บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 248 – การมาถึงของศัตรูที่น่ากลัว
บทที่ 248 – การมาถึงของศัตรูที่น่ากลัว
ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!
บนท้องฟ้าสีคราม มีประกายแสงนับสิบดวงทะยานผ่านท้องฟ้าจนเกิดเสียงหวีดหวิวอย่างรุนแรง จนมวลเมฆถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยราวกับเป็นปุยฝ้าย
ในเวลาไม่นาน ปรากฏภูเขาขนาดมหึมาสะท้อนอยู่ในแววตาของพวกเขา
“นายน้อย ดูสิ ภูเขาขนาดมหึมานี้คือเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือของดินแดนทางใต้ ว่ากันว่า ภูเขานี้อยู่โดดเดี่ยวจากโลกภายนอกและมีราชาปีศาจที่น่าสะพรึงกลัวมากมายอาศัยอยู่ภายในนั้น ข้าสงสัยนักว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่” หลิวเฟิ่งฉือชี้ไปที่แนวเทือกเขาที่อยู่ใต้เท้าขณะที่เขากล่าว
หวงฝู่ฉงหมิงไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้ สายตาของเขากวาดออกไปยังเมืองที่อยู่ตรงเชิงเขาและกล่าวว่า “ไอ้เจ้าเด็กบัดซบคนนั้นน่าจะซ่อนตัวอยู่ในเมืองนี้ ทว่าข้าสงสัยนัก มันหนีเอาตัวรอสามวันสามคืนติดต่อกัน เหตุใดมันไม่ถึงไม่หนีต่อไปอีก?”
“เราจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อเราเข้าไปในเมืองนั้น” หลิวเฟิ่งฉือกล่าว
หลังจากหวงฝู่ฉงหมิงหลังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงส่ายศรีษะและกล่าวว่า “ควรระวังไว้ดีกว่า เจ้าเด็กคนนี้ดูไม่ใช่คนโง่ และมันควรมีที่พึ่งในขณะที่ซ่อนตัวอยู่ในเมืองนี้ ดังนั้น เราต้องไม่ผิดผลาดในสิ่งที่เรามั่นใจ…”
“ฮืม?” ในขณะที่เขากำลังกล่าว หวงฝู่ฉงหมิงก็เงยหน้าขึ้นทันที และสายตาของเขาก็เหมือนสายฟ้าที่พุ่งตรงไปยังท้องฟ้าเหนือเมือง
เขาสังเกตุเห็นปราณกระบี่ที่ทรงพลังจำนวนนับไม่ถ้วน พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าขณะที่ตัดผ่านกันเหมือนสายรุ้ง จนเกิดเสียงคลื่นกระบี่ที่ดังก้องกังวาลมาจากที่ไกลออกไป
“ปราณกระบี่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าหรือ?”
“นั่นมันคือกระบี่ระดับปฐพีขั้นสูง! โอ๊ สวรรค์! แถมพวกมันยังมีตั้งหมื่นเล่มอีก!”
“เอ๊ะ หรือว่าเป็นเจ้าเฉินซี! ใช่แล้ว ต้องเป็นมันอย่างแน่นอน! วิชาเนตรกระจ่างที่ข้าฝึกฝนนั้น สามารถตรวจจับทุกสิ่งในระยะสองร้อยห้าสิบลี้ และข้าก็ไม่วันลืมไอเด็กคนนั้นได้ แม้ว่ามันร่างของมันจะกลายเป็นเถ้าถ่านก็ตาม!”
คนอื่น ๆ ก็สังเกตเห็นปรากฏการณ์ประหลาดในระยะไกลเช่นกัน และพวกเขาก็กล่าวออกมาด้วยความประหลาดใจและงุนงงทันที ยิ่งกว่านั้น หม่านหงเองก็ได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาเต๋าที่เรียกว่า วิชาเนตรกระจ่าง และเขาสามารถมองเห็นร่องรอยของเฉินซีได้ด้วยการมองเพียงครั้งเดียว
“บัดซบ! กระบี่ระดับปฐพีขั้นสูงเหล่านี้ จะต้องถูกเจ้าเด็กคนนั้นขโมยไปจากขุมสมบัติเฉียนหยวนอย่างแน่นอน และมันยังกล้าเอาออกมาใช้อีก มันกำลังรนหาที่ตายอย่างแท้จริง!” ดวงตาของหวงฝู่ฉงหมิง ส่องประกายด้วยความโลภที่ร้อนแรง จากนั้นเขาก็ตะโกนด้วยเสียงอันหนักหน่วง “ไปกันเถอะ! เราจะยึดสมบัติที่มันครอบครองอยู่ แล้วฉีกมันออกเป็นพัน ๆ ชิ้น!”
สมบัติวิเศษระดับปฐพีขั้นสูงเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งล้ำค่า แม้ว่าจะเป็นนิกายต่างๆ ที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาก็ตาม ถ้าพวกมันถูกซื้อขายในท้องตลาดก็จะมีมูลค่าที่น่าตกตะลึง และตราบใดที่มันปรากฏตัวขึ้น ก็จะทำให้ผู้คนต้องต่อสู้แย่งชิงกันอย่างบ้าคลั่ง เพื่อให้ได้มันมาครอบครอง
ในขณะนี้ เมื่อพวกเขาเห็นว่าเฉินซีได้ครอบครองสมบัติวิเศษระดับปฐพีขั้นสูงอยู่จริง ๆ แล้ว ไม่ใช่แค่ดวงตาของหวงฝู่ฉงหมิงเท่านั้นที่เปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโลภ แต่คนอื่น ๆ ก็เกิดความโลภจนไม่สามารถยับยั้งตัวเองได้เช่นกัน
กระบี่ระดับปฐพีขั้นสูงนับพันเล่ม! จำนวนมันมหาศาลยิ่งนัก!
เจ้าเด็กนี้มันขโมยสมบัติจากขุมสมบัติไปกี่ชิ้นกันแน่? นอกจากนี้ยังมีสมบัติล้ำค่าเช่นใดอีกนอกจากกระบี่เหล่านี้?
เมื่อพวกเขาคิดมาถึงตรงนี้ ทุกคนต่างก็ไม่สามารถยับยั้งแรงกระตุ้นในใจได้อีกต่อไป ทำให้ความอ่อนล้าที่สั่งสมมาหลายวันหายไปจนหมดสิ้น และพวกเขาต่างก็เปี่ยมไปด้วยพลังขณะที่พุ่งเข้าหาเมืองที่อยู่อันไกลโพ้น
ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!
ในขณะนี้ พวกเขาต่างก็พุ่งทะยานด้วยพลังที่มีอย่างเต็มที่ หวงฝู่ฉงหมิงและคนอื่น ๆ ได้ปล่อยกลิ่นอายออกมาโดยไม่มีการยับยั้งเลยแม้แต่น้อย แรงกดดันของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ได้แผ่ซ่านปกคลุมไปทั่วเมืองหมอกสน และทำให้ทั้งเมืองหมอกสนตกอยู่ในความตื่นตระหนกและวุ่นวายในทันที
นอกเหนือจาก เฉินซี, เฉินฮ่าว และเฟยเหลิ่งชุ่ย ฐานการบ่มเพาะระดับสูงสุดในเมืองหมอกสนทั้งหมดมีเพียงขอบเขตตำหนักอินทนิลเท่านั้น ดังนั้น เมื่อเผชิญหน้ากับกลิ่นอายของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ซึ่งเหนือกว่าพวกเขาสองระดับ พวกเขาก็เหมือนกับหนูที่เผชิญหน้ากับแมว ทำให้พวกเขารู้สึกตื่นตระหนก หวาดกลัว และไม่สบายใจ
“พวกคนเหล่านี้คือใครกัน?”
“เหตุใดพวกเขาถึงมีกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้?”
เมื่อมองไปที่ลำแสงนับสิบสายที่ทะยานผ่านเหนือศีรษะ ทุกคนในเมืองหมอกสนรู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัวและหอบหายใจแรง สิ่งนี่คือแรงกดดันที่เกิดจากความแตกต่างในการบ่มเพาะอย่างมาก และไม่สามารถต้านทานได้เลยแม้แต่น้อย
แต่นับว่าโชคดี พวกคนเหล่านี้แค่ทะยานผ่านไปและไม่ได้สร้างปัญหาให้พวกเขา จึงทำให้ผู้บ่มเพาะของเมืองหมอกสนถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นความอยากรู้อยากเห็นก็ผุดขึ้นในหัวใจของทุกคน “ยอดฝีมือเหล่านี้มาที่เมืองหมอกสนเพื่อเหตุใดกัน?”
ผู้บ่มเพาะบางคนที่มีสายตาเฉียบแหลม ก็สังเกตเห็นได้ทันทีว่าปลายทางของยอดฝีมือรุ่นเยาว์เหล่านั้นคือตระกูลเฉินจริง ๆ !
ในเวลาไม่นาน ผู้บ่มเพาะทั้งหมดของเมืองหมอกสน ก็ทราบถึงข่าวนี้ และพวกเขาก็ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดขณะที่พวกเขามองไปที่ตระกูลเฉิน
แม้ว่าตระกูลเฉินจะถูกสร้างขึ้นมาใหม่เพียงแค่ปีเดียว แต่ก็ไม่มีใครในเมืองหมอกสนกล้าดูถูก เนื่องจากเฉินฮ่าวซึ่งเป็นผู้นำตระกูลเฉิน และเฟยเหลิ่งชุ่ยผู้เป็นภรรยาของเขา คือศิษย์ชั้นยอดของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรที่มีอำนาจอันดับหนึ่งในดินแดนทางใต้ และการบ่มเพาะของพวกเขานั้นก็ไม่มีใครเทียบได้ จึงทำให้เขาผงาดขึ้นมาครอบงำเมืองหมอกสนทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้น ประกอบกับพี่ชายของเขาซึ่งคือเฉินซี ได้สาบานพี่เป็นพี่น้องกับผู้อาวุโสระดับสูงของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร อีกทั้งเฉินซีก็ยังฝีมือเก่งกล้าลึกล้ำ ด้วยความสามารถดังกล่าวนี้ เพียงพอที่จะบดขยี้ขุมพลังทั้งหมดของเมืองหมอกสนได้นับครั้งไม่ถ้วน
ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ ผู้คนในเมืองถึงกับคิดว่าเมืองหมอกสนในอนาคตจะถูกปกครองโดยตระกูลเฉินอย่างแน่นอน!
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ มียอดฝีมือรุ่นเยาว์กว่าสิบคนที่มีใบหน้าอำมหิต กำลังทะยานผ่านท้องฟ้าและพุ่งตรงไปยังตระกูลเฉิน และฉากนี้ได้ดึงดูดความอยากรู้อยากเห็นอย่างไร้ขอบเขตจากหัวใจของผู้บ่มเพาะทุกคนในเมืองหมอกสนทันทีที่เห็นฉากนี้
ในเมื่อพวกเขากล้าโจมตีตระกูลเฉิน แล้วขุมพลังที่น่าสะพรึงกลัวเช่นไหนกันที่อยู่เบื้องหลังยอดฝีมือรุ่นเยาว์เหล่านี้?
——
ค่ายกลกระบี่มหาปราณนั้นคู่ควรกับการเป็นเต๋าสวรรค์ของค่ายกลใหญ่คุ้มสำนัก เมื่อหลายปีก่อนนั้น เจตนาฆ่าอันเข้มข้นและวิธีการสร้างค่ายกลที่ซับซ้อนนั้น เป็นสิ่งที่เฉินซีไม่เคยพบเห็นในชีวิตของเขามาก่อน
เป็นเพราะเหตุนี้ ทุกขั้นตอนที่เขาได้ทำลงไป ทำให้เข้ารู้สึกว่าเลือดลมในร่างกายบางส่วนถูกเผาผลาญไปจนหมดสิ้น ถ้าไม่ใช่เพราะจิตวิญญาณของเขาที่แข็งแกร่งมาก เขาคงไม่สามารถยืนหยัดได้จนถึงตอนนี้อย่างแน่นอน
แต่สิ่งที่ร้ายแรงที่สุดก็คือ หลังจากที่เขากินโอสถหยกเหลวนภาเม็ดที่สองเข้าไป ร่างกายที่เดิมทีบาดเจ็บสาหัสอยู่แล้ว ก็ได้รับการบาดเจ็บสาหัสมากขึ้นอีกครั้ง ในขณะที่เขาวางค่ายกลอยู่นั้น ก็มีหลายครั้งที่เขาเกือบจะไม่สามารถระงับฤทธิ์ยาที่บ้าคลั่งภายในท้องทะเลแห่งลมปราณของเขาได้ ยิ่งไปกว่านั้น พลังชีวิตและเลือดของเขาก็ได้รับความทุกข์ทรมานจากปราณหักเห จนร่างแทบระเบิดจากการปะทุของลมปราณ
แต่โชคดีที่ค่ายกลกระบี่มหาปราณนั้น ขาดเพียงการสร้างรากฐานของค่ายกลก่อนที่มันจะเสร็จสมบูรณ์
รากฐานของค่ายกลนั้น ถือว่าเป็นแกนหลักของค่ายกล การสูญเสียมันไปจะทำให้ค่ายกลทั้งหมดคงอยู่เพียงรูปลักษณ์ภายนอก และมันจะไร้พลังอย่างสิ้นเชิง แต่สิ่งที่เฉินซีต้องทำคือใช้กระบี่ระดับปฐพีขั้นสูงเก้าเล่มในการวางผังอักขระยันต์ของรากฐานของค่ายกล จากนั้นใช้สิ่งนี้เพื่อเชื่อมโยงทุกชั้นของค่ายกลทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาตั้งใจจะวางรากฐานของการค่ายกล
ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!
เสียงหวีดหวิวของคลื่นอากาศที่ถูกฉีกออก ดังขึ้นในท้องฟ้าและกระจายไปทั่วอย่างรวดเร็ว และเสียงเหล่านี้ที่มาพร้อมกับกลุ่มของหวงฝู่ฉงหมิง
ดวงตาของเฉินซีหรี่ลง แต่การเคลื่อนไหวของเขาไม่ได้สั่นคลอนเลยแม้แต่น้อย ในขณะที่เขาหยิบกระบี่ระดับปฐพีขั้นสูุดยอดขึ้นมาและเริ่มใช้แก่นโลหิตของตัวเองเพื่อเขียนอักขระยันต์ที่หนาแน่นและลึกล้ำลงบนพื้นผิวของกระบี่
“เหตุใดเจ้าถึงไม่หนีไปเสีย ข้าผู้นี้เคยได้กล่าวไว้แล้วว่า ไม่ว่าเจ้าจะดิ้นรนอย่างไร สุดท้ายมันก็จะไร้ผลอยู่ดี ดังนั้น จงคุกเข่าลงและมอบสมบัติให้อย่างเชื่อฟัง แล้วข้าจะปราณีโดยการฆ่าเจ้าอย่างรวดเร็ว แต่หลังจากที่ทรมานเจ้าสักสิบปีเสียก่อน เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
หวงฝู่ฉงหมิงเอามือไพล่หลังในขณะที่เขาทะยานขึ้นไป และความรู้สึกดูถูกเหยียดหยามมากมายอดไม่ได้ที่จะเผยที่มุมปากของเขาในขณะที่เขามองไปที่ เฉินซีซึ่งหายใจอย่างไม่เป็นระเบียบและมีสีหน้าเหนื่อยล้าเสมือนต้นไม้เหี่ยวเฉา
เฉินซีไม่แม้แต่จะเหลือบมองเขาและแสร้งเป็นไม่ได้ยินหวงฝู่ฉงหมิง ในขณะที่เขาตั้งใจวางกระบี่ระดับปฐพีขั้นสุดยอดที่ได้รับการจารึกด้วยอักขระยันต์ในค่ายกล ก่อนที่จะึงดาบอีกเล่มและเริ่มจารึกอักขระยันต์
หลิวเฟิ่งฉือกวาดสายตามองไปรอบ ๆ และใบหน้าของเขาก็เคร่งขรึมทันที โดยเฉพาะเมื่อเขาเห็น เฉินซีจารึกกระบี่ด้วยแก่นโลหิต จากนั้นเขาก็ตะโกนออกมาดัง ๆ ว่า“องค์ชายน้อย ไอ้เด็กคนนี้กำลังสร้างค่ายกล! รีบฆ่ามันซะ มิฉะนั้น มันจะสายเกินไป!”
“ค่ายกล!?”
ทันใดนั้น หวงฝู่ฉงหมิง และคนอื่น ๆ ก็เข้าใจในสิ่งที่เฉินซีกำลังทำ และสีหน้าของพวกเขาก็มืดมัว
“เจ้าเด็กนี้ใช้กระบี่ระดับปฐพีขั้นสูงหลายพันเล่มและกระบี่ระดับปฐพีขั้นสูุดยอดเป็นรากฐานของค่ายกล? หากค่ายกลนี้ก่อตัวสำเร็จแล้ว มันอาจทำลายล้างพวกเราคนใดคนหนึ่งได้อย่างง่ายดาย…”
“ลงมือซะ! เราไม่อาจปล่อยให้เจ้าเด็กคนนี้สร้างค่ายกลสำเร็จ!!” ปฏิกิริยาของหวงฝู่ฉงหมิงนั้นรวดเร็วมาก ในชั่วพริบตา เขาตะโกนออกมาอย่างดังก่อนที่จะทะยานออกไปด้วยพลังแห่งดวงดาวที่อยู่ใต้เท้าของเขา มือของเขาที่ฟาดออกไปนั้นเหมือนกับกรงเล็บมังกรขนาดมหึมา และมันได้กลายเป็นปราณกรงเล็บสีทองอันน่าสะพรึงกลัวจำนวนมหาศาลที่ปกคลุมทั่วท้องฟ้า ในขณะที่พวกมันพุ่งออกมาระลอกแล้วระลอกเล่าเพื่อโจมตีเฉินซี อาณุภาพของมันรุนแรงมหาศาล ไม่ว่ามันจะผ่านไปที่ไหนก็ทำให้อากาศต้องสั่นไหว จากนั้นปราณกรงเล็บเหล่านี้ก็ซ้อนทับกันเป็นชั้น ๆ จนทำให้ทิวทัศน์โดยรอบพร่ามัว
เคล็ดวิชาการต่อสู้ระดับเต๋า กรงเล็บขยี้หัวใจเก้าอสรพิษ!
ปราณกรงเล็บทุกอันประกอบด้วยเต๋ารู้แจ้งลวงตาและเต๋ารู้แจ้งทองคำ ทำให้ปราณกรงเล็บของจริงและของปลอมปะปนกันไป และทุกการโจมตีมีทั้งของแท้และเท็จ ทำให้ไม่สามารถป้องกันได้
ในเวลาเดียวกัน หลิวเฟิ่งฉือ, หม่านหง, หลินโม่เซวียน, เซียวหลิงเอ๋อร์ และคนอื่น ๆ ได้ใช้เคล็ดวิชาการต่อสู้ระดับเต๋าที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขาออกมา เพื่อที่พยายามจะขัดจังหวะเฉินซีในการสร้างค่ายกลและสังหารเฉินซีด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
โอม!
อย่างไรก็ตาม ในเวลาเดียวกับที่หวงฝู่ฉงหมิงและคนอื่น ๆ โจมตี วงแสงสีทองที่พร่างพราวได้พุ่งออกมาจากร่างของเฉินซีอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วพริบตาต่อมา หลิงไป๋ซึ่งสวมชุดสีขาวก็ยืนอยู่ท่ามกลางอากาศ
ยิ่งไปกว่านั้น เขาถือเคียวสีดำสนิทที่แคบและยาวอยู่ในมือ เคียวนี้ยาวสิบสองฉื่อพร้อมใบมีดสีดำสนิทที่เย็นยะเยือกเสมือนพระจันทร์เสี้ยว และมีความคมอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เคียวทั้งเล่มถูกปกคลุมด้วยอักขระที่ลึกล้ำอย่างไร้ขอบเขตและอาบไปด้วยแสงสีดำที่เปล่งตัวอักขระ ‘杀’ จำนวนมาก มันสั่นสะเทือนพื้นที่โดยรอบจนพังทลายและแตกเป็นเสี่ยง ๆ ทำให้เป็นภาพที่น่าตกตะลึงอย่างยิ่ง
เคียวแห่งการสังหาร!
อาวุธแห่งการเข่นฆ่าที่ไม่มีสิ่งใดเทียบได้ซึ่งแฝงไปด้วยเจตนาสังหารอย่างมหาศาล!
“เฉินซี เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลในขณะที่สร้างค่ายกล ส่วนเจ้าขยะพวกนี้ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง ข้าจะจัดการพวกมันเพื่อโอกาสรอดชีวิตของเจ้าแม้ว่าข้าจะต้องตายก็ตาม!” เสียงของหลิงไป๋เผยให้เห็นถึงการตัดสินใจที่เด็ดขาด
ในขณะที่เขากล่าว เขาก็บินขึ้นไปบนท้องฟ้าก่อนที่เคียวแห่งการสังหารในมือของเขาจะฟันออกไปอย่างแผ่วเบา จากนั้นฉากที่น่าตกใจก็ปรากฏขึ้น ท้องฟ้าและโลกดูเหมือนจะตกอยู่ในความมืดมิด!
“ฆ่า! ฆ่า! ฆ่าาาาา!…” เสียงตะโกนที่ราวกับว่าพวกมันถูกปล่อยออกมาโดยปีศาจแห่งขุมนรกดังก้องไม่หยุดหย่อนในความมืดมิดนี้ และกลิ่นอายของการเข่นฆ่าก็แผ่ปกคลุมทุกพื้นที่
เขตแดนเต๋าแห่งการสังหาร!
“ไร้แสงสว่าง มีแต่การเข่นฆ่า การเข่นฆ่าทั้งเทพและอสูร และจิตสังหารที่พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า. . .”
ทันใดนั้น หวงฝู่ฉงหมิง และคนอื่น ๆ ล้วนถูกขังอยู่ในเขตแดนเต๋านี้
“ฮึ่ม! เขตแดนเต๋าเล็ก ๆ เช่นนี้ จะกักขังพวกข้าทั้งหมดได้อย่างไร” หวงฝู่ฉงหมิงคำรามอย่างเย็นชาในลักษณะที่ไม่เร่งรีบ จากนั้นเขาก็ชกออกไปด้วยกำปั้นของเขา
ครืนนน!
เสียงลมที่รุนแรงราวกับเสียงคำรามของมังกรสายฟ้าดังก้องออกมา จากนั้นมังกรสีทองก็กวัดแกว่งกรงเล็บของมันและแยกเขี้ยวของมันขณะที่มันส่งเสียงเสียดหูออกมาจากกำปั้นของหวงฝู่ฉงหมิง เพียงชั่วพริบตา มันก็ทะลวงเขตแดนเต๋าแห่งการสังหารจนเกิดเป็นรูด้วยพลังที่น่าสะพรึงกลัวถึงขีดสุด
“ทุกคน รีบทะลวงเขตแดนเต๋านี้และทำลายล้างเฉินซีซะ หากเราชักช้าจนมันสามารถสร้างค่ายกลสำเร็จแล้ว เราก็จะไม่มีความหวังอีกต่อไป!” ในขณะที่เขาตะโกนออกมาอย่างดุเดือด หลิวเฟิ่งฉือก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าเช่นกัน จากนั้นเขาก็พุ่งเข้าหาหลิงไป๋ที่อยู่ไกลออกไป
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
ยอดฝีมือคนอื่น ๆ ล้วนตระหนักได้ว่า พวกเขาถูกกดดันด้วยเวลาเช่นกัน ดังนั้น จึงใช้พลังการบ่มเพาะทั้งหมดของพวกเขา ในขณะที่สมบัติวิเศษหลากสีพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า จากนั้นเคล็ดวิชาการต่อสู้ระดับเต๋าที่ทรงอานุภาพก็ถูกซัดออกไป ด้วยพลังโจมตีที่รุนแรงของพวกเขา จึงทำให้ท้องฟ้าและผืนดินเปลี่ยนสีในทันใด
ยอดฝีมือเหล่านี้ ล้วนมีฐานการบ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์ และพวกเขาครอบครองเต๋ารู้แจ้งที่สมบูรณ์และสมบัติวิเศษที่ทรงพลัง เมื่อพวกเขาโจมตีหลิงไป๋ที่ต่อสู้อยู่คนเดียวด้วยพละกำลังทั้งหมดของพวกเขา ก็เผยถึงอานุภาพที่สามารถบดขยี้หลิงไป๋ได้อย่างง่ายดาย ในเวลาเพียงชั่วพริบตา เขตแดนเต๋าแห่งการสังหารก็ขาดออกจากกันจนได้รับความเสียหายอย่างหนักและใกล้จะแตกเป็นเสี่ยง ๆ!
—————————————————