บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 270 ภัยร้ายที่ประชิดเข้ามา
บทที่ 270 ภัยร้ายที่ประชิดเข้ามา
เพียงแค่สามกระบวนท่า หลินชิวหลิงที่มีระดับการบ่มเพาะที่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางและเป็นศิษย์ของนิกายกระบี่เบญจธาตุก็เสียชีวิตในทันที แต่ก็ไม่น่าแปลกใจ หลังจากที่นางได้เห็นการต่อสู้ระหว่างเฉินซีกับเว่ยเยว่จื่อ นางก็สูญเสียความตั้งใจที่จะต่อสู้และคิดที่จะหลบหนีมาตั้งนานแล้ว
อย่างไรก็ตาม เฉินซีตั้งใจจะฆ่านางเพื่อไม่ให้เรื่องราวที่เกิดขึ้นเล็ดลอดออกไป ดังนั้นหลินชิวหลิงจะมีโอกาสรอดภายใต้ความห่างชั้นของฝีมือเช่นนี้ได้อย่างไร?
ไม่ใช่แค่หลินชิวหลิงที่ถูกสังหาร เมิ่งชื่อซิงที่ยังไม่ได้สติ รวมทั้งข้ารับใช้นับสิบคนที่มีฐานการบ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำ ก็ถูกเฉินซีสังหารโดยปราศจากความเมตตาแม้แต่น้อย
ในขณะนี้ กลุ่มคนที่นิกายกระบี่เบญจธาตุส่งมาเพื่อช่วยเหลือ ล้วนถูกสังหารจนหมดสิ้น และนี่คือผลลัพธ์ที่ไม่มีผู้ใดคาดคิดมาก่อน
กลิ่นเลือดที่คาวคลุ้งไปทั่วบริเวณโดยรอบ ทำให้ผู้คนรู้สึกแสบตาและหายใจลำบาก
ทุกคนที่อยู่ในตอนนี้ต่างมีความรู้สึกหลากหลายอยู่ในใจ เมื่อพวกเขามองไปที่แอ่งเลือดและซากศพบนพื้น พวกเขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่า เรื่องทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของเฉินซีแต่เพียงผู้เดียว
โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาเห็นหญิงงามหลินชิวหลิงถูกเฉินซีสังหารโดยไม่กะพริบตา พวกเขาทั้งหมดต่างก็รู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจ
ในสายตาของพวกเขา เฉินซีเป็นดั่งเพชฌฆาตที่เลือดเย็นและไร้อารมณ์ เป็นคนที่สามารถสังหารคนอื่นได้โดยไม่กะพริบตา เมื่อใดที่เขาคิดจะฆ่าคนเพื่อปิดปาก เขาจะลงมือโดยปราศจากความละอาย อีกทั้งยังโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี
นอกจากนี้ เฉินซีก็ไม่ใช่คนที่เลือกปฏิบัติระหว่างชายหรือหญิง ไม่ว่าคนผู้นั้นจะแก่เฒ่าหรือเป็นคนหนุ่มสาว ทั้งหมดล้วนมีโอกาสถูกเฉินซีสังหารอย่างเลือดเย็นและไร้ความปรานีอย่างเท่าเทียม
และการที่เฉินซีแสดงวิธีการที่เด็ดขาดและเลือดเย็นอย่างเต็มที่ ก็ทำให้ทุกคนที่อยู่ในตอนนี้รู้สึกหวาดกลัว และไม่กล้าแพร่งพร่ายเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ออกไปเพราะพวกเขาไม่ต้องการล่วงเกินเทพแห่งความตายผู้นี้และนำภัยพิบัติมาสู่ตัวเอง
“สหายเต๋า คนเหล่านี้มีจิตใจละโมบโลภมาก และความตายของพวกเขาก็ไม่มีอะไรต้องเสียใจ ตอนนี้พี่ชายของข้าได้ออกมาจากการปิดด่านบ่มเพาะ ข้าเชื่อว่าทุกท่านได้เห็นความแข็งแกร่งของเขาแล้ว เมื่อมีเขาอยู่ด้วย ทุกคนก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับภัยพิบัติที่เกิดจากฝูงสัตว์อสูรที่กำลังคืบคลานเข้ามา แต่เพื่อความปลอดภัย ทุกท่านควรรีบกลับไปที่ตระกูลและสำนักของตนเอง เพื่อนำศิษย์หรือสมาชิกในครอบครัวของพวกท่านมายังจวนตระกูลเฉินของข้า ด้วยวิธีนี้ พวกเขาจะปลอดภัยจากภยันตราย ทุกท่านคิดเห็นว่าอย่างไรบ้าง” สายตาของเฉินฮ่าวกวาดผ่านทุกคนในขณะที่เขากล่าวอย่างกะทันหัน
“ตกลง”
“ในเมื่อผู้นำตระกูลเฉินกำลังคิดเพื่อประโยชน์ของพวกเรา แล้วเราจะปฏิเสธท่านได้อย่างไร”
“ใช่แล้ว เราจะกลับไปรวบรวมคนในตระกูลของเราและรีบย้ายพวกเขามาที่ตระกูลเฉิน หลังจากนั้น พวกเราจะฝ่าฟันช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปด้วยกัน”
ผู้นำของกองกำลังต่าง ๆ ของเมืองหมอกสนต่างเห็นพ้องต้องกัน หลังจากที่พวกเขาได้เห็นความแข็งแกร่งของเฉินซีแล้ว พวกเขาก็รู้ว่าควรต้องกระทำสิ่งใด
“เจ้าต้องการให้สมาชิกที่อยู่เบื้องหลังคนเหล่านี้เข้าร่วมกับตระกูลของเรา แล้วท่านพี่ของเจ้าจะเห็นดีด้วยหรือ?” ที่ลานด้านหลังของจวนตระกูลเฉิน เฟยเหลิ่งชุ่ยขมวดคิ้วขณะที่เอ่ยถาม
เฉินฮ่าวถอนหายใจด้วยความโล่งอกและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่ย่อมไม่สนใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ จึงไม่ต้องกล่าวถึงการรับผู้มีฝีมือจากกลุ่มต่าง ๆ เข้าสู่ตระกูลเฉินของเรา ทุกสิ่งที่ได้กระทำลงไปนั้น ก็เพื่อผลประโยชน์ของตระกูลเฉิน”
แม้ว่าเฟยเหลิ่งชุ่ยจะกลายเป็นแม่คนในตอนนี้ แต่เมื่อหลายปีก่อน นางก็เป็นผู้นำศิษย์รุ่นใหม่ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร ยิ่งไปกว่านั้น นางมีสติปัญญาที่ฉลาดหลักแหลม ดังนั้นนางจึงเข้าใจแผนการที่แฝงอยู่ในทันที จากนั้นนางจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นเช่นนี้เอง เมื่อพี่ใหญ่ลงมือสังหารศิษย์ของนิกายกระบี่เบญจธาตุภายใต้สายตาของทุกคน จะยิ่งทำให้ผู้มีอำนาจเหล่านั้นต้องการที่จะเข้าร่วมกับตระกูลเฉิน นอกจากนี้ มันยังสามารถใช้เป็นคำเตือนได้อีกเช่นกัน หากมีผู้ใดคิดจะแพร่งพรายข่าวนี้ออกไป พวกเขาจะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของคนในตระกูลเสียก่อน ใช่หรือไม่?”
เฉินฮ่าวหัวเราะเสียงดังในขณะที่เขาพยักหน้า “ถูกต้อง”
“ท่านพ่อ ท่านหัวเราะอะไรหรือ? รีบไปกับฝึกกระบี่อวี่เอ๋อร์เถอะ เมื่อข้าโตขึ้น ข้าต้องการที่จะคว้าอันดับหนึ่งในการจัดอันดับมังกรซ่อนเช่นเดียวกับท่านลุง” เฉินอวี่น้อยถือกระบี่ไม้ด้ามเล็ก ๆ ขณะที่เขาวิ่งเข้าไปในบ้าน
…
เฉินซีกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องของเขา
การต่อสู้ในวันนี้ ทำให้เขาเข้าใจความแข็งแกร่งของตัวเองมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะปีกนภาดารกะและยันต์ศัสตรา พวกมันทำให้เขาประหลาดใจเป็นอย่างมาก
สิ่งหนึ่งเด่นในด้านความเร็ว
ส่วนอีกสิ่ง สามารถส่งเสริมและสอดคล้องกับเคล็ดวิชาการต่อสู้ที่เขาใช้
เมื่อเขาใช้ทั้งสองสิ่งนี้ร่วมกัน ทำให้ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสามเท่า นอกจากนี้ จากการคาดเดาของเฉินซี แม้แต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง เช่น หวงฝู่ฉงหมิง หลิวเฟิ่งฉือ หม่านหง หลินโม่เซวียน เซียวหลิงเอ๋อร์ ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้สำหรับเขาอีกต่อไป แต่เมื่อเทียบกับชิงซิ่วอี้ เขายังด้อยกว่าเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด…
อันที่จริง ไม่ใช่ว่าเฉินซีไม่มีความมั่นใจ แต่ด้วยความก้าวหน้าของการบ่มเพาะของเขา มันทำให้เขาสามารถรับรู้ถึงความแข็งแกร่งของชิงซิ่วอี้ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ท้ายที่สุดแล้ว ผู้หญิงคนนี้ก็สามารถต่อกรกับฟ่านอวิ๋นหลานซึ่งอยู่ในขอบเขตจุติได้อย่างเท่าเทียม แม้ว่าการบ่มเพาะของนางจะอยู่ที่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง แต่ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของนางได้เหนือกว่าขอบเขตแกนทองคำหยินหยางและไม่อาจประเมินได้ด้วยสามัญสำนึกทั่วไป
‘บางทีข้าอาจต่อกรกับชิงซิ่วอี้ได้ หลังจากที่ข้าก้าวเข้าสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางแล้ว… ไม่สิ ผู้หญิงคนนี้เป็นเซียนสวรรค์ที่กลับชาติมาเกิด และนางก็มีความก้าวหน้าเช่นเดียวกับข้า เกรงว่าการไล่ตามนางคงจะไม่ง่ายนัก…’ เฉินซีคิดซ้ำไปซ้ำมาแต่ก็ไม่อาจหาข้อสรุปได้ ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะส่ายศีรษะและมุ่งความสนใจไปที่ตัวเองแทน
‘ปีกนภาดารกะเป็นพลังอิทธิฤทธิ์ และมันจะทำให้ผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ ทราบว่าข้าฝึกฝนการแปรสภาพร่างกาย ดังนั้นข้าไม่ควรใช้มันในการต่อสู้อีก แต่โชคดีที่ปีกนภาดารกะมีเคล็ดวิชาในการปกปิดกลิ่นอายของมัน ดังนั้นข้าจึงไม่ต้องกังวลกับเรื่องนี้’ ในความคิดของเฉินซี การบ่มเพาะทักษะแปรสภาพร่างกายจึงอาจถือเป็นไพ่ตายของเขาได้ และยิ่งมีคนรู้เรื่องนี้น้อยเท่าไร โอกาสในการเอาชนะคู่ต่อสู้ของเขาก็จะยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น
‘สำหรับยันต์ศัสตรา ข้าไม่จำเป็นต้องปกปิดมัน เพราะไม่มีผู้ใดสามารถแยกแยะคุณสมบัติของมันออก และตราบใดที่ไม่มีใครรู้ความลับของมัน แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว’ เมื่อเขาคิดถึงยันต์ศัสตรา เฉินซีก็สั่งการในใจก่อนจะเปิดปากเพื่อพ่นลำแสงออกมา จากนั้นมันก็เปลี่ยนเป็นยันต์ศัสตราที่มีความยาวสี่ฉื่อ ซึ่งมีรูปร่างแบบโบราณและเรียบง่าย มันมีสีดำสนิทเหมือนหินอัคนี ทำให้มันดูไม่เด่นนัก
แต่มีเพียงเฉินซีเท่านั้นที่รู้ว่า พลังของยันต์ศัสตรานั้นน่าเกรงขามถึงเพียงใด มันสามารถพัฒนาได้อย่างไร้ขีดจำกัด และมันยังส่งเสริมความแข็งแกร่งของเต๋ารู้แจ้งได้อีกเช่นกัน หากมันปรากฏขึ้นที่โลกภายนอกละก็ จะทำให้โลกแห่งการบ่มเพาะต้องสั่นสะเทือนอย่างแน่นอน
“ในขณะนี้ ไม้ศักดิ์สิทธิ์สีคราม เหล็กพลังสุริยัน ผลึกเพลิงเทวะ และวารีทมิฬเอกะได้ถูกสะกดอยู่ภายในยันต์ศัสตรา ทำให้พวกมันสามารถหล่อเลี้ยงดวงจิตวิญญาณกระบี่ได้อย่างต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้น ยังสามารถควบคุมความคมของใบกระบี่ ขัดเกลาสิ่งเจือปนในตัวกระบี่และชำระล้างอักขระบนพื้นผิวของกระบี่”
‘แต่ยันต์เทวะสยบปฐพีนั้นยังมีธุลีโกลาหลถูกสะกดอยู่ภายใน และมันมีประโยชน์ต่อความแข็งของตัวกระบี่อย่างมาก ถ้ายึดตามหลักเหตุผลแล้ว คุณภาพของยันต์ศัสตราก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าสมบัติวิเศษระดับปฐพีขั้นสุดยอดเลยแม้แต่น้อย…’ เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและตัดสินใจที่จะทดสอบพลังที่แท้จริงของยันต์ศัสตราด้วยมือของเขาเอง
โอม!
กระบี่ทองคำที่มีความแวววาวปรากฏขึ้นในมือของเขา รูปร่างของมันแคบ ยาว และบางเหมือนปีกของจักจั่น มีอักขระยันต์ที่ลึกล้ำและหนาแน่นมากมายจารึกไว้ และมันแผ่ปราณทองคำที่เจ็ดที่แข็งแกร่งออกมา กระบี่นี้ถูกทิ้งไว้โดยเว่ยเยว่จื่อ หลังจากที่เขาเสียชีวิต และเป็นกระบี่ระดับปฐพีขั้นสุดยอดที่ถูกเรียกว่า กระบี่ทลายผา
เคร้ง!
เฉินซีกัดฟันแน่นก่อนที่จะถ่ายทอดพลังเข้าไปในยันต์ศัสตรา และฟันลงไปที่กระบี่ทลายผาอย่างรุนแรง ทำให้ประกายไฟสีทองสาดกระจายไปทั่วพร้อมกับเสียงอันน่าสยดสยองที่ดังก้องออกมา ‘เคร้ง’ รอยแตกปรากฏขึ้นบนกระบี่ทลายผาและห่างจากจุดศูนย์กลางเพียงคืบเดียว ก็สามารถทำให้มันแตกหักได้ ในขณะที่ยันต์ศัสตราในมือของเฉินซีนั้น ไม่มีแม้แต่ร่องรอยความเสียหายใด ๆ
‘ยอดเยี่ยมยิ่งนัก! ความแข็งแกร่งของยันต์ศัสตรานั้น แทบจะเหนือกว่าระดับปฐพีแล้ว!’ เฉินซีอ้าปากค้างด้วยความชื่นชมในใจของเขา และเขาสามารถยืนยันได้อย่างคร่าว ๆ ว่า คุณภาพของยันต์ศัสตราในตอนนี้ น่าจะอยู่เหนือกว่าระดับปฐพีขั้นสุดยอด แต่ยังด้อยกว่าสมบัติวิเศษระดับสวรรค์ หากมันได้พัฒนาจนเป็นกระบี่ระดับสวรรค์ขั้นต่ำแล้ว มันก็เพียงพอที่จะสะบั้นสมบัติวิเศษระดับปฐพีขั้นสุดยอดด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
แน่นอนว่าผลลัพธ์นี้ย่อมขึ้นอยู่กับการบ่มเพาะของผู้ใช้ด้วย ในมือของเซียนสวรรค์ แม้แต่เศษโลหะหนึ่งชิ้น ก็เพียงพอที่จะทำลายสมบัติวิเศษระดับสวรรค์ และผลลัพธ์เช่นนี้ย่อมเกิดจากความแข็งแกร่งของเซียนสวรรค์เอง ไม่ใช่ที่คุณภาพของสมบัติวิเศษ
แม้ว่าวิธีการทดสอบของเฉินซีจะทำออกมาหยาบ ๆ แต่เมื่อประเมินคุณภาพของสมบัติวิเศษแล้ว ผลการทดสอบของเขาก็ไม่ต่างจากความจริงมากนัก
หลังจากที่เขาไตร่ตรองประสบการณ์และข้อบกพร่องในการต่อสู้ เฉินซีก็ไม่กล้าเอ้อระเหย และรีบหยิบแผ่นหยกสีทองเข้มที่บันทึกเพลงหมัดมหาทำลายล้างออกมา เพื่อศึกษาทำความเข้าใจอย่างรอบคอบอีกครั้ง
เหลือเวลาอีกไม่ถึงสองปี การชุมนุมดาวรุ่งก็จะเริ่มขึ้น และเมื่อถึงเวลานั้น เหล่าอัจฉริยะในดินแดนของราชวงศ์ซ่งจะมารวมตัวกันที่นครหลวงธารสายไหมจากทั่วทุกหนแห่ง และจัดงานประลองยุทธ์ครั้งใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน สำหรับยอดฝีมือขอบเขตแกนทองคำหยินหยางทุกคนที่มีอายุต่ำกว่าสามสิบปี ไม่ต้องสงสัยเลยว่า มันจะเป็นโอกาสอันดีในการสร้างชื่อให้ตนเองและกลายเป็นผู้มีชื่อเสียง
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ที่ได้อันดับที่หนึ่งของการชุมนุมดาวรุ่ง จะสามารถเป็นตัวแทนของราชวงศ์ซ่งเพื่อเข้าสู่สมรภูมิบรรพกาล และแข่งขันเพื่อคว้าเอาคุณสมบัติในการเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬ!
เป้าหมายสูงสุดของเฉินซีในการเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่งนั้น คือต้องการคุณสมบัติเพื่อเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬ ส่วนการสร้างชื่อเสียงให้แก่ตัวเองนั้น เขาก็ไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย
แต่แม้ว่าจะไม่ได้กล่าวถึงคุณสมบัติในการเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬในตอนนี้ แต่ความปรารถนาที่จะได้รับอันดับทั้งสิบในการชุมนุมดาวรุ่งนั้น ก็ไม่ง่ายดายอย่างที่คิด
อย่างไรก็ตาม เมื่อลองทบทวนดูแล้ว ผู้คนที่สามารถเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่งได้ ล้วนเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางที่มีอายุต่ำกว่าสามสิบปี ซึ่งมาจากทั่วทุกมุมของราชวงศ์ซ่ง และจำนวนของพวกเขาก็มหาศาลอย่างน่าตกตะลึง ยิ่งไปกว่านั้น จะต้องมียอดอัจฉริยะที่ไม่ธรรมดาอย่างหวงฝู่ฉงหมิง หรือแม้แต่บุคคลที่เก่งกาจอย่างชิงซิ่วอี้ ก็คงไม่น้อยกว่าหนึ่งหรือสองคนอย่างแน่นอน
ดังนั้น ด้วยอัจฉริยะจำนวนมากมายเหล่านี้ ความยากลำบากในการคว้าสิบอันดับแรกนั้น สามารถจินตนาการได้อย่างชัดเจน
เป็นเพราะการพิจารณาเหล่านี้อย่างถ่องแท้ ทำให้เฉินซีต้องบ่มเพาะอย่างสิ้นหวังและไม่กล้าที่จะหย่อนหยานแม้แต่น้อย เพราะเมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ แล้ว เขาไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่งเสียด้วยซ้ำ!
ซึ่งเหตุผลนั้นธรรมดามาก เนื่องจากเขายังไม่ได้บรรลุขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ตามกฎของการชุมนุมดาวรุ่ง มีเพียงผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางที่มีอายุต่ำกว่าสามสิบปีเท่านั้นที่จะสามารถเข้าร่วมได้
ดังนั้น ความกดดันที่เฉินซีเผชิญอยู่ตอนนี้จึงสามารถจินตนาการได้อย่างชัดเจน
หากเขาต้องการที่จะบรรลุสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง เขาต้องประสบกับบททดสอบของลมและไฟ ที่ทำให้ผู้บ่มเพาะทุกคนต้องหน้าซีดหลังจากได้ยินชื่อของมัน และมันก็ไม่ใช่เรื่องงายดายอย่างที่คิด
ในช่วงสามสิบปีที่เขาปิดด่านบ่มเพาะอยู่ในโลกแห่งดารา เขาได้บรรลุการบ่มเพาะลมปราณจนถึงขอบเขตเคหาทองคำขั้นสมบูรณ์แบบมาตั้งนานแล้ว และเขายังสัมผัสได้ถึงการทะลวงเข้าสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง แต่เขายังไม่กล้าที่จะทะลวงผ่าน เนื่องจากการมีอยู่ของบททดสอบของลมและไฟ
แต่เฉินซีก็ไม่ได้รู้สึกกังวลสักเท่าใดนัก เนื่องจากมีเวลามากกว่าหนึ่งปีก่อนที่การชุมนุมดาวรุ่งจะเริ่มขึ้น ดังนั้นเขาจึงมีเวลาเพียงพอ และเขาตั้งใจที่จะหาเวลาที่เหมาะสมที่สุด เพื่อทะลวงไปยังขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ซึ่งมันเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
ตุบ! ตุบ! ตุบ!
ในตอนที่เฉินซีกำลังทำความเข้าใจเพลงหมัดมหาทำลายล้างอย่างจดจ่อ มีคลื่นเสียงฝีเท้าอันรวดเร็วได้ดังขึ้นจากนอกประตูของเขา และความสนใจของเฉินซีก็ถูกดึงดูดโดยเสียงฝีเท้านั้น ดูเหมือนอารมณ์ของเฉินฮ่าวจะวุ่นวายเล็กน้อย หรือว่ามีเหตุใดเกิดขึ้นอีก?
เฉินซียืนขึ้นและเปิดประตู ในขณะที่เฉินฮ่าว เพิ่งมาถึงที่หน้าประตู และกล่าวด้วยความลำบากใจเล็กน้อยเมื่อเห็นเฉินซี “ท่านพี่ ข้าเกรงว่าคราวนี้ข้าจะต้องรบกวนท่านอีก ”
“เกิดอะไรขึ้นหรือ?” เฉินซีโบกมือเพื่อขัดจังหวะเฉินฮ่าว เขาตระหนักได้เป็นอย่างดี หากน้องชายของเขากล่าวเช่นนี้ แสดงว่าปัญหาครั้งนี้คงเป็นเรื่องใหญ่หลวง มิฉะนั้น เฉินฮ่าวจะไม่มารบกวนการบ่มเพาะของเขาอย่างแน่นอน
“มีสัตว์อสูรฝูงหนึ่งกำลังพุ่งออกมาจากส่วนลึกของเทือกเขาเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา และมันมีจำนวนมากกว่าหนึ่งพันตัว ในหมู่พวกมันมีสัตว์อสูรที่มีความแข็งแกร่งที่เทียบได้กับขอบเขตตำหนักอินทนิลถึงหลายร้อยตัว อีกทั้งยังมีสัตว์อสูรขอบเขตเคหาทองคำอีกสี่สิบตัว พวกมันเข้าประชิดเมืองยิ่งกว่าในอดีต” เฉินฮ่าวกล่าวอย่างเร่งรีบว่า “แต่ที่อันตรายที่สุดคือ มีสัตว์อสูรขอบเขตแกนทองคำหยินหยางสองตัวที่ควบคุมฝูงสัตว์อสูรเหล่านี้ ถ้าพวกมันบุกเข้าไปในเมืองหมอกสน เมืองทั้งเมืองก็อาจจะพบกับการล่มสลาย”
คิ้วของเฉินซีเลิกขึ้น เมื่อฝูงสัตว์อสูรมีจำนวนมากมายขนาดนี้ มันก็แทบจะเป็นกระแสสัตว์อสูรแล้ว เมื่อลองนึกถึงภาพที่สัตว์อสูรนับพันตัวกำลังถาโถมเข้ามาจนมืดฟ้ามัวดิน ก็ทำให้รู้สึกหนาวสั่นไปถึงกระดูกสันหลัง
เฉินฮ่าวเลียริมฝีปากพร้อมกับกล่าวต่อว่า “เดิมที หากมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น ข้าจะไม่รบกวนท่าน แต่กองกำลังต่าง ๆ กำลังย้ายคนของพวกเขามาที่ตระกูลเฉินของเราในขณะนี้ และดูเหมือนว่ามันจะไม่เสร็จในเวลาอันสั้น ดังนั้นหากฝูงสัตว์ร้ายบุกเข้ามา ข้าเกรงว่า…”
“ไปกันเถอะ!” ก่อนที่เฉินฮ่าวจะกล่าวจบ เฉินซีก็ได้พุ่งทะยานไปยังด้านนอกของเมืองหมอกสน เขารู้ว่ายิ่งช้ามากเท่าไร ผู้คนก็จะยิ่งอันตรายมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงลงมือเคลื่อนไหวให้ไวที่สุด