บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 264 วิกฤตกระแสสัตว์อสูร
บทที่ 264 วิกฤตกระแสสัตว์อสูร
แก่นศัสตราส่งเสียงดังอย่างชัดเจนและไพเราะ
ในขณะนี้ บนพื้นผิวของแก่นศัสตราที่เก่าแก่และเรียบง่าย มีชั้นแสงสีฟ้าที่กระเพื่อมเป็นระลอก ๆ อย่างแผ่วเบา ราวกับกระแสน้ำที่ไหลริน ซึ่งให้ความรู้สึกถึงดวงจิตวิญญาณที่ยากจะอธิบาย
หากมองเข้าไปในแก่นศัสตรา ก็จะพบกับโลกที่เขียวขจีและอุดมสมบูรณ์ซึ่งก่อตัวขึ้นอยู่ภายใน อักขระยันต์ที่หนาแน่นเสมือนกิ่งก้านและใบของเถาวัลย์ที่กะพริบไปมาราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า ขณะที่พวกมันปลดปล่อยพลังชีวิตออกมาอย่างพลุ่งพล่าน
‘ข้าทำสำเร็จแล้ว!’
เฉินซีถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเขาเห็นภาพนี้ และเขาก็ไม่อาจทนได้อีกต่อไป จึงทิ้งตัวลงนอนบนพื้น ความอ่อนล้าที่ไร้ขอบเขตภายในร่างกายของเขาเป็นเหมือนกับกระแสน้ำที่ฉุดดึงเขาให้ดำดิ่ง ทำให้เขาเข้าสู่ดินแดนแห่งความฝันโดยไม่รู้ตัว
เป็นเวลาห้าปีแล้วที่พลังทั้งหมดของเขาได้ทุ่มเทให้กับการจารึกอักขระยันต์ ทำให้เฉินซีเป็นเหมือนสายธนูที่ขึงตึง แม้ว่าร่างกายของเขาจะดูปกติดี แต่การใช้ความแข็งแกร่งของจิตใจและปราณวิญญาณของเขาก็เพิ่มขึ้นในทุกวันที่ผ่านไป หากเป็นคนอื่นที่ทำสิ่งเดียวกันโดยไม่กินไม่ดื่มและไม่พักผ่อนเป็นเวลาต่อเนื่องถึงห้าปี พวกเขาจะต้องถูกทรมานด้วยกิจวัตรที่ซ้ำซากจำเจ จนร่างกายและจิตใจของพวกเขาไม่อาจทนได้อีกต่อไป
แต่อักขระยันต์นั้นกว้างใหญ่เหมือนมหาสมุทรและไม่ยอมให้เกิดความผิดพลาดเลยแม้แต่น้อย
แม้แต่ปรมาจารย์ด้านการสร้างอักขระยันต์ ก็ไม่มีความมั่นใจที่จะจารึกยันต์เทวะพฤกษาครามให้สำเร็จ
นอกจากความสามารถในการเข้าใจเกี่ยวกับเต๋าแห่งยันต์อักขระที่ไม่ธรรมดาของเฉินซีแล้ว ที่เขาสามารถบรรลุความสำเร็จดังกล่าวได้ก็มาจากความมุมานะ ความดื้อรั้น และแรงกดดันอันเข้มงวดที่เขาวางไว้กับตัวเอง ซึ่งไม่ยินยอมให้มีความผิดพลาดใด ๆ
‘เดิมที ข้าคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะประสบความสำเร็จในการทดลองแค่ครั้งเดียว ใครจะไปคาดคิดว่าเจ้าเด็กน้อยคนนี้กลับสร้างความประหลาดใจแก่ข้าได้? ฮ่า ๆๆ นายท่านมีผู้สืบทอดที่แท้จริงแล้ว บางทีเขาอาจขึ้นไปบนเขาเทพพยากรณ์ได้ในสักวันหนึ่งและแข่งขันกับบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องของเขาได้…’ จี้อวี๋มองไปยังเฉินซีที่กำลังนอนหลับสนิท และรู้สึกภาคภูมิใจต่อความสำเร็จของเฉินซีอยู่เช่นกัน เขายืนอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่งก่อนจะหันหลังกลับและจากไป
มีเพียงเฉินซีเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในโลกแห่งดารา
เขาหลับสนิทอยู่ท่ามกลางจักรวาลที่เต็มไปด้วยดวงดาว หมอกเพลิง และทางช้างเผือกที่ล้อมรอบอยู่ชั่วนิรันดร์ ทำให้เขาดูเหมือนกับหยดน้ำในมหาสมุทรหรือฝุ่นผงที่ยากจะมองเห็น
ในช่วงเวลาต่อมา แสงดาวอันเย็นยะเยือกที่ไร้ขอบเขตได้ส่องลงมาจากทั่วทุกมุมราวกับว่าพวกมันมีสติปัญญาและหลั่งไหลลงมาห่อหุ้มร่างกายทั้งหมดของเฉินซี
เมื่อมองจากระยะไกล เฉินซีซึ่งกำลังอาบอยู่ภายใต้แสงดาวนั้น ดูเหมือนกับเขากำลังหลับอยู่ในเปลือกไข่ และแสงดาวที่สาดส่องลงมา กำลังแทรกซึมไปทุกส่วนของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นเส้นเอ็น เนื้อหนัง เส้นลมปราณ จุดชีพจร และอวัยวะภายใน นอกจากนี้ สิ่งสกปรกที่ซุกซ่อนอยู่ภายในร่างกาย ก็ดูเหมือนจะได้รับการชำระล้างและขับออกมา ทำให้ร่างกายของเฉินซีบริสุทธิ์และไร้ที่ติมากยิ่งขึ้น
แม้แต่ปราณวิญญาณของเขาก็ดูเหมือนจะได้รับการหล่อเลี้ยง ถึงแม้ว่าความแข็งแกร่งของมันจะไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่ปราณวิญญาณของเขาก็บริสุทธิ์และแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
หากจิตสัมผัสเทพในอดีตของเฉินซีเป็นเหมือนชิ้นส่วนของหยกที่ยังไม่ได้รับการเจียระไน สิ่งสกปรกบนพื้นผิวของหยกที่ยังไม่ได้รับการขัดเกลานี้จะถูกขจัดออกไป และเผยให้เห็นเนื้อแท้ที่แวววาว เรียบเนียนไร้ที่ติ และใสกระจ่างดั่งผลึกแก้ว
หลังจากที่เฉินซีตื่นขึ้นจากการหลับใหลและเริ่มจารึกยันต์เทวะไฟโลกันต์ เขาก็สัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน เขาสังเกตเห็นว่าปราณแท้ของเขาสามารถควบคุมได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น ทำให้ความเร็วในการจารึกโครงสร้างอักขระยันต์ของเขารวดเร็วมากขึ้นกว่าเดิม
เมื่อเทียบกับตอนที่เขาจารึกยันต์เทวะพฤกษาคราม มันเร็วมากกว่าเดิมถึงสองเท่า!
‘แม้ว่าความแข็งแกร่งของพลังวิญญาณของข้าไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่มันกลับบริสุทธิ์ มั่นคง และยืดหยุ่นยิ่งกว่าเดิม หรือเป็นเพราะข้าจารึกโครงสร้างอักขระยันต์ตลอดทั้งวันทั้งคืนเป็นเวลาห้าปี?’
เฉินซีรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนนี้ แต่ก็ไม่สามารถสรุปเหตุผลทั้งหมดได้ ไม่นานนัก เขาก็มุ่งความสนใจไปที่การจารึกอักขระยันต์อีกครั้ง
โครงสร้างอักขระยันต์ของยันต์เทวะไฟโลกันต์นั้น ไม่ได้ด้อยไปกว่ายันต์เทวะพฤกษาครามเลยแม้แต่น้อย ยิ่งกว่านั้น โครงสร้างอักขระยันต์เหล่านี้ไม่มีแม้แต่อันเดียวที่ดูเหมือนกัน พวกมันมีลักษณะที่เกรี้ยวกราดและดุร้าย เสมือนกับเปลวไฟที่ไม่อาจควบคุมได้ ดังนั้นความยากในการจารึกจึงยิ่งมากขึ้น และเขาต้องใช้พลังงานมากขึ้นเพื่อควบคุมเส้นทางของอักขระยันต์
แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่สามารถทำให้เฉินซีต้องรู้สึกกังวล ด้วยประสบการณ์จากการจารึกยันต์เทวะพฤกษาครามและประกอบกับการเปลี่ยนแปลงของพลังวิญญาณของเขา ทำให้เขาไม่รู้สึกว่าการจารึกยันต์เทวะไฟโลกันต์ในตอนนี้จะยากเย็นแสนเข็ญ
เวลาได้ผ่านไปห้าปีโดยไม่รู้ตัว
ด้วยวิธีนี้ ลูกไฟที่ร้อนแรงได้ลอยขึ้นอย่างฉับพลันในโลกแห่งดารา ซึ่งดูเหมือนกับเป็นวิหคเพลิงที่ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ราวกับอีกาทองคำที่กำลังกระพือปีก และดอกไม้ไฟที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าก่อนจะผลิบานอย่างงดงาม ปรากฏการณ์อันน่าอัศจรรย์เช่นนี้ดำรงอยู่ไปสักระยะ ก่อนที่มันจะสลายหายไป
‘ยันต์เทวะไฟโลกันต์สำเร็จแล้ว!’ ดวงตาของเฉินซีเป็นประกายในขณะที่เขามองไปที่แก่นศัสตราในมือของเขา
เปลวไฟที่มองเห็นได้ราง ๆ ปลิวว่อนอยู่รอบ ๆ แก่นศัสตรา เปลวไฟนี้เกือบจะโปร่งแสง ไม่แผดเผาไม่รุนแรง แต่กลับให้ความรู้สึกที่อบอุ่นและอ่อนโยนแก่ผู้อื่น
พื้นผิวของแก่นศัสตราที่ดำสนิทแต่เดิมนั้นกลายเป็นมันเงา เพราะลักษณะของเปลวไฟนี้เหมือนกับบ่อน้ำสีเข้มที่ใสกระจ่างและโปร่งแสง
‘ในตอนนี้ แก่นศัสตราสร้างเสร็จเพียงบางส่วนเท่านั้น และยังขาดยันต์เทวะอีกสามชนิด ข้าสงสัยนักว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น หลังจากที่จารึกแก่นศัสตราด้วยยันต์เทวะทั้งห้าแล้ว?’ เฉินซีคาดหวังไว้เล็กน้อย
หลังจากพักผ่อนอยู่สองสามวัน เขาก็ไม่ได้คิดจะหยุดและเริ่มจารึกยันต์เทวะสยบปฐพี!
…
ดอกไม้ผลิบานและร่วงโรย ต้นหญ้าเติบโตสูงขึ้น และนกกระจิบโบยบินอยู่บนท้องฟ้า ในโลกภายนอกได้ผ่านไปสามปีแล้ว และถ้ามันถูกแปลงเป็นเวลาภายในโลกแห่งดารา มันก็จะเท่ากับสามสิบปีเต็ม!
ในช่วงสามปีที่ผ่านมานี้ เมืองหมอกสนได้รับการโจมตีจากฝูงสัตว์อสูรอยู่หลายร้อยครั้ง ทำให้ทั้งเมืองได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก จนเสมือนกับซากปรักหักพัง ผู้คนมากกว่าครึ่งที่เกิดและเติบโตในเมืองได้ย้ายออกไปเมื่อสามปีที่แล้ว และผู้คนที่ต้องจากไปเกือบทั้งหมดก็ได้จากไปแล้ว
ท้ายที่สุด ฝูงสัตว์อสูรก็บุกเข้ามาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และมันก็ไม่ต่างไปจากหายนะสำหรับคนธรรมดาทั่วไป เมื่อรวมกับความแข็งแกร่งในการป้องกันของเมืองหมอกสนที่อ่อนแอลงทีละนิด เพื่อความอยู่รอด คนส่วนใหญ่จึงไม่มีทางเลือกและถูกบังคับให้ละทิ้งบ้านเกิดของตนไป
ณ ตอนนี้ ผู้คนที่ยังคงยืนหยัดอยู่ในเมืองหมอกสนนั้น ส่วนใหญ่เป็นตระกูลและนิกายที่หยั่งรากในเมืองหมอกสนมาเป็นเวลาหลายพันปี ด้วยขนาดที่มหึมาของกองกำลังเหล่านี้ ถ้าพวกเขาต้องย้ายทั้งตระกูลหรือนิกายออกไปด้วยความหวังที่จะเติบโตในเมืองหรือสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย มันย่อมไม่ง่ายอย่างที่คิดอย่างแน่นอนเนื่องจากคงไม่มีกองกำลังท้องถิ่นในเมืองใด ที่จะยินดีต่อการปรากฏตัวของคู่แข่งรายใหม่ที่ทรงพลังในดินแดนของพวกเขา
ดังนั้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพื่อความอยู่รอดของตระกูลและนิกายของพวกเขา กองกำลังต่าง ๆ ของเมืองหมอกสนจึงกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างแน่นแฟ้น และเมื่อพวกเขาต่อสู้กับฝูงสัตว์อสูร ผู้ที่มีความแข็งแกร่งก็สนับสนุนกองกำลังของตนด้วยพละกำลัง ผู้ที่มีทรัพย์สินก็สนับสนุนด้วยทรัพย์สินของตน ไม่มีผู้ใดที่นิ่งเฉยและปฏิเสธเลยแม้แต่น้อย
เนื่องจากตระกูลเฉินได้ถูกการป้องกันโดยค่ายกลกระบี่มหาปราณ ทำให้กลายเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งราวกับทองคำ ดังนั้นมันจึงกลายเป็นฐานที่มั่นสำหรับผู้บ่มเพาะของเมืองหมอกสนเพื่อใช้ในการต่อต้านฝูงสัตว์อสูร ในขณะที่เฉินฮ่าวได้กลายเป็นผู้นำที่ได้รับการแต่งตั้งจากกองกำลังต่าง ๆ ของเมืองหมอกสน
ในขณะนี้ บรรยากาศในห้องโถงใหญ่ของตระกูลเฉินนั้นเงียบงัน และแม้แต่อากาศก็ดูเหมือนจะหยุดนิ่ง
เฉินฮ่าวนั่งตัวตรงอยู่บนที่นั่งซึ่งตั้งอยู่ตรงกลางด้วยคิ้วที่ขมวดแน่น ใบหน้าที่มีเค้าโครงเด็ดเดี่ยวของเขาถูกปกคลุมไปด้วยความเคร่งขรึม และร่องรอยความเหนื่อยล้าบนใบหน้าก็ยากที่จะปกปิด ในช่วงสามปีที่ผ่านมานี้ เขาต่อสู้กับฝูงสัตว์อสูรในแนวหน้าอย่างห้าวหาญ และแทบไม่มีเวลาพักผ่อน
แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ ตราบเท่าที่เขาสามารถช่วยให้ตระกูลผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้ ความเหน็ดเหนื่อยเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ไม่อาจทำให้รู้สึกท้อถอยได้ ทว่าสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกกังวลก็คือ เมื่อเวลาผ่านไป ขนาดของฝูงสัตว์อสูรได้มีจำนวนมากกว่าพันตัวแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ในทุกครั้งจะปรากฏสัตว์อสูรที่มีพลังขอบเขตเคหาทองคำคอยควบคุมอยู่ท่ามกลางฝูงสัตว์อสูร ตามการคาดคะเนของเขา คงอีกไม่นานนักที่สัตว์อสูรขอบเขตแกนทองคำหยินหยางจะเข้าสู่สนามรบ
ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้ เสียงคำรามของสัตว์อสูรอันน่าสะพรึงกลัวดังก้องออกมาจากส่วนลึกของเทือกเขาอยู่บ่อยครั้ง จนมันสั่นสะเทือนไปทั่วท้องฟ้าและผืนดิน ในขณะที่ปราณอสูรพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าจึงทำให้บริเวณโดยรอบตกอยู่ในความตื่นตระหนก ถึงแม้จะอยู่ในเมืองหมอกสน แต่ก็ยังได้ยินเสียงคำรามกึกก้องเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน
“หรือว่ามีราชาอสูรที่มีความแข็งแกร่งมหาศาลปรากฏตัวในส่วนลึกของเทือกเขา?” เสียงทุ้มหนักดังขึ้นและทำลายความเงียบในห้องโถงใหญ่
เฉินฮ่าวเงยหน้าขึ้นมองและจำได้ว่า คนผู้นี้คือผู้อาวุโสเยี่ยชิวของสำนักพฤกษ์ชาด ซึ่งเป็นผู้ฝึกฝนกระบี่ขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นเก้าดารา ดวงตาของเขาเหมือนกับกระบี่และเปล่งประกายเยือกเย็นเมื่อกะพริบตา เขาเป็นยอดฝีมือที่เก่งกาจคนหนึ่งของเมืองหมอกสน
“ช้าก่อน เท่าที่ข้าสังเกตเห็น ความแข็งแกร่งในหมู่สัตว์อสูรที่มาจากส่วนลึกของเทือกเขานั้น น่าจะอยู่ราว ๆ ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง และมันยังห่างไกลจากความแข็งแกร่งที่น่าสะพรึงกลัวเกินกว่าเราจะรับมือไม่ไหว” คนที่กล่าวนั้นคือ ชายชราที่เปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต เขามีผมหงอกขาวจนเกือบเป็นสีเงิน รูปร่างสูงและกำยำ เขาคือ ‘หนิงเต้าฟู่’ ผู้อาวุโสของสำนักหมอกสน
หากเป็นเมื่อก่อน สำนักหมอกสนคือกองกำลังอันดับหนึ่งของเมืองหมอกสนที่แม้แต่ตระกูลหลี่ก็ยังไม่กล้าล่วงเกิน แต่หลังจากการผงาดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ของตระกูลเฉินในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มันทำให้สำนักหมอกสนตกเป็นอันดับสองอย่างไม่เต็มใจนัก
“มีสัตว์อสูรที่มีความแข็งแกร่งในขอบเขตแกนทองคำหยินหยางอาศัยอยู่ในส่วนลึกของเทือกเขา ยิ่งไปกว่านั้นข้ามั่นใจอย่างยิ่งว่าฝูงสัตว์อสูรที่โจมตีเมืองหมอกสนในช่วงสามปีที่ผ่านมานี้ จะต้องได้รับคำสั่งจากสัตว์อสูรที่อยู่ในขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง แต่เรื่องที่ข้ากังวลที่สุดคือข้าเกรงว่าอาจมีสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าคอยควบคุมพวกมันอยู่เบื้องหลังอีกที”
เยี่ยชิวไม่ได้หักล้างความคิดเห็นของหนิงเต้าฟู่ และเขาแค่กล่าวถึงความคิดเห็นของเขาเท่านั้น “หรือว่าพวกเจ้าทุกคนไม่ได้สังเกตว่าปราณอสูรในส่วนลึกของเทือกเขาได้ก่อตัวเป็นคลื่นเมื่อเร็ว ๆ นี้ และเสียงคำรามของสัตว์อสูรที่เหมือนกับเสียงฟ้าร้อง ซึ่งสามารถได้ยินได้ทั้งจากที่ใกล้และไกลนั่น มันไม่ใช่สิ่งที่สัตว์อสูรขอบเขตแกนทองคำหยินหยางจะสามารถทำได้”
เมื่อได้ยินถึงสิ่งนี้ ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็ตกอยู่ในความเงียบงัน
อันที่จริง เป็นไปตามที่เยี่ยชิวได้กล่าวไว้ เนื่องจากเมืองหมอกสนประสบกับการโจมตีจากฝูงสัตว์อสูรเป็นครั้งแรกเมื่อสามปีที่แล้ว ความแข็งแกร่งของสัตว์อสูรที่ปรากฏขึ้นหลังจากนั้นจึงเริ่มเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก จากขอบเขตสร้างรากฐานสู่ขอบเขตก่อกำเนิด และขอบเขตตำหนักอินทนิลในปัจจุบัน ความแข็งแกร่งของสัตว์อสูรและขนาดของมันได้ทวีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งยังมีจำนวนมากกว่าหนึ่งพันตัวในวันที่ผ่านมา เมื่อมองจากระยะไกล พวกมันดูเหมือนจะปกคลุมท้องฟ้าและพื้นดินราวกับเมฆดำที่ปกคลุมท้องฟ้า ซึ่งน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
แต่นับว่าโชคดีที่ระหว่างการเผชิญหน้ากันนั้นมีสัตว์อสูรเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้นที่อยู่ในขอบเขตเคหาทองคำ ส่วนพวกที่มีพลังขอบเขตตำหนักอินทนิลนั้นมีประมาณสามสิบตัว และสัตว์อสูรที่เหลือล้วนอยู่ที่ขอบเขตก่อกำเนิด ดังนั้นภายใต้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ของกองกำลังต่าง ๆ เมืองหมอกสนจึงยังไม่ถูกทำลายโดยเหล่าสัตว์อสูร
แต่ข้อเท็จจริงเช่นนี้เป็นดั่งระฆังที่ย้ำเตือนแก่ผู้นำของกองกำลังต่าง ๆ ทำให้พวกเขาตระหนักได้ว่า เบื้องหลังของกระแสสัตว์อสูรลูกแล้วลูกเล่า คือสัตว์อสูรที่ทรงพลังยิ่งกว่าที่สามารถควบคุมทุกสิ่ง!
ผู้นำของกองกำลังต่าง ๆ ได้มารวมตัวกันที่ห้องโถงใหญ่ของตระกูลเฉินเพื่อหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้
“สิ่งที่ทุกคนกล่าวมานั้นถูกต้อง จะต้องมีสัตว์อสูรที่มีความแข็งแกร่งที่เหนือกว่าขอบเขตแกนทองคำหยินหยางอยู่ในส่วนลึกของเทือกเขาอย่างแน่นอน และความแข็งแกร่งของมันก็ทรงพลังมากจนข้าไม่สามารถประเมินได้เช่นกัน แต่ตามความคิดของข้า สัตว์อสูรที่ครอบครองพลังอันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้น่าจะไม่ปรากฏตัวจนกว่าจะถึงช่วงเวลาสุดท้ายอย่างแน่นอน ดังนั้นเราจึงยังไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับมันในตอนนี้” เฉินฮ่าวกวาดสายตาไปรอบ ๆ และกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ตอนนี้ ปัญหาเร่งด่วนคือ ทุกคนจะซ่อนตัวอยู่ในตระกูลเฉินของข้าและต่อต้านอย่างสิ้นหวัง หรือริเริ่มที่จะโจมตีสวนกลับก่อนที่สัตว์อสูรขอบเขตแกนทองคำหยินหยางจะปรากฏตัวในกระแสสัตว์อสูรระลอกต่อไป?”
ทุกคนต่างก็มองหน้ากัน ความแข็งแกร่งของพวกเขาทุกคนที่อยู่ที่นี่ไม่ได้มากมายนักเหมือนพวกผู้บ่มเพาะในเมืองใหญ่ ๆ มีเพียงเฉินฮ่าวและหนิงเต้าฟู่ของสำนักหมอกสนเท่านั้นที่สามารถบรรลุขอบเขตเคหาทองคำ ในขณะที่คนอื่น ๆ ทั้งหมดล้วนอยู่ที่ขอบเขตตำหนักอินทนิล เมื่อคิดว่าต้องเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรที่มีพลังขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง มันทำให้พวกเขาไม่มีความมั่นใจที่จะเอาชนะเลยแม้แต่น้อย
ท้ายที่สุดแล้ว ต่อให้ฐานการบ่มเพาะของมนุษย์และสัตว์อสูรจะอยู่ในระดับเดียวกัน สัตว์อสูรก็สามารถบดขยี้ผู้บ่มเพาะได้อย่างง่ายดาย ยิ่งไปกว่านั้น สัตว์อสูรบางตัวก็มีสายโลหิตของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์โบราณ ซึ่งมันทรงพลังยิ่งกว่าผู้บ่มเพาะนับสิบเท่า
ดังนั้นเมื่อเผชิญกับการดำรงอยู่ของสัตว์อสูรขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ทุกคนจึงมีเพียงสองทางเลือกเท่านั้น นั่นคือการหนีหรือหลบซ่อน
ในที่สุด เยี่ยชิวก็เป็นคนทำลายความเงียบและกล่าวว่า “เราควรซ่อนตัวหากสถานการณ์ดังกล่าวปรากฏขึ้นจริง แต่ด้วยวิธีนี้เราจะต้องรบกวนท่านผู้นำเฉิน”
เฉินฮ่าวโบกมือ “ทุกคนคือสหายเต๋าแห่งเมืองหมอกสน ในช่วงเวลาที่ยากลำบากเช่นนี้ เราควรเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน นี่เป็นสิ่งที่ตระกูลเฉินของข้าควรทำ”
ผู้นำของกองกำลังอื่น ๆ ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งนี้ เนื่องจากพวกเขาสามารถได้รับการปกป้องจากตระกูลเฉิน พวกเขาจึงไม่ต้องกังวลกับอันตรายใด ๆ ที่จะเกิดขึ้น ท้ายที่สุดแล้ว ค่ายกลกระบี่มหาปราณ เป็นค่ายกลอันยิ่งใหญ่ที่น่าสะพรึงกลัวที่สามารถทำลายล้างผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาได้อย่างง่ายดาย และหากสัตว์อสูรขอบเขตแกนทองคำหยินหยางกล้าบุกเข้ามา พวกมันจะไม่มีเส้นทางให้หวนกลับ
“พวกเราทุกคนควรจะขอบคุณสำหรับความมีน้ำใจยิ่งของท่านผู้นำเฉิน และจะจดจำบุญคุณครั้งนี้ไปตลอดชีวิต” หนิงเต้าฟู่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “แต่เพื่อไม่ให้เกิดปัญหากับตระกูลเฉิน ข้าได้ขอความช่วยเหลือจากสหายเก่าและได้เชิญผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางที่น่าเกรงขามมาหลายคน หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด พวกเขาจะมาถึงเมืองหมอกสนภายในสามวันอย่างแน่นอน”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ทุกคนต่างก็รู้สึกไปด้วยความยินดี แต่คิ้วของเฉินฮ่าวกลับขมวดเข้าหากันแทน