บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 208 การเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึงของระเบียนแดนมรณะ
- Home
- บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน
- บทที่ 208 การเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึงของระเบียนแดนมรณะ
บทที่ 208 การเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึงของระเบียนแดนมรณะ
“ไขว่คว้าโชคชะตาของฟ้าดิน เปลี่ยนความเสื่อมโทรมให้เป็นปาฏิหาริย์ เหตุใดการโจมตีเช่นนี้จึงปรากฏขึ้น ณ ที่แห่งนี้” ที่มุมหนึ่งของซากปรักหักพังห้าธาตุ ชิงซิ่วอี้ดูเหมือนจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง นางจึงเงยหน้าขึ้นอย่างกะทันหัน ประกายของสายฟ้าพุ่งออกมาจากดวงตาที่มืดมัวของนาง ราวกับฉีกผ่านความมืดมิดของอวกาศเพื่อตรวจจับจักรวาลทั้งหมด ในขณะที่นางจ้องมองไปยังสถานที่ที่มีแสงแดดส่องถึงก่อนหน้านี้อย่างแน่วแน่ ในขณะนี้ จิตใจที่เคยสงบนิ่งของนางก็กระเพื่อมไหวขึ้นมา
“หืม? เกิดสิ่งใดขึ้น เหตุใดข้าถึงรู้สึกใจสั่นแปลก ๆ”
“ช่างเป็นกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวเสียนี่กระไร! แม้จะเป็นเพียงปอยผม แต่ก็ทำให้ข้ารู้สึกกระวนกระวายราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ!”
“น่าเกรงขาม! เป็นไปได้ไหมว่ามีผู้บ่มเพาะที่ไม่มีใครเทียบได้ซ่อนอยู่ในซากปรักหักพังห้าธาตุนี้”
ในอีกด้านหนึ่ง สายตาของหลินโม่เซวียน เซียวหลิงเอ๋อร์ หวงฝู่ฉงหมิง และคนอื่น ๆ หรี่ตาลงและแหงนหน้าขึ้นมองไปยังระยะไกลอย่างพร้อมเพรียงกัน แต่นอกจากฝูงสัตว์อสูรที่ปกคลุมท้องฟ้าแล้ว พวกเขากลับไม่พบถึงสิ่งอื่นใด ทำให้พวกเขาไม่สามารถระงับความรู้สึกกังวลและความสงสัยในใจได้
อันที่จริง ไม่ใช่แค่พวกเขาเท่านั้น คนอื่น ๆ ในซากปรักหักพังห้าธาตุต่างก็รู้สึกถึงแรงกดดันที่บีบคั้นซึ่งปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันไม่มากก็น้อย ซึ่งมันทำให้พวกเขาหวาดกลัวและสับสนเป็นอย่างมาก
แต่น่าเสียดายที่จู่ๆ กลิ่นอายนี้มาถึงอย่างปุบปับและหายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อทุกคนตั้งใจขับเคลื่อนพลังวิญญาณเพื่อค้นหาพวกมันเช่นเดียวกับหลินโม่เซวียนและคนอื่น ๆ แต่พวกเขากลับไม่พบสิ่งใดเลย
…
สังหารเถิงหัวซวี่ ทำลายเขตแดนเต๋าแห่งแม่น้ำโลหิต ส่องทะลุผ่านร่างของสัตว์ร้ายจำนวนมหาศาลและทะลวงผ่านกำแพงพายุ… ทั้งหมดนี้คือการโจมตีจากพู่กันพิพากษามาร
การโจมตีครั้งนี้ดูเหมือนจะต้องการพิพากษาสวรรค์และโลก และแยกหยินกับหยางออกจากจักรวาล การโจมตีนี้ได้บรรลุถึงระดับของการเชื่อมโยงกับกฎของมหาเต๋าแล้ว และเปลี่ยนความเสื่อมโทรมให้เป็นปาฏิหาริย์ หากเป็นเฉินซีเอง เขาก็ไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่น้อยที่จะหลบเลี่ยงการโจมตีเช่นนี้!
โอม!
หลังจากที่พู่กันพิพากษามารทำลายล้างศัตรูของมัน จู่ ๆ มันก็เริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ราวกับตั้งใจจะดิ้นรนให้เป็นอิสระจากการควบคุมของเฉินซี แต่เขากลับคว้ามันไว้ได้ และมันก็ถูกเฉินซีที่เตรียมการไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ เข้าขัดขวางอย่างฉับพลัน จากนั้นจึงเก็บมันไว้ในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ทันทีที่มันหยุดดิ้นรน
พู่กันพิพากษามารนั้นประหลาดมาก มันเหมือนกับเด็กดื้อรั้นที่ไม่สามารถควบคุมได้เมื่อถูกปล่อยให้เคลื่อนไหว และมันต้องถูกระงับด้วยพลังอันยิ่งใหญ่เท่านั้น ก่อนที่มันจะเข้าสู่สภาวะเงียบสงบ
เฉินซีได้ลองพยายามมาหลายวิธี แต่กลับไม่สามารถขัดเกลาพู่กันนี้ได้อย่างสมบูรณ์ ในตอนนี้ เมื่อเขาจำเป็นต้องใช้พู่กันพิพากษามารเท่านั้น เขาจะปล่อยมันอย่างระมัดระวังเพื่อสังหารศัตรูของเขา และเขายังต้องคอยระวังไม่ให้มันหลบหนีไปหลังจากนั้น
ครืนน! ครืนน! ครืนนน!
ทันทีที่พู่กันพิพากษามารหายไป สัตว์อสูรของธาตุทั้งห้าที่อยู่รายล้อมเสมือนกระแสน้ำก็แสดงความดุร้ายออกมา จากนั้นพวกมันก็กลับไปรวมฝูงกันอีกครั้งโดยสัญชาตญาณ ภายใต้การรุมล้อมของสัตว์อสูรเหล่านี้ เฉินซีเป็นเหมือนเศษฟางในมหาสมุทรที่ไร้ขอบเขตและตกอยู่ในชะตากรรมที่จะถูกทะเลกลืนกินได้ทุกเมื่อ
อย่างไรก็ตาม เฉินซีรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย เมื่อสัตว์อสูรเหล่านี้สนใจเนื้อหนัง ปราณปีศาจ และเศษซากของแม่น้ำโลหิตที่เถิงหัวซวี่ทิ้งไว้หลังจากการตายของเขา จากนั้นพวกมันก็ตะเกียกตะกายแย่งชิงและกลืนกินสิ่งที่หลงเหลืออยู่
“เฉินซีจงรีบไปเอาแกนทองคำของเถิงหัวซวี่มาซะ อย่าได้ปล่อยให้สัตว์อสูรเหล่านี้ได้ประโยชน์จากมัน!” หลิงไป๋เตือน
โอม!
ทว่าก่อนที่เฉินซีจะทันได้เคลื่อนไหว ระเบียนแดนมรณะในมือซ้ายของเขาก็ปล่อยพลังดูดกลืนออกมา และทุกที่ที่มันผ่านไป ไม่ว่าจะเป็นชิ้นส่วนที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ ของแม่น้ำโลหิต เนื้อหนัง และโลหิตที่อยู่ในบริเวณโดยรอบ จะถูกมันกลืนกินอย่างหมดจด แม้แต่แกนทองคำของเถิงหัวซวี่เองก็ถูกระเบียนแดนมรณะกลืนเข้าไปอย่างรวดเร็ว จนเฉินซีไม่มีแม้แต่ช่องในการตอบสนอง
ปัง!
หลังจากที่มันกลืนแกนทองคำของเถิงหัวซวี่แล้ว ความแข็งแกร่งของระเบียนแดนมรณะก็ดูเหมือนจะตื่นขึ้น ทำให้มันระเบิดออกมาด้วยความแข็งแกร่งที่ไร้ขอบเขต จนทำให้แขนของเฉินซีสั่นสะท้าน และเขาก็เกือบจะสูญเสียการควบคุมจากระเบียนแดนมรณะไป
“บัดซบ! เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้” เฉินซีรู้สึกกระวนกระวายในใจ ในขณะนี้ เขาไม่สามารถสนใจสิ่งอื่นได้ และรีบโคจรปราณจ้าววิญญาณและปราณแท้ด้วยพละกำลังทั้งหมดของเขา ก่อนที่จะใช้มันเพื่อสยบระเบียนแดนมรณะ แต่เขาเป็นเหมือนตั๊กแตนตำข้าวที่ยกขาขึ้นเพื่อหยุดรถ และผลของการกระทำของเขานั้นอ่อนแอมาก จึงทำให้ระเบียนแดนมรณะอาละวาดอยู่ในกำมือของเขา และมันก็ค่อย ๆ ดิ้นรนโดยปราศจากการควบคุมของเขา หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เฉินซีคงจะสูญเสียสมบัติลึกลับที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคัมภีร์อสูรโบราณชั้นยอดไปในอีกไม่นาน
ปัง!
ระเบียนแดนมรณะราวกับกำลังคำรามด้วยความโกรธและเย้ยหยันเฉินซี ที่ประเมินความสามารถของมันสูงเกินไป จากนั้นมันก็พุ่งเข้าใส่ชายหนุ่มอย่างกะทันหัน เพื่อพาร่างของเฉินซีทะยานออกไปอย่างรุนแรง
ฟุ้บ! ฟุ้บ! ฟุ้บ!
ระเบียนแดนมรณะไม่ได้คิดหลบหนี แต่มันกลับเริ่มสังหารฝูงสัตว์อสูรแทน ทุกที่ที่มันกวาดผ่าน ทุกสิ่งจะถูกลบล้างด้วยพลังกลืนกินอันไร้ขอบเขตที่มันปล่อยออกมา เลือดเนื้อที่สัตว์อสูรเหล่านี้เหลือทิ้งไว้จะถูกมันกลืนกินเข้าไปโดยตรง และแม้แต่เฉินซีเองก็ยังรู้สึกหวาดกลัว เมื่อเขาเห็นพลังการต่อสู้ที่ทรงอานุภาพและไร้เทียมทานกำลังกวาดล้างไปทั้งโลก
สัตว์อสูรแห่งธาตุทั้งห้าเหล่านี้เกิดจากแก่นแท้ของธาตุทั้งห้า เลือดเนื้อและเศษสมบัติวิเศษของอสูรและทวยเทพที่ล้มตาย นอกจากนี้ ยังเห็นได้ชัดว่าระเบียนแดนมรณะกำลังกลืนทุกสิ่งเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตัวเอง… ‘ไม่ได้การแล้ว! ถ้าข้าปล่อยให้มันฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ข้าคงไม่สามารถสยบมันได้!’ มือของเฉินซีจับระเบียนแดนมรณะไว้แน่น และเขาไม่กล้าปล่อยมือออกจากระเบียนแดนมรณะจนร่างกายของเขาปลิวว่อนและอาละวาดไปทั่ว ราวกับใบไม้ที่ติดอยู่ในกระแสลมแรงและปลิวว่อนไปตามกระแสลมเท่านั้น ทำให้สภาพของเขาดูไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง
ข้าควรทำอย่างไรดี?
เฉินซีกวาดสายตามองไปรอบ ๆ โดยไม่ได้ตั้งใจและสังเกตเห็นว่า ระเบียนแดนมรณะได้กลืนเลือดของสัตว์อสูรเท่านั้น แต่มันไม่ได้แตะแตะแก่นแท้ของธาตุทั้งห้าที่หลงเหลืออยู่ และมันทำให้เขาตระหนักได้ในทันที
“เอาล่ะ มาลองวัดกันดู ว่าจะเป็นเจ้าที่กลืนเลือดและเพิ่มพูนความแข็งแกร่งอย่างรวดเร็ว หรือจะเป็นข้าที่กลืนกินแก่นแท้ธาตุทั้งห้าเพื่อเพิ่มพูนความแข็งแกร่งอย่างรวดเร็ว!?” เฉินซีกัดฟันแน่น ในขณะที่เขาโคจรปราณจ้าววิญญาณภายในร่างกายของเขาด้วยพลังทั้งหมดที่มี อักขระจ้าววิญญาณแห่งดาราปฐพีที่ห้า อักขระจ้าววิญญาณแห่งดาราพฤกษาที่สอง อักขระจ้าววิญญาณแห่งดาราทองคำที่เจ็ด อักขระจ้าววิญญาณแห่งดาราอัคคีที่สาม และอักขระจ้าววิญญาณแห่งวารีที่เก้า พวกมันเป็นเหมือนปลาฉลามที่อ้าปากเปื้อนเลือดขณะกวาดเอาแก่นแท้ของธาตุทั้งห้าที่อยู่รอบข้างอย่างบ้าคลั่ง
ไม่ว่าระเบียนแดนมรณะจะไปถึงที่ใด เฉินซีก็จะไปถึงที่นั่นเช่นเดียวกัน และอักขระจ้าววิญญาณทั้งห้าจะกลืนกินทุกสิ่งที่นั่น ในขณะที่สัตว์อสูรเหล่านั้นกลับประสบกับหายนะแทน หลังจากพวกมันถูกระเบียนแดนมรณะบดขยี้และทำลายล้างระลอกแล้วระลอกเล่า ไม่เพียงแต่เลือดของพวกมันจะถูกแย่งชิง แม้แต่แก่นแท้ของธาตุทั้งห้าของพวกมันก็ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายของเฉินซี เพียงไม่กี่อึดใจถัดมา สัตว์อสูรของธาตุทั้งห้านับพันตัวก็ตายตกอย่างอนาถ
อย่างไรก็ตาม สัตว์อสูรเหล่านี้ดุร้าย โหดเหี้ยม และไม่มีสติปัญญาเลยแม้แต่น้อย พวกมันดูเหมือนเกิดมาเพื่อฆ่าฟันเท่านั้นและไม่รู้ว่าความหวาดกลัวและการหลบหนีคือสิ่งใด พวกมันยังคงถาโถมเข้ามาทีละตัว ทำให้แม้แต่หลิงไป๋เองก็ยังทนไม่ได้
นี่เป็นการสังหารหมู่อย่างแท้จริง!
หากเป็นคนธรรมดา คนคนนั้นคงหวาดกลัวจนปัสสาวะราดและหนีไปนานแล้ว แต่สัตว์อสูรเหล่านี้ดูเหมือนมีจะมีแค่สัญชาตญาณเดียวและทยอยเข้ามาตายอย่างโง่เขลา ทำให้พวกมันดูทั้งน่าหัวเราะและน่าสมเพช
ด้วยเหตุนี้ ระเบียนแดนมรณะจึงค่อย ๆ ปลุกความแข็งแกร่งของมัน ส่วนเฉินซีก็ค่อย ๆ พัฒนาการบ่มเพาะแปรสภาพร่างกายของเขาในทำนองเดียวกัน พวกเขาดูเหมือนกำลังแข่งขันกันอยู่ และไม่มีใครเต็มใจที่จะถูกอีกฝ่ายแซงหน้าไป
กล่าวตามตรงแล้ว เฉินซีได้รับผลประโยชน์มากมายจริง ๆ เนื่องจากระเบียนแดนมรณะยังคงปล่อยพลังงานออกมาเพื่อสังหารสัตว์อสูร ในขณะที่ต้องคอยระวังให้แน่ใจว่า ระเบียนแดนมรณะจะไม่สลัดเขาทิ้ง ก่อนที่จะสามารถนั่งเฉย ๆ และเพลิดเพลินไปกับผลลัพธ์จากการทำงานของระเบียนแดนมรณะ เขาดูดซับแก่นแท้ของธาตุทั้งห้าในบริเวณโดยรอบอย่างไม่หยุดยั้ง และแปลงพวกมันเป็นปราณจ้าววิญญาณของตนเอง
เมื่อเวลาผ่านไป สภาพจิตใจของเฉินซีก็ค่อย ๆ กลับคืนสู่ความสงบ แม้ว่าเขาจะไม่สามารถสยบระเบียนแดนมรณะได้ชั่วคราว แต่เขาก็ไม่ต้องกังวลว่ามันจะหลุดออกจากการควบคุมของเขา
ดังนั้น เขาจึงจดจ่ออยู่กับอักขระจ้าววิญญาณแทน แต่ทันใดนั้น เขาก็สังเกตเห็นว่าในช่วงเวลาสั้น ๆ อักขระจ้าววิญญาณทั้งห้าที่เป็นตัวแทนของธาตุทั้งห้า ได้พัฒนาเป็นแก่นดาราสีแดงเข้ม สีน้ำเงิน สีเหลือง สีฟ้าและสีทอง พวกมันทั้งบริสุทธิ์ ใสสะอาด โปร่งแสงเหมือนแก้ว และเปล่งแสงดาวที่พร่างพราวออกมาราวกับเมฆหมอก
แม้จะนิยามว่าเขาได้ก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด แต่มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะอธิบายถึงความเร็วในการบ่มเพาะของเขาทั้งหมดในตอนนี้ เนื่องจากมันเทียบได้กับการบ่มเพาะอย่างลำบากตลอดหลายปี และอาจถือได้ว่าความเร็วในการพัฒนาเช่นนี้สามารถเขย่าโลกแห่งการบ่มเพาะให้สั่นสะเทือน
ภายใต้ความเร็วในการบ่มเพาะที่เกินจินตนาการของเขา แก่นดาราทั้งห้าก็อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์อย่างรวดเร็ว
ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้ แก่นแท้ของธาตุทั้งห้าที่ถูกดูดซับอย่างต่อเนื่องนั้นได้รับการชักนำจากเฉินซีให้ไปบรรจบกันที่ธุลีโกลาหล ซึ่งสถิตอยู่ภายในอักขระจ้าววิญญาณแห่งดาราปฐพีที่ห้า และด้วยการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย พวกมันก็ถูกเปลี่ยนเป็นปราณหยินและปราณหยางที่หลั่งไหลเข้าสู่อักขระจ้าววิญญาณของเขา
ผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป แก่นดาราได้ถูกควบแน่นอยู่ภายในอักขระจ้าววิญญาณแห่งมหาหยินเช่นกัน และมันก็เป็นสีดำสนิทราวกับไข่มุกดำที่ไม่มีสิ่งเจือปนเลยแม้แต่น้อย ช่างสะอาดและใสบริสุทธิ์
หลังจากนั้น เฉินซีก็เริ่มทะลวงเข้าสู่การควบแน่นของแก่นดาราภายในอักขระจ้าววิญญาณแห่งมหาหยาง…
…
เหตุการณ์แปลกประหลาดปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าของซากปรักหักพังห้าธาตุ
ท่ามกลางสัตว์อสูรที่มีจำนวนนับไม่ถ้วนเสมือนกับมหาสมุทรที่ไร้ขอบเขต มีเงาร่างหนึ่งทะยานผ่านไปรอบ ๆ อย่างไร้จุดหมายราวกับสายลมและสายฟ้า แต่เงาร่างนี้ก็คล้ายกับว่าวที่ป่านขาดจนควบคุมไม่ได้อยู่เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม หากเพ่งมองดูดี ๆ ภายในทะเลสัตว์อสูร ทุกที่ที่เขาผ่านไป สัตว์อสูรจำนวนมากจะถูกกำจัดและหายไป ทำให้เงาร่างนี้ดูเหมือนชาวนาที่แกว่งจอบเสียมเพื่อไถนา และฝูงสัตว์อสูรที่อยู่กันอย่างหนาแน่นก็ถูกไถอย่างดุเดือดจนเกิดเป็นรอยแยกจำนวนมากโดยเงาร่างนี้ ดังนั้นจึงทำให้ผู้พบเห็นต่างก็รู้หวาดกลัว
พละกำลังของเขาจะน่าสะพรึงกลัวถึงเพียงใด? ถึงสามารถบดขยี้สัตว์อสูรได้อย่างตามใจต้องการขณะเคลื่อนตัวไปมาในฝูงสัตว์อสูรที่อยู่กันอย่างหนาแน่น ราวกับเขากำลังเคลื่อนผ่านท้องฟ้าอันว่างเปล่า…
“เอ๊ะ! นั่นมันเจ้าเด็กขอบเขตเคหาทองคำนี่ มันยังมีชีวิตรอดอยู่อีกหรือ! แล้วพี่น้องสกุลเถิงหายไปไหนแล้ว? หรือว่าพวกเขาถูกเจ้าเด็กนี่ฆ่าตายไปแล้ว?” ดวงตาของหวงฝู่ฉงหมิงหรี่ลง ขณะที่เขาสังเกตเห็นได้ราง ๆ ว่า ร่างที่มองเห็นได้อย่างเลือนรางภายในฝูงสัตว์อสูรนั้นคือเฉินซีอย่างแน่นอน
“เป็นไปไม่ได้ ฐานการบ่มเพาะของเขาแค่ขอบเขตเคหาทองคำเท่านั้น ในขณะที่เศษเดนจากนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตทั้งสองคนนั้นมีฐานการบ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง บางทีพวกเขาอาจถูกฆ่าโดยสัตว์อสูรเหล่านั้น” หลินโม่เซวียนส่ายศีรษะ ในใจของเขาเฉินซีเป็นเพียงมดปลวกตัวเล็ก ๆ ที่แจกจ่ายได้ ดังนั้นเขาจึงไม่เชื่อว่ามดตัวนี้จะสามารถข้ามขอบเขตเพื่อฆ่าพี่น้องเถิงได้อย่างไร
“แล้วทำไมพี่เถิงถึงตาย แต่เขากลับยังมีชีวิตอยู่? ยิ่งกว่านั้น ดูสิ ท่าทางเขาจะไม่กลัวสัตว์อสูรเหล่านั้นเลย นอกจากนี้ สัตว์อสูรเหล่านั้นกลับล้มตายลงด้วยมือของเขาทีละตัว ๆ แทน” เซียวหลิงเอ๋อร์กล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว นางไม่อยากจะเชื่อว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริงเช่นกัน ท้ายที่สุดแล้ว ไม่มีใครในโลกนี้ที่เต็มใจจะเห็นคนไร้ค่าเติบโตไปเป็นตัวตนที่เท่าเทียมกับพวกเขาได้ ความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เป็นสิ่งที่เซียวหลิงเอ๋อร์ไม่สามารถยอมรับได้ในชั่วขณะหนึ่ง
“ไม่! นั่นไม่ใช่ความแข็งแกร่งของเขา แต่เป็นความแข็งแกร่งของสมบัติวิเศษที่เขาถืออยู่ต่างหาก!” หวงฝู่ฉงหมิงดูเหมือนจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างออก และร่างกายของเขาก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง ในขณะที่ดวงตาของเขาเผยให้เห็นความโลภที่แผดเผา “ช่างเป็นสมบัติวิเศษที่ชาญฉลาดเสียจริง! และเห็นได้ชัดว่ามันยังไม่ได้ถูกสยบโดยเจ้าเด็กคนนี้ เอ๊ะ สิ่งนี้มัน… หรือว่าเป็นสมบัติอมตะ? เพราะมีเพียงสมบัติอมตะเท่านั้นที่จะมีจิตวิญญาณเป็นของตัวเอง…”
“สมบัติอมตะ?” หลินโม่เซวียนและคนอื่น ๆ ก็มีสีหน้าตกตะลึงเช่นกัน และพวกเขาก็เพ่งมองไปยังฝูงสัตว์อสูรด้วยพลังทั้งหมดที่มี
ในอีกด้านหนึ่ง ชิงซิ่วอี้ได้เห็นร่างของเฉินซีอย่างชัดเจนแล้ว และนางก็เห็นหน้าตาของเขาเช่นกัน นางจึงนึกขึ้นได้ทันทีว่าเคยเห็นคนผู้นี้ในหอแสดงกระบี่ของหอขุมทรัพย์สวรรค์ครั้งหนึ่ง
“เซวี่ยเฉิน คนผู้นี้คือคนที่แย่งแก่นภายในของค้างคาวมังกรโลหิตหกปีกของเจ้าหรือไม่” จู่ ๆ ชิงซิ่วอี้ก็กล่าวออกมา น้ำเสียงของนางใสเหมือนน้ำพุในป่า แต่กลับไม่มีร่องรอยของความรู้สึกใด ๆ
“หืม?” เซวี่ยเฉินที่อยู่ใกล้เคียงจ้องมองนางด้วยตาที่เบิกกว้างและกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้วว่า “ดูเหมือนว่าจะเป็นเด็กคนนั้น”
“แล้วไปเถอะ ตราบใดที่เป็นเขา พลังของสมบัติวิเศษในมือเขานั้นยิ่งใหญ่มาก และมันยังไม่ได้ถูกพิชิตโดยเขา ดังนั้นข้าจะไปยึดมันในภายหลัง และถือได้ว่าเป็นตาต่อตาที่เขาแย่งชิงแก่นภายในไป” ชิงซิ่วอี้ พยักหน้าและกล่าวอย่างเฉยเมย ราวกับนางกำลังกล่าวถึงสิ่งที่ไม่ธรรมดาและไม่สำคัญอีกต่อไป