บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 249 – เผชิญต่อความตายอย่างกล้าหาญ
บทที่ 249 – เผชิญต่อความตายอย่างกล้าหาญ
ฟึ่ด! ฟึ่ด!
เขตแดนเต๋าแห่งการสังหารได้รับความเสียหายอย่างหนักในทันที ทำให้ใบหน้าเล็ก ๆ ของหลิงไป๋ซีดอย่างผิดปกติ ปากกระอักเลือดออกมา เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับผลกระทบที่รุนแรงอย่างมากจากการโจมตีเต็มกำลังของหวงฝู่ฉงหมิง และคนอื่นๆ
แต่สีหน้าของหลิงไป๋ยังคงมั่นคง …ยังมีร่องรอยของความกระตือรือร้นและความเด็ดเดี่ยวเช่นเดียวกับวีรบุรุษในสมัยโบราณเมื่อพวกเขาเสียสละ และดูเหมือนว่าเขาจะสามารถเสียสละทุกอย่างเพื่อเฉินซีได้!
ปัง
เปลวไฟสีทองที่พร่างพราวอย่างมากลุกโชนขึ้นบนร่างของหลิงไป๋และพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าก่อนที่จะแตกกระจายไปยังบริเวณโดยรอบ เต๋ากระบี่แห่งแดนนิพพานที่พลุ่งพล่านและไร้ขอบเขตก็ห่อหุ้มเขตแดนเต๋าแห่งการสังหารในทันที ทำให้เขตแดนเต๋าที่ใกล้จะแตกเป็นเสี่ยง ๆ ได้รับการซ่อมแซมให้กลับสู่สภาพเดิม ยิ่งกว่านั้น หลังจากรวมกับเต๋ากระบี่แห่งแดนนิพพาน เขตแดนเต๋าแห่งการสังหารก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นและขยายออก อีกทั้งยังปล่อยกลิ่นอายที่น่ากลัวอย่างสุดจะพรรณนา
นิพพานนั้นไม่ใช่การดับสูญหรือคงอยู่ แต่ทำให้ทุกสิ่งกลับคืนสู่ความเงียบงัน
การเข่นฆ่าทำลายล้างสิ่งมีชีวิตทั้งหมดทำให้ทุกอย่างถูกกำจัดไป
เต๋ารู้แจ้งทั้งสองนี้ เป็นมหาเต๋าสูงสุดที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและความตาย เมื่อพวกมันหลอมรวมกันเป็นหนึ่งในขณะนี้ เขตแดนเต๋าแห่งการสังหารก็ดูเหมือนจะกลายเป็นห้องโถงแห่งเทพอสูรทันที มันคือแดนแห่งความตาย และพร้อมที่จะทำลายล้างทุกสิ่งที่บุกรุกเข้ามา!
“นิพพาน! การสังหาร! เจ้ามารน้อยนี้สามารถใช้งานเขตแดนเต๋าทั้งสองได้อย่างแท้จริง!” แม้ว่ามันจะไม่ใช่ดวงจิตของสมบัติอมตะ แต่มันก็เป็นสมบัติที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ถ้าข้าสามารถใช้มันได้ อย่างน้อยความแข็งแกร่งของข้าจะเพิ่มขึ้นได้ถึงสองส่วน! ความโลภที่ไม่สามารถควบคุมได้เกิดขึ้นในใจของหวงฝู่ฉงหมิง ขณะที่เขามองไปที่หลิงไป๋
ไม่เพียงแต่หวงฝู่ฉงหมิงเท่านั้น คนอื่น ๆ ก็สังเกตเห็นว่าหลิงไป๋นั้นพิเศษเพียงใดเช่นกัน และพวกเขาทั้งหมดไม่ต้องการสิ่งใดมากไปกว่าการสยบหลิงไป๋ และขัดเกลาเขาเพื่อที่จะเป็นประโยชน์ให้กับพวกเขา
“ฆ่า!” หลินโม่เซวียนไม่สามารถยับยั้งตัวเองได้อีกต่อไปและเป็นคนแรกที่เคลื่อนไหว เขาเป็นผู้บ่มเพาะกระบี่ จึงมีความเข้าใจต่อเต๋ากระบี่แห่งแดนนิพพานที่หลิงไป๋ครอบครองอยู่ที่เหนือล้ำกว่าคนอื่น ๆ ดังนั้นเขาจึงรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่า หากตนสามารถเข้าใจเต๋าแห่งกระบี่ประเภทนี้ได้สำเร็จ ความแข็งแกร่งก็จะเพิ่มขึ้นสู่ระดับใหม่อย่างสมบูรณ์ ในเวลานั้น แม้ว่าเขาจะต่อสู้กับชิงซิ่วอี้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องกลัว
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่หลิงไป๋ไม่เพียงแค่ครอบครองเต๋ากระบี่แห่งแดนนิพพานเท่านั้น แต่อีกฝ่ายยังครอบครองเต๋ารู้แจ้งแห่งการสังหาร ทำให้มันมีแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานต่อหลินโม่เซวียน ผู้ซึ่งฝึกฝนในวิถีแห่งกระบี่
ดังนั้นเขาจึงเคลื่อนไหวและใช้เคล็ดวิชาการต่อสู้พิทักษ์นิกายระดับเต๋าของนิกายสวรรค์ปฐพีทันที — กระบี่สวรรค์ปฐพี!
ตามตำนานได้กล่าวไว้ว่า สวรรค์และปฐพีในช่วงอุบัติของโลกนั้นไม่มีผู้ปกครองที่แท้จริงและมีเพียงปราณที่ห่อหุ้มจักรวาลไว้เท่านั้น ซึ่งเหนือท้องฟ้าขึ้นไปนั้นคือมีมวลเมฆอยู่ห้าก้อน เมฆสีเหลืองแกมเขียวถูกเรียกว่าเมฆสวรรค์ปฐพี และเหนือเมฆสวรรค์ปฐพีขึ้นไป มีเมฆแสงสีฟ้า และมันถูกเรียกว่าเมฆสวรรค์ฟ้า และเหนือเมฆสวรรค์ฟ้าขึ้นไป คือเมฆสีดำที่ว่างเปล่า ซึ่งจะก่อตัวเป็นสีคราม และมันถูกเรียกว่าเมฆสวรรค์คราม
กระบวนท่า ‘กระบี่สวรรค์ปฐพี’ เป็นเต๋าแห่งกระบี่ที่แฝงไปด้วยมหาเต๋าสวรรค์ปฐพี ซึ่งมีพลังที่หนาแน่นเสมือนกับดาราแห่งปฐพี ที่อุดมสมบูรณ์และเก่าแก่ที่สุด ลึกซึ้งและกว้างใหญ่ที่สุด และครอบคลุมไปทั่วทั้งโลก
โอม!
ทันทีที่กระบี่สวรรค์ปฐพีพุ่งออกไป ก็เป็นดั่งเมฆสวรรค์ปฐพีปกคลุมไปทั่วทุกทิศทุกทาง ด้วยพลังเก่าแก่ที่ดูเหมือนเทพเจ้าจุติลงมาบดขยี้มิติออกจากกันและเหยียบย่ำฟ้าดิน ทุกที่ที่มันผ่านไป เขตแดนเต๋าแห่งการสังหารถูกฉีกออกและแตกสลายราวกับผิวน้ำ ด้วยพลังทำลายของกระบี่สวรรค์ปฐพีที่น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง
“ฮึ่! ไปตายซะ!”
“เจ้ามารน้อย อย่าได้ดิ้นรนอีกต่อไป จงยอมสยบต่อข้าและเชื่อฟังแต่โดยดี!”
“เจ้าเป็นของข้า!”
ครืนนนนนน
เมื่อพวกเขาเห็น หลินโม่เซวียนใช้เคล็ดวิชาการต่อสู้พิทักษ์นิกายระดับเต๋าด้วยกำลังทั้งหมดออกไป
คนอื่น ๆ ก็แค่นเสียงอย่างเย็นชาก่อนที่จะโจมตีด้วยกำลังทั้งหมดของพวกเขาเช่นกัน แต่เนื่องจากพวกเขาล้วนต้องการที่จะจับกุมหลิงไป๋เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เขาถูกคนอื่นจับไป
ครืนนนนนนนน
ยอดฝีมือนับสิบโจมตีอย่างพร้อมเพรียงกัน และพวกเขายังใช้เคล็ดวิชาการต่อสู้พิทักษ์นิกายระดับเต๋าออกไป
เคล็ดวิชาการต่อสู้พิทักษ์นิกายระดับเต๋าต่าง ๆ เมื่อรวมกับฐานการบ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์ของพวกเขา พลังโจมตีของพวกเขาก็ยิ่งใหญ่จนดูเหมือนภูเขาไฟปะทุหินหลอมเหลวออกมา หรือคลื่นยักษ์ที่ซัดสาดเข้าใส่ชายฝั่ง หรือแผ่นดินไหวจนผืนดินแตกเป็นเสี่ยง ๆ ทำให้เขตแดนเต๋าแห่งการสังหารที่ได้รับการซ่อมแซมจนกลับคืนสู่สภาพเดิมนั้น ต้องพังทลายจนแตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ
ฟู่!
ร่างกายของหลิงไป๋สั่นสะท้านไปมา เนื่องจากไม่สามารถทนต่อมวลพลังที่เสมือนภูเขากดทับลงมาอย่างรุนแรง ทำให้พลังคุ้มกันของเขาแทบจะพังทลาย จนต้องกระอักเลือดออกมาอย่างมากมาย
แม้ว่าเขาจะใช้พลังในร่างกายทั้งหมดและใช้ชีวิตของตนเองเข้าแลก ก็ยังไม่อาจต้านทานการโจมตีโจมตีอย่างเต็มกำลังของยอดฝีมือขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์กว่าสิบคน ยิ่งไปกว่านั้น เขายังได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการโจมตีครั้งนี้ ทำให้ชีวิตของเขาตกอยู่ในอันตราย
อย่างไรก็ตาม แม้ตกอยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หลิงไป๋ก็ยังกัดฟันสู้และเอาชีวิตเข้าแลก เคียวแห่งการสังหารในมือของเขาเปลี่ยนเป็นปราณใบมีดนับพันที่สร้างจากอักขระ ‘杀’ ที่กลั่นตัวขึ้นจากเจตนาฆ่าที่เย็นยะเยือกจนเสียดแทงกระดูก พวกมันกวาดไปทั่วท้องฟ้าก่อนที่จะขวางกั้นอย่างแน่นหนาที่เบื้องหน้าเฉินซี และเขาไม่คิดที่จะถอยแม้แต่ก้าวเดียว
‘เจ้ามารน้อยนี้พยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอดอย่างทุ่มเทและบ้าคลั่ง!’
นอกจากอุทานด้วยความชื่นชมในใจของพวกเขาแล้ว หวงฝู่ฉงหมิงและคนอื่น ๆ ปรารถนาที่จะครอบครองหลิงไป๋มากยิ่งกว่าเดิม ทำให้การโจมตีของพวกเขารุนแรงยิ่งขึ้น เนื่องจากเคล็ดวิชาการต่อสู้ระดับเต๋า ที่ทรงพลังต่างๆ ระเบิดออกมาราวกับว่าพวกเขาไม่เสียดายเลยแม้แต่น้อย หากเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางทั่วไปต้องตกอยู่ภายใต้การโจมตีอันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ ผู้บ่มเพาะคนนั้นอาจจะถูกบดขยี้จนไม่เหลือซากไปนานแล้ว
——————————————————————
“อดทนไว้หลิงไป๋! เจ้าต้องต้านให้ได้!”
เฉินซีมองไปที่ร่างตัวน้อยที่ลอยอยู่กลางอากาศ เขาสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้และความมุ่งมั่นที่หลิงไป๋ปล่อยออกมา น้ำตาที่ร้อนระอุหลั่งไหลอาบลงมาบนใบหน้าของเขา เพราะเฉินซีตระหนักได้ว่า หลิงไป๋กำลังดิ้นรนต่อสู้เสมือนกับแสงแห่งความหวังครั้งสุดท้ายเพื่อเขา …หลิงไป๋กำลังสละชีวิตของเขาในการต่อสู้เพื่อตระกูลเฉินที่ตั้งอยู่ด้านหลังของเฉินซี…
ความโกรธที่ไม่สิ้นสุดนั้นเหมือนกับหินหลอมเหลวที่พุ่งพล่านไปทั่ว ในขณะที่มันส่งเสียงคำรามอยู่ใต้ผิวหนังทุกส่วนของเขา และภายใต้การกระตุ้นของความโกรธเกรี้ยวนี้ การกระทำของเฉินซีกลับไม่ได้มีข้อผิดพลาด แต่ในทางกลับกัน เขากลับรวดเร็วและมั่นคงยิ่งกว่าเดิมราวกับผีเสื้อที่โบยบินผ่านดอกไม้ ในขณะที่เขาจารึกอักขระยันต์ที่ลึกซึ้งมากมายไว้บนกระบี่ระดับปฐพีขั้นสุดยอด จนร่างของเขากลายเป็นภาพติดตาที่ซ้อนทับกันปรากฏขึ้นเป็นชั้น ๆ เขาต้องจารึกกระบี่เพิ่มอีกเพียงสามเล่มเท่านั้น …ก่อนที่จะเปิดใช้งานค่ายกลกระบี่มหาปราณได้!
“เหลิ่งชุ่ย…เจ้าดูแลตัวเองด้วย แม้ว่าข้าจะตายในการต่อสู้ครั้งนี้ ข้าก็ไม่ยอมให้พี่ใหญ่ถูกสังเวยอย่างแน่นอน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ เขาได้แบกรับภาระหลายอย่างของตระกูลเฉินมากเกินไป…” ภายในคฤหาสน์ตระกูลเฉิน เฉินฮ่าวจ้องมองท้องฟ้าด้วยสีหน้าที่เย็นชา แต่ดวงตาของเขากลับลุกโชนด้วยเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำ
โฮก!
กระบี่ของเขาเปร่งเสียงออกมาเหมือนมังกรขณะที่ปราณกระบี่เที่ยงธรรมพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า เฉินฮ่าวไม่ได้เหลือบมองภรรยาของเขาก่อนที่จะทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า จากนั้นเขาก็ยืนอยู่ด้านหน้าเฉินซีอย่างเด็ดเดี่ยว
ในตอนนี้ หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณและชื่นชมต่อหลิงไป๋ แต่เขาก็ไม่ได้เข้าไปยุ่ง
เพราะเขาเข้าใจเป็นอย่างดีว่า การที่คน ๆ หนึ่งเลือกที่จะสละชีวิต สิ่งที่เขาต้องทำต่อจากนั้นคือการสืบทอดเจตจำนงของคนคนนั้น ปกป้องคนข้างหลังและคว้าโอกาสสุดท้ายให้กับคนที่อยู่ข้างหลัง หรืออาจจะรอถึงคราวของตนเอง เพื่อสละชีวิตของเขาเองในช่วงเวลาต่อไป
แม้ว่ามันจะต้องตาย แต่เขาก็ไม่เสียดาย!
เฟยเหลิ่งชุ่ย ยืนอยู่บนพื้นขณะที่นางมองไปที่ร่างของสามีของนางที่สง่าผ่าเผย สูงส่งและมั่นคงเหมือนภูเขา จากนั้นนางก็กัดริมฝีปากของนางแน่นขณะที่หยดน้ำตาใสไหลริน แต่รอยยิ้มที่จริงใจยังคงปกคลุมอยู่บนใบหน้าของนางขณะที่นางพึมพำอยู่ในใจ นี่แหละวีรบุรุษในดวงใจของข้า สามีที่ดี…
ที่ด้านหลังเฟยเหลิ่งชุ่ย ความรู้สึกหวาดกลัวของคนในตระกูล ข้ารับใช้ และบริวารกว่าพันคน ที่เพิ่งได้รับคัดเลือกเข้าสู่ตระกูลเฉินเริ่มสงบลงเมื่อพวกเขาเห็นฉากนี้ พวกเขาหยุดสั่นและหยุดหวาดกลัว พร้อมกับพองหน้าอกขึ้นทีละนิดและยืดหลังให้ตรง เนื่องจากพวกเขารู้สึกภาคภูมิใจและเป็นเกียรติที่ได้เป็นสมาชิกของตระกูลเฉิน
จิตใจของทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกันเมื่อเผชิญกับอันตรายถือเป็นโชคลาภของตระกูล
ความตั้งใจของทุกคนที่รวมกันเป็นหนึ่งเดียวเมื่อชาติเกือบจะถูกพิชิตคือโชคของชาติหนึ่ง
บางทีตราบเท่าที่มันประสบกับความทุกข์ยากนี้ ตระกูลเฉินที่สร้างขึ้นมาใหม่เมื่อไม่นานมานี้จะสามารถสร้างรากฐานให้คงอยู่ชั่วนิรันดร์ได้ และมันก็เหมือนกับวิหกอัคคีที่กำเกิดจากเปลวเพลิงและเริงระบำไปในสวรรค์ทั้งเก้า
ห่างออกไป ขุมพลังต่างๆ และผู้บ่มเพาะทั้งหมดของเมืองหมอกสนได้เห็นการต่อสู้ครั้งนี้ด้วยพลังที่แตกต่างกันอย่างมาก พวกเขาไม่รู้ว่าหลิงไป๋เป็นใคร แต่พวกเขารู้สึกถึงจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่จะไม่มีทางเสียใจแม้จะต้องตายก็ตาม และการที่หลิงไป๋พยายามปกป้องทุกสิ่ง แม้ว่าจะต้องเสียชีวิต ทำให้พวกเขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ซับซ้อนในใจของพวกเขา
“ความพยายามที่ไร้ประโยชน์?”
“หรืออาจจะเป็นแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ?”
แม้ว่าเขารู้ว่าชะตากรรมของตนเองคือความตาย แต่เขาก็ยังกระโจนเข้าสู่สนามรบด้วยความกล้าหาญ หากผู้บ่มเพาะทุกคนในโลกมีความกล้าหาญ พลังใจ และความเด็ดเดี่ยวเช่นเขา เหตุใดพวกเขาจึงต้องกังวลว่าจะไม่อาจแสวงหาถึงมหาเต๋าได้?
แต่น่าเสียดายที่มีคนไม่กี่คนในโลกนี้ที่สามารถเผชิญกับความตายโดยยังคงความสงบและปราศจากความกลัวได้อย่างโดยตรง ด้วยเหตุนี้ ความมุ่งมั่นและความไม่เกรงกลัวของหลิงไป๋ที่แสดงออกมาในขณะนี้จึงน่าประทับใจเป็นอย่างมาก
แต่ในหัวใจของทุกคน การกระทำที่กล้าหาญและเด็ดเดี่ยวของเขาจะคงอยู่เพียงชั่วครู่เท่านั้น เนื่องจากหลิงไป๋จะต้องถูกกำจัด และตระกูลเฉินก็จะต้องถูกทำลายล้างไปด้วย เพราะศัตรูของพวกเขานั้นน่าสะพรึงเป็นอย่างมาก ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตแกนทองคำหยินหยางกว่าสิบคนนี้ เพียงพอที่จะทำลายล้างเมืองหมอกสน ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่ตระกูลเฉินจะอยู่รอด เมื่อเผชิญกับขุมพลังดังกล่าวเว้นแต่ผู้เชี่ยวชาญของ นิกายกระบี่เมฆาพเนจรจะมาช่วยทันเวลา
แต่สิ่งนี่เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้ เมืองหมอกสนอยู่ห่างจากนิกายกระบี่เมฆาพเนจรมากกว่าสองแสนห้าหมื่นลี้ และน้ำไกลไม่อาจดับไฟใกล้ได้*[1] ดังนั้นนิกายกระบี่เมฆาพเนจรจะหยุดยั้งทุกสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาพวกเขาได้อย่างไร?
อันที่จริง มันเป็นเรื่องปกติมากหากมองจากอีกมุมหนึ่ง ในโลกแห่งการบ่มเพาะที่ใช้กฎแห่งป่า เหตุการณ์ที่ตระกูลและนิกายถูกทำลายล้างเกิดขึ้นแทบทุกวัน หากความแข็งแกร่งของคนหนึ่งคนใดด้อยกว่า คนผู้นั้นก็จะต้องอยู่ภายใต้ความเมตตาของอีกคนที่เหนือกว่า และมีเพียงความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดาเท่านั้นจึงจะสามารถยืนหยัดอย่างผ่าเผยและมั่นคงได้ ดังนั้น หลังจากไตร่ตรองทุกสิ่งแล้ว อย่างอื่นก็ไร้ประโยชน์ และมีเพียงความแข็งแกร่งเท่านั้นที่ใช้ในการตัดสินทุกสิ่ง
ฟู่!
หลิงไป๋ร่วงลงจากกลางอากาศ และเขากระอักเลือดไม่หยุดหย่อนขณะลอยอยู่กลางอากาศ ในขณะนี้ รูปลักษณ์ของเขาดูซีดเซียวมาก ดวงตาของเขาพร่ามัว และลมหายใจทั้งหมดของเขาดูไม่เป็นระเบียบ เขาเป็นเหมือนแสงเทียนริบหรี่ในสายลมที่สามารถดับลงได้ในทุกขณะ
ความจริงก็คือความจริง เขาได้สูญเสียความแข็งแกร่งในการต่อสู้ทั้งหมดตั้งแต่การต่อสู้จนถึงขณะนี้ และพลังในร่างกายของเขาก็ถูกบีบเค้นออกจนหมดสิ้น เนื่องจากเขาสละอายุขัยของเขา ร่างกายของเขาจึงได้รับบาดเจ็บสาหัสจนไม่อาจแก้ไขได้ ในขณะนี้ ไม่ต้องกล่าวถึงหวงฝู่ฉงหมิง และคนอื่นๆ แม้แต่คนธรรมดาทั่วไปก็สามารถฆ่าเขาได้
“พวกเจ้าคน เจ้ามารน้อยนี้เป็นของข้า!” หวงฝู่ฉงหมิงก้าวไปข้างหน้าในขณะที่เขาหัวเราะเสียงดัง จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปจับหลิงไป๋อย่างดุเดือด
เคร๊ง!
ปราณกระบี่ที่กว้างใหญ่ราวกับภูเขาที่ถูกซ้อนที่ละชั้น ถูกแทงออกมาอย่างรุนแรงจนเกิดเสียงดังสนั่น มันบดขยี้อากาศและทำให้มวลเมฆในท้องฟ้าสับสนอลหม่าน ซึ่งการโจมตีนี้เฉินฮ่าวเป็นคนลงมือ และเขาใช้ สำนึกกระบี่เที่ยงธรรมที่สูงส่งและเยือกเย็นเสียดแทงจากกระบี่ทันที
ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา การบ่มเพาะของเขาก็พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน ในตอนนี้ ฐานการบ่มเพาะของเขาอยู่ที่ขอบเขตเคหาทองคำขั้นสมบูรณ์แล้ว และเป็นเช่นเดียวกับพี่ชาย… เขาอยู่ห่างจากขอบเขตแกนทองคำหยินหยางเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น
ยิ่งกว่านั้น เขายังอุทิศการบ่มเพาะให้กับเต๋าแห่งกระบี่ และได้ฝึกฝนเต๋ากระบี่เที่ยงธรรมมาเป็นเวลานาน ทำให้กระบี่ของเขาที่พุ่งออกไปราวกับนักพรตโบราณจุติลงมายังโลก หมายตั้งใจที่จะสร้างระเบียบของโลกขึ้นมาใหม่ ตัดสินความดี ความชั่ว และตัดสินบาปของผู้คน เพื่อให้โลกทั้งใบมีความสงบสุขและเป็นระเบียบเรียบร้อย
“เต๋ากระบี่เที่ยงธรรม? ทักษะกระบี่นับว่าไม่ธรรมดา แต่น่าเสียดาย ความแข็งแกร่งของเจ้ายังไม่เพียงพอ หากเจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญในขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ข้าคงจะรู้สึกเกรงกลัวเจ้าเล็กน้อย แต่ขณะนี้นะหรือ? ไปตายเสียเถอะ!” หวงฝู่ฉงหมิงคำรามอย่างเย็นชาก่อนจะตวัดกรงเล็บออกไป พลังกรงเล็บนั้นเหมือนกับอสรพิษเก้าตัวที่ฉีกผ่านท้องฟ้าอย่างรุนแรง ทำให้เต๋ากระบี่เที่ยงธรรมพังทลายลงและถูกกำจัดไปทีละนิดก่อนที่มันจะเข้าใกล้หวงฝู่ฉงหมิง ยิ่งไปกว่านั้น เฉินฮ่าวยังได้รับบาดเจ็บสาหัส อันเนื่องมาจากพลังของกรงเล็บนี้ จนร่างของเขาลอยออกไปราวกับว่าวสายป่านขาด
หากเทียบกันแล้ว ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเฉินฮ่าวนั้นยังอ่อนแอกว่าบ้าง และความแตกต่างในฐานของการบ่มเพาะนั้นเป็นจุดอ่อนร้ายแรงที่เขาไม่สามารถชดเชยได้
หลังจากโจมตีเฉินฮ่าวกลับไปด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว หวงฝู่ฉงหมิงก็ไม่ได้หยุดเลยแม้แต่น้อยที่จะคว้าจับหลิงไป๋อีกครั้ง ในสายตาของเขา วันนี้จะไม่มีใครสามารถหยุดยั้งฝีเท้าของเขาได้ ในขณะที่ร่างเล็ก ๆ นี้จะต้องตกอยู่ในครอบครองของเขา
เมื่อพวกเขาเห็นสิ่งนี้ หลิวเฟิ่งฉือและคนอื่นๆ ก็รู้ว่า หวงฝู่ฉงหมิงนำหน้าพวกเขาอยู่หนึ่งก้าว และ หลิงไป๋ก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะไขว่คว้าได้อีกต่อไป ทำให้พวกเขามุ่งความสนใจไปที่เฉินซีในทันที
“นอกจากเจ้ามารน้อยนั้นแล้ว ไอ้เด็กบัดซบคนนี้ยังครอบครองสมบัติที่มีค่ามากมายจนน่าตกใจ!”
พวกมันโจมตีอย่างโจ่งแจ้งโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ในขณะนี้ เฉินซีและหลิงไป๋ ตกอยู่ในสถานการณ์หน้าซิ่วหน้าขวานในเวลาเดียวกัน ภายในคฤหาสน์ตระกูลเฉิน ผู้คนมากมายต่างก็รู้สึกสิ้นหวังในใจของพวกเขา และพวกเขาก็หลับตาลงอย่างพร้อมเพรียงกัน
“พวกเจ้าทุกคน… สมควรตาย!” ทันใดนั้นเอง เฉินซีก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาสีเลือดของเขาลุกโชนด้วยเจตนาฆ่าที่ไร้ขอบเขตซึ่งเย็นยะเยือกเหมือนสัตว์ร้ายที่ไร้ความรู้สึก ในขณะที่กระบี่ขั้นสุดยอดระดับปฐพีในมือของเขาถูกวางไว้ที่รากฐานของค่ายกล
โอม! โอม! โอม!
กระบี่กว่าหมื่นเล่มส่งเสียงร้องออกมาอย่างพร้อมเพรียง ขณะที่ปราณกระบี่อันน่าสยดสยองจำนวนนับไม่ถ้วน ได้พุ่งออกมาจากพื้นดินและพุ่งตรงไปยังสวรรค์ทั้งเก้า เจตนาฆ่าที่รุนแรงและไร้เทียมทานเป็นเหมือนแม่น้ำสายใหญ่ที่คดเคี้ยวและเชี่ยวกรากเมื่อเชื่อมต่อไปทุกทิศทุกทาง มันทำให้โลกรู้สึกหวาดกลัวจนถึงจุดที่ดวงดาวสั่นสะเทือน ดวงจันทร์ร่วงหล่น หยินและหยางเข้าสู่ความโกลาหล สวรรค์และโลกคร่ำครวญอย่างไม่รู้จบ
ค่ายกลกระบี่มหาปราณได้ผ่านกาลเวลามานานแสนนาน แต่ในที่สุดมันก็ปรากฏตัวในโลกอีกครั้งใน ณ เวลานี้ เปล่งประกายความเจิดจรัสอันเป็นนิรันดร์ที่ไม่อาจลบเลือนได้ไปตลอดกาล
—————————————————
[1] น้ำไกลไม่อาจดับไฟใกล้ได้ เป็นสำนวน หมายถึงความช่วยเหลือที่อยู่ไกล ย่อมยากที่จะระงับภัยร้ายที่กำลังใกล้เข้ามาได้