บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 241 สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ซวนหนี
บทที่ 241 สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ซวนหนี
อักขระยันต์โบราณเก้าตัวที่ส่องแสงเป็นประกายสีทองปรากฏขึ้นบนพื้นผิวของศิลาทดสอบเต๋า และรายชื่อของเก้าอันดับแรกในการทดสอบครั้งที่สองก็ปรากฏขึ้นพร้อมกัน โดยเรียงลำดับจากบนลงล่าง
สิ่งที่ทำให้ทุกคนตกใจก็คือไม่ใช่เจิ้นหลิวชิงที่อยู่ในอันดับแรก แต่เป็นชื่อของเฉินซีผู้มาทีหลังแทน!
มีเพียงเจิ้นหลิวชิงเท่านั้นที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แม้ว่านางจะครอบครองเต๋ารู้แจ้งอยู่สิบหกประเภทเช่นกัน แต่ในบรรดาเต๋ารู้แจ้งทั้งสิบหกประเภทนี้ มีมหาเต๋าเพียงสามประเภทเท่านั้น ซึ่งยังห่างไกลจากเฉินซีที่ครอบครองมหาเต๋าถึงเจ็ดประเภท
เมื่อจำนวนเต๋ารู้แจ้งเท่ากันก็จะเป็นการแข่งขันเชิงคุณภาพแทน
อย่างที่ทุกคนรู้ เฉินซีได้ครองครองมหาเต๋าเจ็ดประเภทเพราะเขาเคยเผยพวกมันออกมา แต่เต๋ารู้แจ้งอีกเก้าประเภทที่เฉินซีครอบครองที่เหลือนั้นไม่มีผู้ใดทราบว่าพวกมันเป็นมหาเต๋าหรือเต๋ารอง พวกมันจึงกลายเป็นเรื่องลึกลับอย่างที่สุด
แต่ไม่ว่าอย่างไร มันก็เป็นความจริงที่เถียงไม่ได้ว่าเฉินซีได้ก้าวกระโดดขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งในตอนนี้ และไม่มีใครสามารถลบล้างผลลัพธ์นี้ได้
เฉินซีซึ่งยืนอยู่ด้านหลังของฝูงชนไม่ได้รู้สึกยินดีมากนักเมื่อเห็นชื่อของตัวเองอยู่ในอันดับต้น ๆ เนื่องจากผู้ที่โดดเด่นมักจะต้องถูกเพ่งเล็ง โดยเฉพาะเมื่อความแข็งแกร่งของเขาไม่สามารถสยบทุกคนที่อยู่ที่นี่ได้ มันจึงทำให้ก่อปัญหาที่เขาไม่ต้องการได้ง่าย
เฉินซีได้อันดับที่หนึ่ง เจิ้นหลิวชิงได้อันดับที่สอง และผู้บ่มเพาะที่อยู่ในอันดับที่สามถึงเก้า ได้แก่ หวงฝู่ฉงหมิง เยว่ฉี หลิวเฟิ่งฉือ หม่านหง อันเชี่ยนอวี้ หวังเต้าซวี่ และเซียวหลิงเอ๋อร์
หลินโม่เซวียนและเผยจงที่ได้อันดับเก้าก็ถูกเขี่ยออกจากการจัดอันดับ เนื่องจากการปรากฏตัวของเยว่ฉีและเฉินซี กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ทั้งสองคนได้สูญเสียโอกาสที่จะได้รับโอสถทิพย์กำเนิดเต๋าไปแล้ว
คนหนึ่งคือศิษย์สายหลักของนิกายสวรรค์ปฐพีที่มีฐานการบ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ส่วนอีกคนมาจากนิกายกระเรียนพิสุทธิ์ ทั้งคู่รั้งอยู่ในอันดับที่เก้าอย่างมั่นคงได้พักใหญ่กลับถูกแซงหน้าโดยผู้มาทีหลังและถูกเขี่ยออกจากการจัดอันดับ ดังนั้นอันดับที่แปรเปลี่ยนไปอย่างมาก ทำให้คนทั้งสองแทบกระอักเลือดด้วยความหดหู่ใจ
เมื่อผู้คนที่อยู่รอบ ๆ เห็นภาพนี้ พวกเขาต่างก็ส่ายหัวด้วยความเห็นใจและถอนหายใจให้กับคนทั้งสอง ความรู้สึกที่ได้รับก่อนที่จะสูญเสียนี้ สามารถทรมานคนให้คลุ้มคลั่งได้
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ทันใดนั้น แสงหลากสีเก้าดวงที่เปล่งประกายออกมาอย่างอลังการ พุ่งผ่านท้องฟ้าขณะที่พวกมันปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วภายในห้องโถง ราวกับมังกรศักดิ์สิทธิ์เก้าตัวที่ลงมายังโลก มันเปล่งรัศมีอันน่าสะพรึงกลัวออกมา
แสงหลากสีทอประกายเหนือร่างของเฉินซีและคนอื่น ๆ ที่เป็นผู้มีรายชื่ออยู่ในเก้าอันดับแรก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นโอสถขนาดกำปั้นที่โปร่งแสงประหนึ่งผลึกแก้ว และหมุนวนอย่างต่อเนื่องอยู่เหนือร่างของพวกเขา
โอสถนี้มีอักขระเต๋าลึกลับที่ยากจะหยั่งถึงมากมายปรากฏขึ้นบนพื้นผิวของมัน อีกทั้งยังมีโซ่สีทองที่เหมือนเส้นไหมจำนวนมากถักทอเข้าด้วยกันจนเกิดเป็นรูปแบบคล้ายตาข่ายที่ลึกซึ้งและซับซ้อน ตาข่ายนี้เป็นเหมือนกรงเทพที่ไม่อาจล่วงละเมิดซึ่งระงับสภาพของโอสถ และปล่อยมวลพลังของกฎเกณฑ์ที่มีเฉพาะสำหรับเซียนสวรรค์
เฉินซีสังเกตได้อย่างรวดเร็วว่าโซ่ทองที่อยู่รอบ ๆ โอสถนั้นเป็นมวลพลังของกฎที่เซียนสวรรค์เท่านั้นจึงจะมีได้ มันดูคล้ายกับวัตถุที่สามารถจับต้อง มีอำนาจในการสกัดเต๋ารู้แจ้งและกักขังมันไว้ในโอสถ เป็นอำนาจอันยอดเยี่ยมที่เหนือโชคชะตาอย่างแท้จริง
เห็นได้ชัดว่าโอสถทั้งเก้านี้คือโอสถทิพย์กำเนิดเต๋า ซึ่งเป็นโอสถทิพย์ในตำนานที่ช่วยให้เข้าใจเต๋ารู้แจ้งประเภทหนึ่งได้ในทันที หลังจากกินมันเข้าไป!
ในโลกของการบ่มเพาะในปัจจุบัน การปรากฏของโอสถทิพย์กำเนิดเต๋าทุกเม็ดในโลกจะทำให้เกิดการนองเลือดครั้งใหญ่ และอาจกล่าวได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่ทุกคนล้วนใฝ่ฝันถึง
เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นเป็นเพราะโอสถทิพย์กำเนิดเต๋านั้นหายากเกินไป และสรรพคุณของมันก็ท้าทายสวรรค์เกินไป
โอสถชนิดนี้สามารถสกัดได้โดยเซียนสวรรค์ที่ทรงพลังเท่านั้น พวกเขาได้ผนึกเต๋ารู้แจ้งที่ตนเองเข้าใจเอาไว้ในโอสถ เต๋ารู้แจ้งหนึ่งประเภทสามารถสกัดเป็นโอสถได้เพียงหนึ่งเม็ดเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น มันยังต้องใช้แก่นโลหิตของเซียนสวรรค์ในการหลอมสร้างด้วยเช่นกัน ดังนั้นการหลอมโอสถทิพย์กำเนิดเต๋าแต่ละเม็ดนั้นหมายถึงว่าเซียนสวรรค์ผู้นั้นต้องจ่ายค่าตอบแทนที่มีมูลค่าสูง
เว้นเสียแต่จะอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ธรรมดา มิฉะนั้น จะไม่มีเซียนสวรรค์คนใดเต็มใจที่จะหลอมโอสถทิพย์กำเนิดเต๋าด้วยเต๋ารู้แจ้งและแก่นโลหิตของพวกเขา
“โอสถทิพย์กำเนิดเต๋าทั้งเก้าเม็ดนี้ เป็นตัวแทนของมหาเต๋าสามประเภทและเต๋ารองหกประเภทที่ข้าครอบครองเมื่อครั้งเป็นเซียนสวรรค์ จงรับรางวัลเหล่านี้ไปซะ…” ทันทีที่โอสถทิพย์กำเนิดเต๋าทั้งเก้าเม็ดปรากฏขึ้น น้ำเสียงที่ให้ความรู้สึกเก่าแก่ก็ดังออกมาในลักษณะที่ไม่เร่งรีบ และมันดังก้องอยู่ในห้องโถงเป็นเวลานานก่อนจะสลายไป
“มหาเต๋าสามประเภทและเต๋ารองอีกหกประเภท? ดูเหมือนว่ามีเพียงสามอันดับแรกเท่านั้นที่จะสามารถได้รับโอสถทิพย์กำเนิดเต๋าที่บรรจุมหาเต๋า ส่วนอีกหกคนที่เหลือจะได้รับโอสถทิพย์กำเนิดเต๋าที่บรรจุเต๋ารองเท่านั้น” ทุกคนล้วนเข้าใจได้ในทันที และสายตาที่พวกเขาจ้องมองไปที่เฉินซี เจิ้นหลิวชิง และหวงฝู่ฉงหมิงเผยให้เห็นถึงความอิจฉาและความอยากรู้อยากเห็น พวกเขาต้องการรู้ว่าโอสถทิพย์กำเนิดเต๋าทั้งสามนี้บรรจุมหาเต๋าประเภทใดอยู่
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มสามอันดับแรก หรืออีกหกคนที่อยู่อันดับรองลงมา พวกเขาล้วนหยิบกล่องหยกอย่างระมัดระวังและเก็บโอสถทิพย์กำเนิดเต๋าลงในคลังสมบัติมิติทันที พวกเขาไม่ได้กลืนโอสถเหล่านี้โดยตรง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้คนอื่น ๆ ไม่สามารถรู้ได้เลยว่ามีเต๋ารู้แจ้งประเภทใดถูกบรรจุอยู่ในโอสถทิพย์กำเนิดเต๋าทั้งเก้าเม็ด
หลังจากที่เฉินซีเก็บโอสถทิพย์กำเนิดเต๋า ความรู้สึกแปลกประหลาดก็ปรากฏขึ้นในใจ เพราะขณะที่เขากำลังเก็บโอสถก่อนหน้านี้ เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าเต๋ารู้แจ้งที่บรรจุอยู่ภายในโอสถนั้นเป็นมหาเต๋าแห่งปฐพี…
‘สวรรค์ ท่านกำลังเล่นตลกกับข้าเหรอ!’ แม้ว่าเฉินซีจะสงบนิ่ง แต่เขาก็ยังรู้สึกพูดไม่ออกไปชั่วขณะ และเกือบจะสบถออกไป เนื่องจากเขาได้ครอบครองเต๋าแห่งปฐพีมานานแล้ว และโอสถทิพย์กำเนิดเต๋านี้ก็ไม่มีประโยชน์ใด ๆ สำหรับเขาเลย!
‘แม้ว่าข้าได้อันดับที่หนึ่ง แต่กลับได้สิ่งที่ไร้ประโยชน์นี้มา และตกเป็นเป้าหมายของทุกคนแทน มันทำให้ข้าตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก ข้าสงสัยว่าเจ้าของขุมสมบัตินี้จงใจทำเช่นนี้หรือเป็นการกระทำที่ไม่ได้ตั้งใจ?’ เฉินซีลอบถอนหายใจ แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เขาก็ทำได้เพียงต้องยอมรับผลที่ออกมา
โชคดีที่โอสถทิพย์กำเนิดเต๋านี้ยังไม่ได้ถูกกินเข้าไป และเขาสามารถมอบให้หลิงไป๋หรือเฉินฮ่าวในภายหลังได้
‘ช่างมันเถอะ จำนวนของเต๋ารู้แจ้งนั้นไม่สามารถตัดสินความแข็งแกร่งในการต่อสู้ได้ มันเป็นเพียงการแสดงความรอบรู้ที่มีต่อเต๋าแห่งสวรรค์ของคนคนหนึ่งเท่านั้น ส่วนผู้ที่ครอบครองยังจำเป็นต้องทุ่มเทบ่มเพาะอย่างยากลำบาก เพื่อที่จะเปลี่ยนมันให้เป็นความแข็งแกร่งของตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น ความเข้าใจเกี่ยวกับเต๋าไม่ใช่เรื่องยากสำหรับข้า ดังนั้นข้าจึงไม่ต้องรู้สึกหดหู่เกินไป’ เฉินซีไตร่ตรองและพิจารณาอย่างไม่รู้จบในใจของเขา
ครืนนน! ครืนนนนน!
ทันใดนั้น ห้องโถงก็เริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงราวกับว่าสวรรค์กำลังพังทลายและแผ่นดินแตกเป็นเสี่ยง ๆ กำแพงที่ตกแต่งอย่างสวยงามแต่เดิมกลับพังทลายลงอย่างแรง ก่อนที่ทุกคนจะรู้สึกว่าการมองเห็นของพวกเขากลายเป็นสีดำ ในช่วงเวลาต่อมา ทุกคนก็ได้มาถึงถิ่นทุรกันดารแล้ว
ถิ่นทุรกันดารแห่งนี้กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต มีหมู่ดาวลอยอยู่เหนือท้องฟ้า พื้นดินถูกปกคลุมด้วยหญ้า แต่กลับไม่มีลมพัดผ่านใด ๆ และไม่มีกลิ่นอายของสิ่งมีชีวิตเลยแม้แต่น้อย ทำให้มันดูหนาวเย็นและรกร้างสุดขีด
เมื่อถูกเคลื่อนย้ายจากห้องโถงมายังที่แห่งนี้ในชั่วพริบตา ทุกคนต่างรู้สึกกระวนกระวายและไม่สบายใจ แต่หลังจากสำรวจบริเวณโดยรอบและพบว่าไม่มีอันตรายใด ๆ พวกเขาจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“มีสมบัติล้ำค่าที่ข้าเหลือทิ้งไว้ในบททดสอบที่สาม และมันถูกปกป้องโดยวิญญาณของสัตว์เทวะซวนหนี ผู้ที่อ่อนแอไม่ควรมุ่งไปข้างหน้า มิฉะนั้น ก็อย่าได้โทษข้าที่ไม่เตือนหากพวกเจ้าจะต้องพินาศไป” น้ำเสียงเก่าแก่ดังก้องอีกครั้งในถิ่นทุรกันดารอันกว้างใหญ่นี้
“หยกจะถูกมอบให้กับผู้ที่มีชื่อเสียงอย่างแท้จริง เหมือนกับที่สมบัติจะถูกมอบให้กับผู้ที่โชคชะตากำหนด หากผ่านไปหนึ่งเค่อแล้วยังไม่มีผู้ใดได้รับสมบัติ ห้องโถงนี้จะตกอยู่ในความเงียบชั่วนิรันดร์ ในขณะที่พวกเจ้าทุกคนจะถูกส่งตัวออกไปยังโลกภายนอก ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ และหากพวกเจ้าได้รับสมบัตินี้ มันก็แสดงว่าพวกเจ้ามีชะตาต้องกันกับตำหนักเต๋าสวรรค์ของข้า และข้าจะไม่คิดเสียใจอีกต่อไป…”
“สมบัติล้ำค่า?”
เพียงสี่คำนี้ก็เผยให้เห็นถึงการเย้ายวนที่ไม่อาจต้านทานได้ ทำให้ทุกคนเข้าสู่ความโกลาหลในทันที พวกเขาล้วนตื่นเต้นจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้ ดวงตาของพวกเขาเผยให้เห็นถึงความดุร้าย ขณะที่พวกเขากวาดสายตาไปรอบ ๆ ราวกับกำลังเตือนคนอื่น ๆ ว่าอย่าได้แข่งขันกับตนเอง
“โฮกกกกก!” เสียงคำรามดุร้ายดังขึ้นจากที่ห่างไกลสุดขอบฟ้า มันทะลวงผ่านเหล็กและทำให้ก้อนหินแตกเป็นเสี่ยง ๆ ส่งผลให้ทุ่งหญ้าเกิดเสียงกรอบแกรบและสั่นสะเทือน
ขณะที่ฟ้าและดินทั้งหมดสั่นสะท้านไปพร้อมกับเสียงคำราม ทันใดนั้นทุกคนก็เห็นสัตว์ดุร้ายขนาดมหึมาที่ครอบครองรูปร่างของมนุษย์ปรากฏขึ้นที่ขอบฟ้า มันสูงราวร้อยยี่สิบจั้งและใหญ่ราวกับภูเขา ขนสีทองบนตัวของมันเปล่งประกายแวววาว และบนขนเหล่านั้นเหมือนจะมีอักขระเต๋าลึกลับประทับอยู่นับไม่ถ้วน ดวงตาของมันดูเหมือนพระจันทร์สีเลือดสองดวง อีกทั้งยังมีกลิ่นอายที่ดุร้ายอย่างมหาศาล
ทันทีที่สัตว์ร้ายตัวนี้ปรากฏตัว มันก็เหมือนกับราชาปีศาจที่ไร้เทียมทานได้จุติลงมายังโลก ในขณะที่มันคำรามขึ้นไปยังท้องฟ้า กลิ่นอันดุร้ายและน่าสะพรึงกลัวที่แผดเผาของมัน ทำให้ถิ่นทุรกันดารแห่งนี้ตกอยู่ในความเงียบสงัด แม้แต่ปราณวิญญาณที่อยู่รอบบริเวณก็ยังต้องเตลิดหนีไปทุกทิศทุกทางพร้อมกับเสียงโครมคราม ก่อนจะคร่ำครวญและกลับคืนสู่สภาวะที่สงบนิ่งเช่นเดิม
ทุกคนล้วนรู้สึกหายใจไม่ออก เมื่อคลื่นลมพายุที่ไร้ขอบเขตเกิดขึ้นภายในใจของพวกเขาอย่างฉับพลัน
ซวนหนี!
สัตว์ศักดิ์สิทธ์ดุร้ายที่น่าสะพรึงกลัวที่ครอบครองพลังมหาศาลแห่งยุคบรรพกาล!
แม้ว่าพวกเขาจะรู้ดีว่า สัตว์ร้ายที่อยู่ในระยะไกลนั้นเป็นเพียงเศษเสี้ยวของจิตวิญญาณของซวนหนี แต่กลิ่นอายดุร้ายที่ปล่อยออกมาจากร่างกายของมันไม่ได้ด้อยกว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่มันยืนอยู่ตรงนั้นจากระยะไกล ก็สามารถทำให้ทุกคนรู้สึกว่ามันไม่อาจสั่นคลอนได้และพวกเขาเปรียบเหมือนเป็นมดตัวน้อยที่ไร้ค่าอยู่ในหัวใจของพวกเขา
ที่ด้านหลังร่างมหึมาของซวนหนี คือแท่นหยกสูงราวร้อยยี่สิบจั้งที่คล้ายกับถูกสร้างขึ้นโดยบรรพชนในยุคบรรพกาล เพื่อบูชาเทพเจ้าและบรรพบุรุษ นอกจากนี้ แท่นนี้เปล่งยังแสงสีฟ้าหมอกออกมา และแสงสีฟ้าก็ถูกควบแน่นเป็นดวงอาทิตย์ที่ด้านบนของแท่น ดวงอาทิตย์เปล่งแสงเจิดจ้าสาดส่องไปทั่วโลก ราวกับเป็นสมบัติล้ำค่าแห่งสวรรค์และโลกกำลังได้รับการพัฒนาอยู่ที่นั่น
ทุกคนไม่จำเป็นต้องคาดเดา ก็ทราบว่ามันคือสมบัติล้ำค่าที่เจ้าของขุมสมบัติกล่าวถึงอย่างแน่นอน
“โฮก!” ในขณะนี้ ซวนหนีคำรามอีกครั้งด้วยพลังอันดุร้ายที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ดวงตาที่ดูเหมือนพระจันทร์สีเลือดพุ่งตรงมายังพวกเขา และสายตาของมันราวกับสายฟ้าสีเลือดที่พาดผ่านท้องฟ้าและลงมายังพวกเขา ทำให้ทุกคนรู้สึกว่าหนาวสะท้านไปยังกระดูกสันหลังจากการถูกมันจ้องมอง และความหวาดกลัวที่ไม่สามารถควบคุมได้ก็ปรากฏขึ้นจากในหัวใจของพวกเขา
‘มันช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก!’
ผู้ที่มีระดับการบ่มเพาะที่สูงที่สุดในหมู่พวกเขาอยู่ที่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์เท่านั้น ดังนั้นเมื่อเผชิญกับสัตว์ร้ายจากยุคบรรพกาลที่มีระดับการบ่มเพาะที่เหนือกว่าพวกเขาถึงสองขอบเขต พวกเขาจึงไม่มีความมั่นใจที่จะชนะได้เลยแม้แต่น้อย
พวกเขาตระหนักได้อย่างลึกซึ้งว่า เมื่อเทียบกับบททดสอบทั้งสองก่อนหน้านี้ นี่คือการทดสอบที่แท้จริงของชีวิตและความตาย!
“ซวนหนียืนอยู่ที่ด้านข้างแท่นสูงนั้นโดยไม่ขยับออกไปแม้แต่นิดเดียว พวกเราก็เหมือนมดที่ไม่มีโอกาสชนะแม้แต่น้อยเมื่อเผชิญหน้ากับมัน แล้วเราจะได้สมบัติอันล้ำค่ามาได้อย่างไร?” มีใครบางคนคร่ำครวญด้วยสีหน้าที่ไม่น่าดู
“แม้ซวนหนีตัวนี้เป็นเพียงเศษเสี้ยวของจิตวิญญาณ แต่ความแข็งแกร่งของมันเทียบได้กับผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพี มันไม่ต่างจากเหวตามธรรมชาติที่เราไม่สามารถก้าวข้ามไปได้ แต่ข้าจะไม่ยอมแพ้เช่นนี้ การกลับไปมือเปล่าไม่ใช่นิสัยของข้า อย่างไรข้าก็ต้องลองสักตั้ง!” พวกเขาบางคนยังคงดื้อรั้นและยืนกรานอย่างเด็ดเดี่ยว
“ใช่แล้ว ชีวิตและความตายล้วนผูกพันกับโชคชะตา และโชคลาภย่อมได้มาจากภัยอันตราย เราจะรู้ได้อย่างไรว่าซวนหนีนั้นจะแน่สักเท่าใดหากเราไม่ลองดูเสียก่อน? บางทีนี่อาจเป็นเพียงการทดสอบความกล้าหาญของเจ้าของขุมสมบัติเท่านั้น?” ดวงตาของบางคนสั่นไหวขณะที่เขาครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง ก่อนจะกล่าวออกมา
ไม่ว่าคนเหล่านี้จะพูดคุยกันอย่างมีชีวิตชีวาอย่างไร หวงฝู่ฉงหมิงและคนอื่น ๆ ก็เหลือบมองกันและกันราวกับเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ จากนั้นพวกเขาก็เดินไปหาเฉินซีโดยไม่มีใครสังเกตเห็น
หวงฝู่ฉงหมิง หลินโม่เซวียน และเซียวหลิงเอ๋อร์มาจากทิศตะวันออก หลิวเฟิ่งฉือและศิษย์เกาะฉลามมังกรทั้งสามคนที่อยู่ข้างหลังเขามาจากทางตะวันตก หม่านหงและศิษย์น้องชายทั้งสองคนมาจากทางเหนือ เผยจงและเซวี่ยเฉินจากนิกายกระเรียนพิสุทธิ์ทั้งสองคนมาจากทางใต้ พวกเขาทั้งหมดมาถึงข้างหลังของเฉินซีโดยพร้อมเพรียงกัน จนล้อมเป็นรูปพัดครึ่งวงกลมที่ล้อมรอบเฉินซีอยู่
พวกเขาเหลือเพียงเส้นทางข้างหน้าให้เฉินซี ซึ่งเส้นทางข้างหน้านี้คือการเผชิญหน้ากับซวนหนีซึ่งเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ดุร้ายจากยุคบรรพกาล
เห็นได้ชัดเจนว่า คนเหล่านี้ต้องการติดตามเฉินซีอย่างใกล้ชิดเพื่อที่จะได้ยึดสมบัติของเขาเมื่อเขาตายจากการเผชิญหน้ากับซวนหนี แต่ถ้าเฉินซีไม่ตาย พวกเขาก็สามารถบีบบังคับให้เขาไปตายได้!
สรุปแล้ว ในความคิดของหวงฝู่ฉงหมิงและคนอื่น ๆ สมบัติที่อยู่ในความครอบครองของเฉินซีนั้นมีความสำคัญพอ ๆ กันกับสมบัติที่ถูกปกปักษ์รักษาโดยซวนหนี พวกเขาไม่เต็มใจที่จะพลาดโอกาสในการทำลายล้างเฉินซีและยึดสมบัติของเขามา
ความสนใจของผู้คนในปัจจุบันถูกดึงดูดโดยซวนหนีที่อยู่ห่างไกลสุดขอบฟ้าและแท่นยกสูงที่อยู่ด้านหลังมัน มีคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สังเกตเห็นว่าสถานการณ์ทางฝั่งของเฉินซีได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
คนไม่กี่คนที่สังเกตเห็นได้แก่ เจิ้นหลิวชิง อันเชี่ยนอวี้ หวังเต้าซวี่ เยว่ฉี และอีกสองสามคน
เมื่อพวกเขาเห็นเฉินซีถูกล้อม พวกเขาแต่ละคนก็มีสีหน้าที่แตกต่างกัน แต่เนื่องจากหวงฝู่ฉงหมิงและคนอื่น ๆ มีจำนวนมาก จึงไม่มีใครกล้าสอดมือเข้าไปยุ่ง
เฉินซีดูราวกับว่าเขาคาดหวังสิ่งนี้มานานแล้ว และสีหน้าของเขาก็สงบยามที่เขายังคงนิ่งเงียบ
เนื่องจากเขาสังเกตเห็นว่าม่านป้องกันที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่ายังคงมีอยู่ในการทดสอบครั้งที่สามนี้ หวงฝู่ฉงหมิงและคนอื่น ๆ สามารถลงมือโจมตีซวนหนีได้เท่านั้น และไม่สามารถลงมือกับเขาได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อนึกถึงข้อจำกัดที่ดูน่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่งนี้อีกครั้ง เฉินซีก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมความสามารถในการสร้างม่านป้องกันของเจ้าของขุมสมบัติ
เพราะเหตุนี้เฉินซีจึงไม่ได้ใส่ใจการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์รอบกายของเขาเลย และเขายังคงจ้องมองไปยังซวนหนีที่อยู่ในระยะไกลอย่างแน่วแน่ ในขณะที่ความคิดไร้สาระได้เกิดขึ้นในใจของเขา ‘พวกมันทั้งคู่ล้วนเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในยุคบรรพกาล แต่เหตุใดไป๋คุยถึงเกิดมาเป็นตัวตะกละ แต่ซวนหนีกลับมีพลังมหาศาลขนาดนี้?’