๊ะและนั่งหันหน้าเข้าหาท่านหญิงสุ่ยฮวา เขาไม่ได้กล่าวอะไรออกมา เพียงแต่ชื่นชมถึงวิธีการเตรียมชาซึ่งไหลรินดั่งก้อนเมฆและสายน้ำที่หลั่งไหลของนางอย่างเงียบ ๆ มันเปี่ยมไปด้วยสัมผัสแห่งจังหวะ
หม้อใบเล็กที่ทำจากดินเหนียวสีแดง กาน้ำชากระเบื้อง และถ้วยชาสีเหลืองที่เรียบง่ายและหนักสองใบวางอยู่บนโต๊ะ เมื่อน้ำเดือดแล้ว ท่านหญิงสุ่ยฮวายิ้มบาง ๆ ให้เฉินซีก่อนกล่าวว่า “ชาแก่ควรแช่ไว้ ส่วนชาอ่อนควรต้ม ใบชาวิญญาณหมอกพิสุทธิ์พวงนี้เป็นชาบ่มอันล้ำค่าที่ข้าได้มาจากราชสำนัก และคนธรรมดาทั่วไปย่อมไม่มีโอกาสที่จะได้ดื่มมัน”
ขณะที่นางกล่าว มือที่ขาวราวกับหยกของนางก็หยิบกาน้ำชาขึ้นมา จากนั้นจึงม้วนแขนเสื้อขึ้นขณะที่นางแช่ชา การเคลื่อนไหวของนางเป็นไปอย่างเชื่องช้า นุ่มนวล และไม่เร่งรีบ น้ำที่เดือดปุด ๆ เป็นเหมือนน้ำพุสีเงินที่ไหลรินลงในถ้วยชาสีเหลือง ทันใดนั้นใบชาที่อยู่ด้านล่างของถ้วยชาก็คลี่ออกราวกับเข็มเงินจำนวนมากมายที่ผลิบานเป็นกลีบ ซึ่งชูขึ้นและลงเป็นจังหวะอย่างสง่างาม
เพียงแค่สูดกลิ่นเบา ๆ เฉินซีก็รู้สึกได้ถึงกระแสลมปราณภายในร่างกายกำลังไหลเวียน ในขณะที่พลังชีวิตของเขากำลังพลุ่งพล่าน และปราณแท้ภายในร่างกายของเขาดูเหมือนจะควบแน่นมากขึ้นในทันที
“รีบดื่มในขณะที่มันยังอุ่นอยู่ มิฉะนั้น ปราณวิญญาณที่อยู่ภายในชาจะสลายออกไป” ท่านหญิงสุ่ยฮวาหยิบถ้วยชาขึ้นมาและเชื้อเชิญเขาจากระยะไกล ก่อนที่จะเปิดริมฝีปากสีชมพูของนางเบา ๆ และจิบในครั้งเดียว
เฉินซีหยิบถ้วยชาของเขาขึ้นมาดื่มรวดเดียว และกลืนใบชาลงไปด้วย หลังจากนั้น เขารู้สึกได้ถึงกระแสน้ำอุ่นมากมายที่ถาโถมเข้าสู่แขนขาและกระดูกของเขา และดูเหมือนว่าทุกรูขุมขนบนร่างกายของเขาจะถูกเปิดออก ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความสบายใจ ความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมอย่างที่สุดนี้ สบายยิ่งกว่าการแช่ตัวในบ่อน้ำพุร้อนเสียอีก มันทำให้ร่างกายของเขารู้สึกปลอดโปร่งและสงบนิ่ง
ฟิ้ว!
ปราณแท้ภายในท้องทะเลแห่งลมปราณของเขาเริ่มหมุนถาโถมเหมือนคลื่นยักษ์ มันเต็มไปด้วยพลังที่บริสุทธิ์และควบแน่นมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน มันจึงหวนคืนสู่ความสงบอย่างเช่นเคย
“ช่างเป็นชาที่ยอดเยี่ยม!” เฉินซีอดไม่ได้ที่จะชมเชยออกไป ชาวิญญาณหมอกพิสุทธิ์นี้ไม่เพียงแต่ช่วยการควบแน่นปราณแท้เท่านั้น แต่ยังให้ประโยชน์ต่อจิตวิญญาณอย่างมหาศาลอีกด้วย และมันวิเศษเกินคำบรรยาย
ท่านหญิงสุ่ยฮวาวางถ้วยชาลงและดวงตาหงส์ของนางยกขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “แต่สิ่งนี้เทียบไม่ได้กับชาดอกชบาสีม่วงของตระกูลไป๋ นั่นคือชาชั้นยอดของโลกอย่างแท้จริง เพราะเพียงจิบเดียวก็เปรียบได้กับการบ่มเพาะอย่างยากลำบากเป็นเวลานับสิบปี
ตระกูลไป๋หรือ?
เฉินซีตกตะลึงอยู่ในใจ พร้อมกับด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านหญิง ข้าขอเรียนถาม ตระกูลไป๋ที่ท่านกล่าวถึงคือตระกูลใดหรือ”
“เจ้าเด็กน้อย ยังจะกล้าเสแสร้งต่อหน้าข้าอีกหรือ” ท่านหญิงสุ่ยฮวาจ้องมองด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยดวงดาวของนางและกล่าวด้วยความโกรธว่า “ไป๋หว่านฉิงทำลายล้างตระกูลซูของเมืองทะเลสาบมังกรเพื่อเห็นแก่เจ้า เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือ?”
เฉินซีแย้มยิ้ม แต่รอยยิ้มของเขาดูฝืนยิ่งนัก เพราะเรื่องนี้ได้สร้างความตกตะลึงไปทั่วทั้งดินแดนทางใต้ แต่ชื่อของไป๋หว่านฉิงกลับไม่เป็นที่รู้จัก ตอนนี้ความลับเช่นนี้กลับถูกเปิดเผยจากคำพูดเพียงคำเดียวของท่านหญิงสุ่ยฮวา ทำให้เขาก็ตระหนักได้ทันที ว่าท่านหญิงผู้งดงามอย่างล้ำลึกผู้นี้น่าจะคุ้นเคยกับไป๋หว่านฉิงเป็นอย่างดี และที่ผ่านมา เป็นไปได้ว่านางอาจรู้จักไป๋หว่านฉิงมาตั้งนานแล้ว
แต่ก็เป็นการยากสำหรับเขาที่จะแยกแยะว่านางเป็นมิตรหรือศัตรู
ท่านหญิงสุ่ยฮวามองไปที่เฉินซี ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อและถามทันทีว่า “หรือว่าเจ้ามาที่เมืองห้วงทะเลทรายมรณะครั้งนี้เพราะต้องการบ่มเพาะและฝึกฝนในห้วงทะเลทรายมรณะ? หรือบางที… อาจมาเพราะขุมสมบัติของเฉียนหยวน?”
“มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ” เฉินซีพยักหน้า
“เจ้าจะเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่งหลังการฝึกเสร็จสิ้นหรือ?” ท่านหญิงสุ่ยฮวากล่าวต่อ
เฉินซีพยักหน้าอีกครั้ง
ท่านหญิงสุ่ยฮวาดูไม่โกรธเลยแม้แต่น้อย และนางก็ยิ้มอย่างงดงามขณะที่นางกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว ไป๋หว่านฉิงต้องบอกบางอย่างที่เกี่ยวกับแดนภวังค์ทมิฬแก่เจ้าอย่างแน่นอน และนางก็หวังว่าเจ้าจะสามารถไปที่ตระกูลไป๋แห่งแดนภวังค์ทมิฬ เพื่อที่จะตามหานางใช่หรือไม่?”
‘สตรีนางนี้ไม่เพียงแต่งดงามมากเท่านั้น แต่นางยังมีความรู้ที่น่าสะพรึงกลัวอีกด้วย หากเป็นเช่นนี้ นางอาจจะเค้นเอาข้อมูลจากข้าทั้งหมดทีละเล็กทีละน้อย…’ ขณะที่เขาคิดเช่นนี้ในใจ เฉินซีก็เผยรอยยิ้มอันขมขื่นและผายมือออกในเชิงตั้งคำถาม “ท่านหญิง วันนี้ท่านคงไม่มาหาข้าเพราะสิ่งนี้ใช่หรือไม่?”
ท่านหญิงสุ่ยฮวาหัวเราะคิกคัก “ใครใช้ให้เจ้าไม่ซื่อสัตย์ล่ะ? ถ้าหากข้าไม่คาดเดาเอง เจ้าคงไม่คิดจะบอกอะไรข้าใช่หรือไม่?”
ทุกอิริยาบถและรอยยิ้มของหญิงสาวเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ยิ่งนัก เมื่อนางหยอกล้อผู้อื่นกอปรกับเสียงแหบพร่าของนางที่เต็มไปด้วยพลังเย้ายวน หากเป็นผู้อื่นก็คงถูกเย้าหยอกจนจิตใจสั่นไหวและยอมสยบอยู่ใต้กระโปรงของนางไปตั้งนานแล้ว
แต่ทั้งหมดนี้ไม่มีผลกับเฉินซี เนื่องจากจิตใจของเขาถูกขัดเกลาจนแข็งกระด้างราวกับหินผา เมื่อความระแวดระวังเกิดขึ้นในใจของเขา ไม่ว่าสิ่งล่อใจจะปรากฏต่อหน้าต่อตาเขามากสักเพียงใด มันก็จะไม่ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมหรือรบกวนจิตใจของเขาแม้แต่น้อย
สิ่งล่อใจคือสิ่งใดอย่างนั้นหรือ?
มันเป็นจิตมารประเภทหนึ่ง ความคิดที่ทำให้ไขว้เขว ความปรารถนา และรากเหง้าของมันบางครั้งก็น่ากลัวยิ่งกว่าคมหอกและใบมีดเสียอีก หากแนวป้องกันในใจถูกทำลายลงแล้ว ไม่ว่าคนผู้นั้นจะมีระดับการบ่มเพาะสูงส่งสักแค่ไหน ก็จะกลายเป็นคนที่ถูกชักจูงและต้องอยู่ในความเมตตาของผู้อื่นเท่านั้น
‘เขาสามารถมองการณ์ไกลและมีความคิดที่สมเหตุสมผล ไม่น่าแปลกใจที่ไป๋หว่านฉิงยินดีที่จะคอยดูแลเขาอยู่ในเมืองเล็ก ๆ ที่เรียกว่าเมืองหมอกสน ด้วยความคิดเช่นนี้ เขาต้องมีอนาคตที่ไร้ขอบเขตอย่างแน่นอน’ เมื่อนางเห็นดวงตาที่กระจ่างและชัดเจนของเฉินซี และพลังชีวิตของเขากลับนิ่งสงบดั่งขุนเขาที่ไม่อาจเคลื่อนย้าย นางก็อดไม่ได้ที่จะชมเชยเขาอยู่ในใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นางอาศัยความสามารถและความงามของนางเพื่อพิชิตผู้บ่มเพาะนับไม่ถ้วน มีแม้กระทั่งเด็กน้อยเฉกเช่น เฉินซีที่หลงเสน่ห์นาง อาจกล่าวได้ว่าตราบเท่าที่นางปรารถนา เพียงอาศัยรูปลักษณ์ที่งดงามของนาง ก็สามารถทำให้ผู้คนมากมายต่างยอมตายเพื่อนาง และมันก็ยังไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าเฉินซีกลับเป็นข้อยกเว้น
“เหตุผลที่ข้ามาหาเจ้าในครั้งนี้นั้นธรรมดามาก เพียงเพราะข้าอยากจะพบกับเจ้า นอกจากนี้ การกระทำของเจ้านั้นควรค่าแก่การได้รับความเคารพจากข้า” ท่านหญิงสุ่ยฮวายิ้มและไม่คิดจะที่กล่าวเรื่องไร้สาระต่ออีก นางจ้องมองไปยังเฉินซีด้วยสายตาที่ร้อนแรงพร้อมกับกล่าวว่า “ข้าจะมาพบเจ้าอีกครั้งหากเจ้าสามารถได้อยู่ในสิบอันดับแรกของการชุมนุมดาวรุ่ง เมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะทำการแลกเปลี่ยนกับเจ้าโดยที่เจ้าไม่อาจปฏิเสธได้”
“การแลกเปลี่ยนที่ข้าไม่สามารถปฏิเสธได้หรือ?” เฉินซีตกตะลึง ท่าทางของเขาดูเหมือนตกอยู่กับในห้วงความคิด
“จงบ่มเพาะอยู่ที่นี่อย่างสบายใจ ในหอขุมทรัพย์สวรรค์ ไม่มีผู้ใดกล้ารบกวนเจ้า แต่ถ้าเจ้าเข้าไปในห้วงทะเลทรายมรณะแล้ว เจ้าต้องคอยระมัดระวังตัว ข้าจะให้เล่อฉีมอบข้อมูลบางอย่างแก่เจ้าในภายหลัง และเจ้าจะเข้าใจทุกอย่างเมื่อเจ้าได้อ่านมัน” ทันทีที่นางกล่าวจบ ท่านหญิงสุ่ยฮวาก็เหลือบมองไปที่เฉินซีอย่างลึกซึ้ง ก่อนจะลุกขึ้นและเดินจากไป
‘ผู้หญิงคนนี้ลึกลับยิ่งนัก ข้าเกรงว่าสิ่งที่นางวางแผนไว้จะไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย…’ หลังจากที่ท่านหญิงสุ่ยฮวาจากไปแล้ว เฉินซีก็นั่งอยู่หน้าโต๊ะคนเดียว และกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก
“เฉินซี ผู้หญิงคนนั้นอาจจะมีการบ่มเพาะที่ขอบเขตสถิตกายา และนางก็น่าจะทรงพลังเป็นอย่างมาก จนข้าไม่กล้าโผล่ศีรษะออกไป…” หลิงไป๋ออกมาจากเจดีย์บำเพ็ญทุกข์และบ่นพึมพำ จากนั้นเขาก็กล่าวด้วยความสงสัยว่า “นางมาหาเจ้าทำไมหรือ”
“ใครจะไปรู้ล่ะ?” เฉินซีส่ายศีรษะ เขารู้สึกได้ราง ๆ ว่า ท่านหญิงสุ่ยฮวาคนนี้น่าจะเข้าหาเขาเพื่อหวังเข้าใกล้ไป๋หว่านฉิง แต่ก็ยังไม่อาจสรุปได้ทั้งหมด
หลังจากนั้นไม่นาน เล่อฉีก็ได้มอบเอกสารจำนวนหนึ่ง จากนั้นก็รีบจากไป ราวกับเกรงว่าจะรบกวนการบ่มเพาะของเฉินซี
เอกสารนี้ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับห้วงทะเลทรายมรณะ เช่น สภาพแวดล้อมของห้วงทะเลทรายมรณะ สภาพอากาศ ขอบเขต และอื่น ๆ เป็นต้น นอกจากนี้ยังระบุสถานที่อันตรายและน่ากลัวเป็นพิเศษอีกด้วย และอาจถือได้ว่ามีทั้งข้อมูลสำคัญและข้อมูลเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ห้วงทะเลทรายมรณะนั้นกว้างใหญ่ไพศาลและเป็นสมรภูมิของเหล่าทวยเทพและอสูรเมื่อหมื่นปีที่แล้ว ดังนั้นเนื้อหาของเอกสารนี้อาจอธิบายได้เพียงเศษเสี้ยวของทุกสิ่งในห้วงทะเลทรายมรณะ
แต่ถึงอย่างนั้น เฉินซียังต้องประหลาดใจ ขณะที่อ่านเอกสารเหล่านี้
ซากปรักหักพังห้าธาตุ!
สุสานอสูรร้าย!
เขตพายุฝนฟ้าคะนอง!
ทะเลวิญญาณมรณะ!
…
สถานที่เหล่านี้ทั้งหมด ล้วนเป็นสถานที่ที่น่ากลัวอย่างยิ่งภายในห้วงทะเลทรายมรณะ ซึ่งเต็มไปด้วยอันตรายและเจตนาฆ่าฟันอยู่ในทุกย่างก้าว เฉกเช่น เขตพายุฝนฟ้าคะนอง เป็นอาณาเขตแห่งความสิ้นหวังที่กว้างใหญ่ไพศาลจนไม่อาจประเมินได้ ภายในนั้นเต็มไปด้วยสายฟ้าและฟ้าร้อง ซึ่งมีพลังทำลายอันน่าสะพรึงกลัวอย่างไร้ขอบเขต และเพียงพอที่จะทำลายล้างทุกสิ่ง จนทำให้ฟ้าดินตกในความมืดดิน
สถานที่ต้นกำเนิดของปราณหยางนพเก้าล้ำลึกนั้น อยู่ภายในภูเขาไฟที่ด้านข้างของเขตพายุฝนฟ้าคะนอง!
“หืม? สถานที่อันตรายเหล่านี้ช่างน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง แต่ขุมสมบัติของเฉียนหยวนนั้น กลับอยู่ลึกเข้าไปในห้วงทะเลทรายมรณะยิ่งกว่าสถานที่อันตรายเหล่านี้เสียอีก ข้าสงสัยนักว่ามันจะน่ากลัวสักเพียงใด…? แต่ห้วงทะเลทรายมรณะนี้กว้างใหญ่ไพศาล ราวกับมันไม่มีที่สิ้นสุดจริง ๆ ข้าอยากรู้นักว่าจะมีสถานที่ที่น่ากลัวเช่นใดอยู่ข้างในนั้นอีก” เฉินซีถอนสายตาจากกองเอกสารและขมวดคิ้ว
“อย่างไรก็ตาม ยิ่งมันอันตรายมากเท่าไร ก็ยิ่งสามารถขัดเกลาการบ่มเพาะของข้าได้มากเท่านั้น ข้าเหลือเวลาอีกเพียงห้าปี หากข้าไม่สามารถบรรลุขอบเขตแกนทองคำหยินหยางได้ภายในห้าปีนั้น ก็ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่จะมุ่งหน้าสู่แดนภวังค์ทมิฬ เพราะข้าเกรงว่าจะไม่อาจเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่งเสียได้ด้วยซ้ำ” เมื่อเขาตระหนักได้ ดวงตาของเฉินซีก็เต็มไปด้วยความแน่วแน่และเด็ดเดี่ยว
“เฉินซีดูสิ เอกสารนี้ระบุว่าห้วงทะเลทรายมรณะจะเข้าสู่ระยะพักตัวสั้น ๆ อีกสามวันนับจากนี้ ในเวลานั้น กระแสลมและพายุทรายภายในห้วงทะเลทรายมรณะจะสงบนิ่ง ถ้าเราเข้าไปตอนนั้นน่าจะปลอดภัยกว่านี้มาก” หลิงไป๋เงยหน้าขึ้นและกล่าวทันที
เฉินซีพยักหน้าและดูเหมือนว่าเขาจะคิดอะไรบางอย่างออก จากนั้นเขาก็กล่าวว่า “หากเป็นเช่นนี้ ผู้เยาว์ที่มีการบ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางซึ่งมาจากแดนป่าเถื่อนทางตอนเหนือ ทะเลตะวันออก และที่ราบตอนกลางอาจจะเลือกเวลาช่วงนี้เข้าสู่ห้วงทะเลทรายมรณะ เพื่อบ่มเพาะความแข็งแกร่งและค้นหาสมบัติ เมื่อผู้บ่มเพาะมากมายมารวมกันในที่เดียว ข้าเกรงว่ามันจะเกิดเหตุการณ์นองเลือดจากการฆ่าฟันไม่รู้อีกกี่ครั้ง…?”
“ฮิ ๆ ข้าหวังว่ามันจะมีการต่อสู้เกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้ เราจะสามารถฆ่าพวกมันและยึดทรัพย์สมบัติมา เมื่อนั้นเราจะสามารถทำเงินได้อย่างมากมาย” หลิงไป๋กล่าวด้วยท่าทางดีใจ
เฉินซีเงียบไป