บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 265 นิกายกระบี่เบญจธาตุ
บทที่ 265 นิกายกระบี่เบญจธาตุ
เมื่อพวกเขารู้ว่า ภายในสามวันข้างหน้าจะมีเหล่าผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางเดินทางมาช่วยเหลือ บรรยากาศที่หนักหน่วงและเงียบงันในห้องโถงใหญ่ก็หายไปทันที และสีหน้าของทุกคนในตอนนี้ก็ดูผ่อนคลายลง
มีคนบางคนไม่อาจระงับความอยากรู้อยากเห็นไว้ในใจได้และเอ่ยถามออกไปว่า “ท่านผู้อาวุโสหนิง ข้าขอเรียนถามได้หรือไม่ว่าเหล่าผู้อาวุโสขอบเขตแกนทองคำหยินหยางที่ท่านเชิญมาเหล่านี้คือผู้ใดกัน?”
คนอื่น ๆ ต่างก็แสดงสีหน้าสงสัยเมื่อได้ยินสิ่งนี้
หนิงเต้าฟู่สัมผัสได้ถึงคลื่นแห่งความสุขเมื่อเขากลายเป็นศูนย์กลางความสนใจ และเขารู้สึกราวกับว่าตนเองได้ย้อนกลับไปสู่อดีต ในช่วงเวลานั้น ตระกูลเฉินยังไม่ได้รับการฟื้นฟูขึ้นมา และเขาก็เป็นผู้อาวุโสของกองกำลังอันดับหนึ่งแห่งเมืองหมอกสน ครั้งหนึ่งเขาเคยถูกจ้องมองแบบนี้อยู่บ่อย ๆ แต่น่าเสียดายที่ทั้งหมดนี้ไม่มีอีกแล้ว
หลังจากที่เขาสงบอารมณ์ได้ หนิงเต้าฟู่ก็กล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ข้าคิดว่าทุกคนต่างก็รู้ว่าข้ามาจากนิกายกระบี่เบญจธาตุในที่ราบตอนกลาง ผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางที่ข้าเชิญในครั้งนี้ล้วนมาจากที่นั่น”
“นิกายกระบี่เบญจธาตุแห่งที่ราบตอนกลาง?”
“ยอดเยี่ยมยิ่งนัก! ที่ราบตอนกลางอุดมสมบูรณ์ไปด้วยปราณวิญญาณมากกว่าดินแดนทางตอนใต้ของเรามากนัก มันเป็นดินแดนที่เต็มไปด้้วยผู้บ่มเพาะที่มีพรสวรรค์อันยอดเยี่ยมและมีผู้บ่มเพาะระดับสูงอยู่มากมายราวกับก้อนเมฆ ด้วยความช่วยเหลือจากผู้บ่มเพาะของนิกายกระบี่เบญจธาตุ พวกเราจะรอดจากหายนะในครั้งนี้อย่างแน่นอน”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว”
ทุกคนต่างก็รู้สึกมีขวัญกำลังใจมากขึ้นเมื่อได้ยินเกี่ยวกับสิ่งนี้ พวกเขาเป็นเพียงผู้นำของกองกำลังในเมืองเล็ก ๆ ที่ห่างไกลในดินแดนทางตอนใต้ ต่อให้เป็นบุคคลสำคัญของเมืองทะเลสาบมังกรมาเยือน ในสายตาพวกเขาก็จะเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นตัวตนที่พวกเขาจะต้องชื่นชมเป็นอย่างมาก ตอนนี้เมื่อพวกเขาได้ยินว่าคนที่กำลังมาช่วยเหลือคือผู้บ่มเพาะจากนิกายกระบี่เบญจธาตุในที่ราบตอนกลาง มันทำให้พวกเขาไม่อาจเก็บความตื่นเต้นในใจพวกเขาได้เลย
หนิงเต้าฟู่รับฟังคำชื่นชมของทุกคนด้วยรอยยิ้ม และเขาก็รู้สึกยินดีอยู่ภายในหัวใจของเขาเป็นอย่างมาก แต่เมื่อเขาเห็นเฉินฮ่าวเงียบไป เขาจึงรู้สึกกังวลอยู่ในใจและกล่าวพร้อมกับยิ้มออกมาทันที “สิ่งนี้มิเท่าไรหรอก ถ้าหากผู้นำตระกูลเฉินออกหน้าแล้ว ข้าคิดว่าเขาจะสามารถเชิญผู้บ่มเพาะของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรมาช่วยเราได้อย่างแน่นอน เช่นนั้นเราจะต้องกังวลถึงสิ่งใดอีกเล่า”
เดิมทีเขามีเจตนาที่ดีและต้องการใช้โอกาสนี้ประจบประแจงเฉินฮ่าว เพราะท้ายที่สุดเขาก็ยังคงต้องพึ่งพาการปกป้องของค่ายกลกระบี่มหาปราณของตระกูลเฉินอยู่ดี แต่เขากลับไม่เคยคิดเลย เมื่อคำพูดเหล่านี้ได้ผ่านเข้าหูของผู้คนที่อยู่ในตอนนี้ บรรยากาศในห้องโถงใหญ่ก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ทุกคนต่างก็ไม่ได้กล่าวถึงสิ่งใดออกมา ราวกับพวกเขากำลังครุ่นคิดอยู่ในใจ
แน่นอนว่าเฉินฮ่าวเองก็รู้โดยธรรมชาติว่า คนเหล่านี้กำลังตำหนิเขา แต่เขาก็ไม่ต้องการที่จะอธิบายถึงสิ่งใด
อันที่จริง ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยคิดที่จะขอความช่วยเหลือจากนิกายกระบี่เมฆาพเนจร แต่ความคิดนี้ถูกปัดตกอย่างรวดเร็ว เนื่องจากในปัจจุบัน ตระกูลเฉินมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำ และเขาคือผู้นำของตระกูลเฉิน หากเขาต้องคอยร้องขอความช่วยเหลือจากนิกายกระบี่เมฆาพเนจรเมื่อประสบเข้ากับปัญหา เช่นนั้น ตระกูลเฉินของเขาจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างแท้จริงได้เมื่อไรกัน?
ยิ่งไปกว่านั้น เฉินฮ่าวมีสิ่งที่ต้องไตร่ตรองให้ลึกซึ้งมากกว่านี้ เพราะเขาไม่ได้เป็นสมาชิกของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรอีกต่อไป ในขณะที่เฉินซีกำลังจะมุ่งหน้าไปยังนครหลวงธารสายไหมเพื่อเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่งในอีกสองปีข้างหน้า เมื่อเฉินซีติดอยู่ในสิบอันดับแรก เฉินซีอาจต้องไปจากดินแดนของราชวงศ์ซ่ง ดังนั้นการพัฒนาของตระกูลเฉินในเวลานั้นจะต้องพึ่งพาเขาทั้งหมด ส่วนนิกายกระบี่เมฆาพเนจรก็อาจช่วยเขาได้ครั้งหรือสองครั้ง แต่ไม่อาจช่วยเขาได้ตลอดไป
เป็นเพราะการไตร่ตรองเหล่านี้ ทำให้เขาตัดสินใจพึ่งพาตัวเองสำหรับทุกสิ่ง เว้นแต่เวลาวิกฤตจะมาถึง เขาจะไม่ขอความช่วยเหลือจากนิกายกระบี่เมฆาพเนจรอย่างแน่นอน
การโจมตีของฝูงสัตว์อสูรที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ยังไม่อาจคุกคามความอยู่รอดของตระกูลเฉินได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ขอความช่วยเหลือจากนิกายกระบี่เมฆาพเนจร
สำหรับความปลอดภัยของตระกูลอื่น ๆ เฉินซีไม่ได้สนใจเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ เนื่องจากเขาไม่ใช่นักบุญ ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะดูแลทุกคน เนื่องจากทุกคนล้วนมีอิสระที่จะช่วยหรือไม่ช่วย และไม่สามารถตำหนิใครเพียงเพราะเหตุนี้
ตึก! ตึก! ตึก!
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าอันรวดเร็วก็ดังก้องออกมาจากด้านนอกห้องโถงใหญ่ และเซียวเหน่าก็วิ่งเข้ามาด้วยท่าทางที่ร้อนรน พร้อมกับโค้งคำนับและกล่าวว่า “ท่านผู้นำ มีผู้บ่มเพาะสามคนอยู่ข้างนอก และพวกเขาต้องการขอเข้าพบท่าน ท่านต้องการที่จะพบกับพวกเขาหรือไม่”
“มีคนมาหรือ?” เฉินฮ่าวตกตะลึงและถาม “พวกเขากล่าวว่าอะไรหรือ?”
“ตามที่พวกเขาบอก พวกเขาเป็นผู้บ่มเพาะจากนิกายกระบี่เบญจธาตุในที่ราบตอนกลาง พวกเขามาที่เมืองหมอกสนของเราเพราะได้รับคำเชิญจากผู้อาวุโสหนิงเต้าฟู่ของสำนักหมอกสน”
“พวกเขามาเร็วกันขนาดนั้นเลยหรือ?” หนิงเต้าฟู่รู้สึกยินดีเป็นอย่างมากและไม่สามารถนั่งนิ่งได้อีกต่อไป จึงกล่าวในขณะที่ประสานมือของเขาว่า “ท่านผู้นำเฉิน เราควรเปิดค่ายกลกระบี่มหาปราณและอนุญาตให้พวกเขาเข้ามาหรือไม่”
เฉินฮ่าวยืนขึ้นและยิ้มในทำนองเดียวกัน “ผู้มาจากแดนไกลคือแขก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการที่พวกเขามาช่วยเหลือเราให้ผ่านพ้นสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ ไปทักทายอาคันตุกะทั้งสามที่มาจากที่ราบตอนกลางกันเถอะ”
…
ในขณะนี้ มีกลุ่มคนกำลังยืนอยู่นอกประตูทางเข้าสีแดงชาดของจวนตระกูลเฉิน
ที่โดดเด่นที่สุดในหมู่พวกเขาคือชายหนุ่มสองคนและหญิงสาวหนึ่งคน พวกเขาทั้งหมดสวมชุดคลุมนักพรตเต๋าสีขาวที่มีกลิ่นอายสง่าผ่าเผยและไม่ธรรมดา ดูเหมือนพวกเขากำลังสำรวจพื้นที่โดยรอบขณะที่กระซิบกันอย่างแผ่วเบา
ที่เบื้องหลังทั้งสามคนนี้ มีคนอยู่สิบสองคนที่ดูเหมือนข้ารับใช้ แต่ทุกคนล้วนมีร่างกายที่แข็งแกร่ง ดวงตาที่ปกคลุมไปด้วยประกายแสง และบริเวณโดยรอบของพวกเขาก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายที่หนักอึ้งเหมือนภูเขา
“ฮึ่ม! ท่านอาจารย์เห็นแก่ความสัมพันธ์เก่ามากเกินไปจริง ๆ เพื่อเห็นแก่ศิษย์ที่ถูกไล่ออกจากนิกายเมื่อหลายปีก่อน เขาได้สั่งให้พวกเรามายังสถานที่อันเลวร้ายแห่งนี้เพื่อให้ความช่วยเหลือ แต่ตอนนี้พวกเขากลับกระแทกประตูใส่หน้าพวกเรา ทำให้ข้ารู้สึกขุ่นเคืองยิ่งนัก!”
คนที่กล่าวอยู่ในขณะนี้คือหญิงสาวคนนั้น นางมีดวงตาสีน้ำตาลและริมฝีปากสีแดงสด ผิวขาว รูปร่างสง่างาม และใบหน้าที่สวยและมีเสน่ห์ ชื่อของนางคือ ‘หลินชิวหลิง’ และนางก็เป็นศิษย์ที่มีพลังขอบเขตแกนทองคำหยินหยางของนิกายกระบี่เบญจธาตุ
“ศิษย์พี่เหว่ย ท่านไม่รู้สึกขุ่นเคืองหรือ?” เมื่อหลินชิวหลิงเห็นชายหนุ่มที่เป็นผู้นำไม่สนใจ หลินชิวหลิงจึงเม้มริมฝีปากของนางและบ่นอย่างโกรธเคือง
“ศิษย์น้องหลิน ศิษย์พี่ใหญ่กำลังศึกษาค่ายกลที่อยู่เบื้องหน้าเรา และเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะไม่สนใจเจ้า” ในอีกด้านหนึ่ง ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่มีท่าทางโง่เขลากล่าวด้วยรอยยิ้ม เขามีนามว่าเมิ่งชื่อซิงและเป็นศิษย์ที่มีพลังขอบเขตแกนทองคำหยินหยางของนิกายกระบี่เบญจธาตุเช่นเดียวกับหลินชิวหลิง
“ศึกษาค่ายกล? เมืองที่ห่างไกลเช่นนี้มีค่ายกลที่คู่ควรแก่ความสนใจของศิษย์พี่ใหญ่ด้วยหรือ?” หลินชิวหลิงยังคงไม่พอใจเป็นอย่างมาก และกล่าวออกมาด้วยความขุ่นเคือง
“ใครจะไปรู้?” เมิ่งชื่อซิงเม้มริมฝีปากขณะที่ร่องรอยของความโหดร้ายกลืนกินดวงตาของเขา “ถ้ามันขึ้นอยู่กับข้า ก็แค่พังประตูแล้วเข้าไป เหตุใดเราต้องทำสิ่งใดให้ยุ่งยากกันล่ะ”
“ความคิดของข้าตรงกับศิษย์พี่เมิ่ง มาเถอะ มาพังประตูนี้กันดีกว่า เราไม่ได้เดินทางมาไกลเพื่อถูกพวกเขาปฏิเสธที่ทางเข้า ไม่ว่าตระกูลเฉินจะไม่ธรรมดาสักเท่าใด มันคงไม่กล้าทำให้เราขุ่นเคือง” หลินชิวหลิงชำเลืองมองไปที่แผ่นป้ายที่แขวนอยู่เหนือประตูทางเข้า และดวงตาของนางก็เบิกกว้างขณะที่นางยิ้ม
“ตกลง ข้าจะไปพังประตูด้วยหมัดนี้เดี๋ยวนี้และเปิดเส้นทางให้แก่ศิษย์น้อง” ขณะที่เมิ่งชื่อซิงพูด เขาก็ถูกำปั้นเข้าด้วยกันและก้าวเดินออกไปด้วยความตั้งใจที่จะทำลายประตู
“ไร้สาระ! ถ้าไม่อยากตายก็ถอยไปซะ!” ชายหนุ่มที่เป็นผู้นำขมวดคิ้วพร้อมกับตำหนิออกมาโดยตรง คนผู้นี้มีนามว่าเว่ยเยว่จื่อ เขามีรูปลักษณ์ที่หล่อเหลา แต่การแสดงออกของเขากลับเย็นชาเป็นอย่างมาก และเมื่อเขาเอามือไพล่หลังไว้ ยิ่งทำให้เขาดูหยิ่งผยองและเหินห่าง
เมิ่งชื่อซิงตกตะลึงและใบหน้าของเขาได้เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ แต่เขาไม่กล้าพูดอะไรออกมาและถอยกลับไปด้วยความขุ่นเคือง เห็นได้ชัดว่าเขาเกรงกลัวต่อศิษย์ใหญ่ของเขาเป็นอย่างมาก
หลินชิวหลิงก็ตกตะลึงเช่นกันและนางก็เอ่ยถามว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ เหตุใดท่านถึงโกรธเกรี้ยวเช่นนั้นเล่าเจ้าคะ? หรือว่ามีค่ายกลที่ทรงพลังเป็นอย่างยิ่งอยู่ในบริเวณโดยรอบของจวนตระกูลเฉินนี้”
“มันเป็นค่ายกลกระบี่ที่ทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง หากเราล่วงล้ำเข้าไป ข้าเกรงว่าจะถูกสังหารทันที หากการคาดการณ์ของข้าไม่ผิดพลาด แม้ผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาก็ยังไม่สามารถต้านทานได้” เว่ยเยว่จื่ออ้าปากค้างด้วยความชื่นชม “ยอดเยี่ยมยิ่งนัก! พลังของค่ายกลนี้น่าจะไม่ด้อยไปกว่าค่ายกลกระบี่เบญจธาตุที่เป็นมหาค่ายกลคุ้มนิกายของนิกายของเรา”
‘ถึงกับสามารถทำลายล้างผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาได้เลยหรือ?’ เมิ่งชื่อซิงรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก และรู้สึกหวาดกลัวอย่างสุดขีดในใจเมื่อเขานึกถึงการกระทำของเขาก่อนหน้านี้
“ในเมื่อศิษย์พี่เว่ยชอบ เหตุใดเราไม่ขอค่ายกลนี้เป็นรางวัลเพื่อแลกกับการขับไล่ฝูงสัตว์อสูรให้แก่พวกเขาเสียเลยล่ะเจ้าคะ?” หลินชิวหลิงดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างขณะที่นางพูด
“ใช่แล้ว เราไม่อาจช่วยพวกเขาโดยปราศจากสิ่งตอบแทน เนื่องจากศิษย์พี่ใหญ่กล่าวว่าค่ายกลนี้ทรงพลังเป็นอย่างมาก ดังนั้นเราจะขอให้พวกเขามอบมันมา ข้าคาดว่าพวกเขาจะไม่กล้าปฏิเสธ” เมิ่งชื่อซิงแนะนำ
เว่ยเยว่จื่อรู้สึกประทับใจอย่างมากเช่นกัน เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่า จะได้พบกับค่ายกลกระบี่ที่น่าเกรงขามอยู่ในเมืองที่ห่างไกลเช่นนี้ และมันจะเป็นเรื่องโกหกอย่างแน่นอนหากจะบอกว่าเขาไม่หวั่นไหว
เขายังคิดด้วยซ้ำว่าถ้าเขาสามารถนำค่ายกลนี้กลับไปยังนิกายได้ ประมุขและผู้อาวุโสทุกคนจะต้องให้รางวัลแก่เขามากมายอย่างแน่นอน และอาจสนับสนุนเขาให้เป็นศิษย์สายหลักเสียด้วยซ้ำ…
แต่ด้วยความระมัดระวัง เขาจึงยังคงส่ายหัวและพูดว่า “ไว้ค่อยพูดคุยเรื่องนี้ในภายหลัง”
หลินชิวหลิงและเมิ่งชื่อซิงต่างก็มองหน้ากันด้วยรอยยิ้ม เนื่องจากศิษย์พี่ใหญ่ของเขาไม่ปฏิเสธ ดังนั้นแสดงว่าเขาต้องการครอบครองมันอย่างแน่นอน ดังนั้นเราจึงค่อยดำเนินการไปตามสถานการณ์ในภายหลังเท่านั้น
สำหรับเรื่องที่พวกเขาอาจทำให้ผู้นำตระกูลเฉินต้องขุ่นเคืองนั้น พวกเขาหาได้สนใจไม่ เนื่องจากจะเกิดสิ่งใดขึ้น หากพวกเขาทำให้ตระกูลหนึ่งในเมืองเล็ก ๆ ที่ไม่สามารถป้องกันตัวเองจากฝูงสัตว์อสูรต้องขุ่นเคือง?
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่อาจารย์ของพวกเขาได้กล่าวไว้ว่า ผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองหมอกสนนั้น มีฐานการบ่มเพาะอยู่ที่ขอบเขตเคหาทองคำเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งเช่นนี้ไม่มีค่าพอที่จะให้พูดถึง และมันก็เหมือนมดปลวกที่สามารถถูกบดขยี้ให้ตายได้อย่างง่ายดาย
เป็นเพราะการรับรู้ถึงเรื่องนี้ ทำให้พวกเขากล้าที่จะกระทำตัวเหนือตระกูลเฉินอย่างโจ่งแจ้ง
…
การมาถึงของเว่ยเยว่จื่อ เมิ่งชื่อซิง หลินชิวหลิง และคนอื่น ๆ ได้รับการต้อนรับจากผู้นำของกองกำลังต่าง ๆ ที่อยู่ที่นี่รวมถึงเฉินฮ่าว
แม้ว่าพวกเขาทั้งสามคนจะอายุยังน้อย แต่พวกเขาทุกคนก็มีฐานการบ่มเพาะที่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ซึ่งในโลกแห่งการบ่มเพาะนั้น เคารพต่อความแข็งแกร่งเป็นหลักอยู่เสมอ ดังนั้นผู้นำของกองกำลังต่าง ๆ จึงทำได้เพียงลดตำแหน่งอาวุโสของตนลงและต้อนรับทั้งสามด้วยความเคารพเท่านั้น
แต่เฉินฮ่าวรังเกียจที่จะทำเช่นนี้ และเขากลับรู้สึกได้ราง ๆ ว่าทั้งสามคนนี้รู้ถึงตัวตนของเขา การจ้องมองของพวกเขามีร่องรอยของการแสดงออกที่ผิดปกติ ราวกับว่ามีบางสิ่งที่กระตุ้นความสนใจของพวกเขาอยู่ และความรู้สึกดังกล่าวทำให้เฉินฮ่าวรู้สึกค่อนข้างอึดอัด
แต่เนื่องจากทั้งสามคนนี้ได้เดินทางไกลมาเพื่อช่วยเหลือเมืองหมอกสน เฉินฮ่าวจึงไม่ได้แสดงความไม่ชอบใจออกไป และมีเพียงท่าทีของเขาเท่านั้นที่ดูเหมือนจะเย็นชาเล็กน้อย
ทุกคนนั่งลงที่ห้องโถงใหญ่ของตระกูลเฉิน และหลังจากทักทายกันสั้น ๆ เมิ่งชื่อซิงก็กล่าวขึ้นมาอย่างกะทันหันว่า “สหายเต๋าที่อยู่ที่นี่ในวันนี้ การที่พวกเราเดินทางมาที่นี่เพื่อช่วยเหลือนั้น เราไม่ควรร้องขอรางวัล แต่ศิษย์พี่ใหญ่ของข้าหลงใหลในเต๋าแห่งยันต์อักขระ อีกทั้งก่อนหน้านี้ เขาพบว่ามีค่ายกลที่ลึกล้ำกำลังปกป้องบริเวณโดยรอบของตระกูลเฉินอยู่ และปรารถนาที่จะนำมันกลับไปที่นิกายเพื่อทุ่มเทศึกษา ข้าสงสัยว่าทุกคนพอจะอดทนต่อความเจ็บปวด และมอบค่ายกลกระบี่นี้ให้แก่ศิษย์พี่ของข้าได้หรือไม่?”
หืม!
ทันทีที่เขากล่าวจบ เสียงในห้องโถงใหญ่ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยทันที และสายตาแปลก ๆ ของทุกคนก็พุ่งไปที่เฉินฮ่าว
“นี่…ดูเหมือนจะไม่เหมาะสมกระมัง?” เมื่อเขาเห็นการแสดงออกที่เฉยเมยของเฉินฮ่าว หัวใจของหนิงเต้าฟู่ก็กระตุกวูบในทันที แต่เขาก็ไม่กล้าล่วงเกินคนทั้งสามที่เขาเชิญมาเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงรวบรวมความกล้าเพื่อให้คำแนะนำเท่านั้น
“มันไม่เหมาะสมตรงไหน?” เมิ่งชื่อซิงขมวดคิ้วและกล่าวด้วยความไม่พอใจว่า “พวกเราทุกคนล้วนลำบากมากที่จะมาช่วยพวกเจ้าทุกคน หรือว่าพวกเจ้าทุกคนไม่สามารถตกลงกับคำขอเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ได้”
“หากพวกเจ้าทุกคนเห็นด้วย ข้าขอรับประกันว่าจะกำจัดฝูงสัตว์อสูรให้สิ้นซากและนำความสงบสุขคืนสู่เมืองหมอกสน พวกเจ้าคิดว่าอย่างไรบ้าง” หลินชิวหลิงกล่าวออกมาจากด้านข้าง แต่ดวงตาของนางมีร่องรอยของความมั่นใจและความเย่อหยิ่ง ราวกับว่านางไม่ได้ใส่ใจกับสัตว์อสูรเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย
หนิงเต้าฟู่คร่ำครวญด้วยความขมขื่นอยู่ในใจ ‘เดิมทีข้าคิดที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้บ่มเพาะที่ทรงพลัง แต่ไหนเลยจะคาดคิดว่า ข้าจะชักนำหมาป่าที่หิวโหยเข้ามาแทน?’
‘ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าปล่อยให้พวกเขากระทำเช่นนี้ ก็เหมือนกับข้าได้ล่วงเกินตระกูลเฉินโดยทางอ้อมมิใช่หรือ? ถึงแม้ข้าจะทำให้ตระกูลเฉินต้องขุ่นเคืองนั้นก็ไม่สำคัญ แต่ปัญหาที่แท้จริงคือ นิกายกระบี่เมฆาพเนจรที่อยู่เบื้องหลังตระกูลเฉินคงจะไม่ปล่อยข้าไปอย่างแน่นอน…’
“ค่ายกลกระบี่นี้ที่ปกป้องตระกูลเฉินอยู่นั้น มันมีค่ามหาศาล ดังนั้น…” หนิงเต้าฟู่กล่าวออกมาอีกครั้ง
ก่อนที่เขาจะพูดจบ เฉินฮ่าวที่เงียบมาตั้งแต่ต้นก็ขัดจังหวะเขาทันที และเขาเงยหน้าขึ้นมองกลุ่มสามคนของเว่ยเยว่จื่อ ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ “ถ้าข้าไม่มอบค่ายกลกระบี่ พวกเจ้าทุกคนวางแผนที่จะยืนดูโดยไม่ช่วยเหลือหรือ?”
เมิ่งชื่อซิงตกตะลึงและดูเหมือนว่าเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่า ผู้นำตระกูลที่มีฐานการบ่มเพาะเพียงขอบเขตเคหาทองคำอย่างเฉินฮ่าวจะกล้ากล่าวเช่นนี้ จากนั้นเขามองไปยังศิษย์พี่ของเขา ซึ่งไม่ได้กล่าวอะไรมาตั้งแต่ต้น และเมื่อเขาเห็นว่าเว่ยเยว่จื่อไม่มีความตั้งใจที่จะหยุดเขา เขาก็ตะคอกอย่างเย็นชาทันที “ข้าคิดว่าผู้นำเฉินควรคิดทบทวนให้ดีก่อนที่จะลงมือทำ อย่าทำให้ทุกคนต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังเพียงเพราะแรงกระตุ้นในชั่วขณะ”