บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 288 การเปลี่ยนแปลงของดวงจิตแห่งเต๋า
บทที่ 288 การเปลี่ยนแปลงของดวงจิตแห่งเต๋า
เฉินซียังคงครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งอยู่ในห้องพักของโรงเตี๊ยม ถึงแม้ว่าเขาจะวางแผนที่จะอยู่ในเมืองเฟิงเย่เพียงชั่วคราวและพยายามพัฒนาการบ่มเพาะ แต่เขาก็ยังคงรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย ราวกับว่าการตัดสินใจครั้งนี้ขัดต่อความตั้งใจของเขาเอง และมันทำให้เขารู้สึกหดหู่จากภายในสู่ภายนอก
นั่นสินะ! มันเป็นความรู้สึกท้อแท้…
ตั้งแต่ตอนที่เขาตัดสินใจจะหนีเมื่อเผชิญกับการคุกคามของตระกูลซือคง ในใจของเขาก็ปราศจากความสงบและความแน่วแน่อีกต่อไป เขาเริ่มรู้สึกท้อแท้ วิตกกังวล และรู้สึกหนักใจ เป็นเพราะเขากำลังคิดหาวิธีหลีกเลี่ยงและหลบหนีอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งยังไม่กล้าเผชิญหน้ากับมันอย่างห้าวหาญ
‘ข้าสูญเสียความตั้งใจที่จะก้าวไปข้างหน้าและความห้าวหาญที่ไร้ความกลัวของข้าไปหรือไม่?’
‘ไม่!’
‘ทั้งหมดนี้เป็นเพราะข้ากำลังต่อต้านดวงจิตแห่งเต๋าของตัวเองต่างหาก!’
เต๋าของข้าคือการแผดเผาอุปสรรคทั้งหมดอย่างกล้าหาญและปราศจากความเกรงกลัว เพียงใช้กระบี่ของข้าต่อสู้กับโลกทั้งใบด้วยความเที่ยงธรรม มันคือการควบคุมมหาเต๋า เพื่อทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า!
‘เต๋าของข้าไม่เคยรู้สึกท้อแท้หรือหดหู่ใจและไม่เคยหลบเลี่ยงหรือหวาดกลัว…’
‘ท้องฟ้าไม่อาจบดบังดวงตาของข้า’
‘ผืนดินไม่อาจเหนี่ยวรั้งร่างข้าไว้ได้’
‘โลกมนุษย์ที่ไร้ขอบเขตและสรรพสิ่งในจักรวาลไม่อาจครอบงำหัวใจของข้าได้’
‘ความชั่วร้ายและภยันตรายทั้งหมดในโลกนี้ ไม่อาจขัดขวางฝีเท้าที่แสวงหามหาเต๋าของข้าได้’
‘นี่คือเต๋าของข้า!’
ปัง!
ในขณะนี้ แม้แต่จิตวิญญาณของเขาก็ดูเหมือนจะสั่นสะท้านและเริงร่า ราวกับว่าเขาได้รู้แจ้งจากคำเตือนที่เฉียบคมในทันที จิตใจของเขาจึงปลอดโปร่ง ความคิดของเขาไม่มีสิ่งกีดขวาง ดวงตาของเขากลับมาแน่วแน่อีกครั้ง ความคิดของเขากลับมาบริสุทธิ์และไร้ที่ติ ถึงแม้ว่าลมทั้งแปดทิศจะโหมกระหน่ำเข้ามา ดวงจิตแห่งเต๋าของเขาก็ไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย
แสงแห่งปัญญาที่ริบหรี่และเป็นประกายที่หว่างคิ้วของเขา อาจมองเห็นได้อย่างรางเลือน
“มู่ขุย เราจะไม่หลบหนีอีกต่อไปแล้ว เนื่องจากตระกูลซือคงกำลังข่มเหงรังแกเราเช่นนี้ เราจะเล่นกับพวกมันสักตั้ง” เฉินซีส่งเสียงผ่านกระแสปราณเพื่อเรียกมู่ขุยไปที่ห้องของเขา ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมย
“นายท่าน ท่านควรทำสิ่งนี้ตั้งแต่แรก!” มู่ขุยกำหมัดของเขาด้วยความตื่นเต้น เนื่องจากในฐานะสัตว์อสูรที่ครอบครองสายเลือดของหมาป่าจันทรคราส ซึ่งเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์แห่งบรรพกาล เขาจึงเกิดมาพร้อมจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ และไม่ได้คำนึงถึงชีวิตหรือความตายเลยแม้แต่น้อย
“หืม? นายท่าน ดูเหมือนท่านจะเปลี่ยนไปนะขอรับ ท่านแตกต่างจากเมื่อก่อนเล็กน้อย” มู่ขุยเงยหน้าขึ้นมองเฉินซี เขารู้สึกว่านายท่านของเขาคนนี้ดูเหมือนจะได้เกิดใหม่ กลิ่นอายอันสูงส่งและไม่ธรรมดาของเฉินซีมีร่องรอยของแสงแห่งปัญญาที่ลึกล้ำเหมือนมหาสมุทรและสูงตระหง่านเหมือนขุนเขา ราวกับว่าไม่มีใครในโลกนี้สามารถทำให้หัวใจของเฉินซีต้องสั่นคลอนได้อีกต่อไป
“ข้าเพิ่งนึกบางอย่างออก” เฉินซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม จากนั้นจึงหยิบกระบองหนามสมบัติวิเศษที่เขาได้มาจากการประมูลในวันนี้และส่งต่อให้มู่ขุย “ความลับบางอย่างถูกเก็บไว้ในสมบัติวิเศษนี้ และมันเกี่ยวข้องกับมรดกของนิกายป้ายเหล็กในแดนภวังค์ทมิฬ เจ้าต้องดูแลมันให้ดีเพราะนี่อาจเป็นโชคก้อนโตสำหรับพวกเราทั้งคู่”
หลังจากที่เขากลับมาจากหอขุมทรัพย์สวรรค์ เฉินซีได้ตรวจสอบสมบัติวิเศษระดับปฐพีขั้นสุดยอดนี้อย่างระมัดระวัง แน่นอนว่าเขาสังเกตเห็นกลิ่นอายแปลกประหลาดที่อยู่ภายในกระบองหนาม และสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในนั้น แท้จริงแล้วคือแผนที่ขุมทรัพย์ บนพื้นผิวของแผนที่สมบัตินี้สะท้อนอักขระยันต์สีแดงเลือดที่ก่อตัวเป็นคำว่า ‘ภวังค์แห่งความมืด ภูเขาหลางหยา สมบัติของป้ายเหล็กกำลังรอโชคชะตาอยู่!’
ด้วยสิ่งนี้ ทำให้เขาตระหนักได้ทันทีว่า เหตุผลที่ซือคงเหินสนใจสมบัตินี้เป็นอย่างมากในระหว่างการประมูล อาจเป็นเพราะแผนที่สมบัติที่ถูกซุกซ่อนอยู่นี้
“แดนภวังค์ทมิฬ? เป็นโลกที่งดงามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ กล่าวกันว่ามันเป็นทวีปที่ใกล้กับมิติเซียนมากที่สุด ไม่น่าเชื่อนิกายว่าป้ายเหล็กนี้จะอยู่ในแดนภวังค์ทมิฬจริง ๆ!” มู่ขุยตกตะลึงเป็นอย่างมาก และน้ำเสียงของเขาก็สั่นเครืออย่างช่วยไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าเขาเคยได้ยินตำนานมากมายของแดนภวังค์ทมิฬเช่นกัน
“ใช่แล้ว แต่ความลับทั้งหมดนี้จะสามารถรู้ได้ ก็ต่อเมื่อเราเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬแล้ว” เฉินซีกล่าว
“ไม่ ข้าไม่สามารถรับสมบัติเช่นนี้ได้ขอรับ หากข้าทำมันสูญหาย มันจะไม่ทำให้เรื่องสำคัญนายท่านต้องล่าช้าหรือขอรับ?” สีหน้าของมู่ขุยจริงจังขณะที่เขากล่าวอย่างเคร่งขรึม
“ข้าบอกให้เจ้ารับมัน ก็จงรับมันซะ มันเป็นเพียงแผนที่สมบัติลวงตาเท่านั้น ถ้าเกิดมันสูญหาย เจ้าก็แค่สูญเสียมันไป ตราบใดที่เจ้าชอบสมบัติชิ้นนี้ เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องสนใจสิ่งอื่นใดอีก” เฉินซียิ้ม
ในท้ายที่สุด มู่ขุยก็ยอมรับอาวุธที่ทรงพลังและดุร้ายนี้ หลังจากนั้น เขาก็ไม่ได้คิดจะรบกวนเฉินซีอีกต่อไป จึงกลับไปที่ห้องของเขาด้วยความตื่นเต้นและเริ่มสร้างพันธะกับสมบัติชิ้นนี้
ตุ้บ!
เมื่อมู่ขุยจากไป เฉินซีจึงหยิบกองวัตถุออกจากเจดีย์บำเพ็ญทุกข์อย่างสบาย ๆ เมื่อพวกมันถูกกองกันจนสูงเป็นเนินเล็ก ๆ อยู่บนพื้น มันก็ถูกปกคลุมไปด้วยประกายสมบัติหลากสีสัน พวกมันล้วนเป็นวัตถุล้ำค่าและหายาก ซึ่งไม่อาจประเมินมูลค่าที่แท้จริงได้
‘พฤกษาดารานี้ เมื่อสร้างเป็นกระดาษยันต์ ก็สามารถทนต่อพลังของอักขระยันต์ได้ นอกจากนี้ เมื่อผสมน้ำค้างหิมะกับเลือดของเพียงพอนเก้าหางมรกตก็จะได้น้ำหมึกที่สามารถถ่ายทอดเต๋ารู้แจ้งแห่งสายน้ำและสามารถดึงพลังทั้งหมดของยันต์ล้ำค่าออกมา ส่วนพู่กันยันต์อักขระนั้น ข้าจะสกัดมันจากแก่นไม้สนอายุหมื่นปีและหญ้าสายรุ้งเจ็ดใบ ด้วยวิธีนี้ ปลายพู่กันจะแหลมคมที่สุดและสามารถดูดซับน้ำหมึกได้เต็มที่เหมือนหยดน้ำ ยิ่งไปกว่านั้น มันยังจับตัวเป็นก้อนและไม่ฟุ้งกระจาย ทำให้เวลาวาดโครงสร้างอักขระยันต์จะมีความสม่ำเสมอ เรียบเนียนและสมบูรณ์แบบ…’ ขณะที่เฉินซีครุ่นคิด ก็เลือกวัตถุที่เขาต้องการจากกองสมบัติด้วยความมุ่งมั่นและพิถีพิถัน ราวกับเขาได้ย้อนกลับไปยังวันวานที่เคยทำหน้าที่เป็นเด็กฝึกหัดสร้างอักขระยันต์เมื่อหลายปีก่อน
เมื่อเขาตัดสินใจที่จะเผชิญหน้ากับตระกูลซือคง เขาได้ตัดสินใจที่จะใช้ทักษะทั้งหมดที่มีเพื่อรับมือกับตระกูลซือคง ในขณะที่ยันต์อักขระเป็นหนึ่งในทักษะที่เขามี
อันที่จริง ตั้งแต่เขาออกจากเมืองหมอกสนมาจนถึงตอนนี้ เขาก็ไม่ได้สร้างยันต์อักขระเลยแม้แต่ชิ้นเดียว และเขาก็ไม่ได้ใช้ยันต์อักขระในการต่อสู้เลย เมื่อเขาคิดถึงมันตอนนี้ ทำให้เขาสูญเสียพลังในการต่อสู้ไปอยู่บ้าง
ในการต่อสู้ของโลกแห่งการบ่มเพาะ พลังในการต่อสู้ของปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระไม่ได้ด้อยกว่าผู้บ่มเพาะวิถีดาบ ผู้บ่มเพาะวิถีกระบี่ และผู้บ่มเพาะอื่น ๆ ที่เหมาะสมกับการต่อสู้ แม้กระทั่งพลังที่ปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระดึงออกมาในการต่อสู้นั้น อาจน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ เสียด้วยซ้ำ
เหตุผลนั้นธรรมดามาก ก่อนที่ปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระจะเข้าสู่สนามรบ เขาสามารถสร้างค่ายกลที่ทรงพลังและรอให้ใครบางคนเดินเข้ามาในกับดักของเขา แม้แต่ในการต่อสู้แบบประชิดตัว ปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระก็สามารถเรียกยันต์อักขระมากมายออกมาและซัดพวกมันออกไป ทำให้ศัตรูของเขาถูกกวาดล้างอย่างต่อเนื่องจนต้องรู้สึกสิ้นหวังอย่างช่วยไม่ได้
ผู้บ่มเพาะที่เผชิญกับปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระในการต่อสู้ จะรู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้เผชิญหน้ากับศัตรูเพียงผู้เดียว แต่กำลังเผชิญหน้ากับกองทัพนับพัน ในขณะที่พวกเขาเป็นคนที่น่าสมเพชที่อยู่ภายใต้การปิดล้อม
อันที่จริง ปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระก็มีจุดอ่อนอยู่เช่นกัน และเป็นจุดอ่อนที่ชัดเจนมาก เนื่องจากจำนวนของพวกเขามีน้อยเกินไปและความเข้าใจในเต๋าแห่งยันต์อักขระของพวกเขาโดยทั่วไปล้วนอ่อนด้อย และผู้ที่สามารถบรรลุระดับปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระหรือปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระนั้น หาได้ยากยิ่งเช่นเดียวกับขนวิหคเพลิงและเขากิเลน
และเป็นที่ล่วงรู้ในโลกแห่งการบ่มเพาะว่า ในบรรดาปรมาจารย์ยันต์อักขระนับหมื่น มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถเป็นปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระ และหากปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระต้องการบรรลุสู่ปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระ โอกาสของมันจะมีเพียงหนึ่งในล้าน ส่วนการบรรลุสู่เซียนค่ายกลยันต์อักขระ โอกาสของมันก็ยิ่งน้อยจนแทบจะเป็นไปไม่ได้และขึ้นอยู่กับโชคชะตาเท่านั้น
เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่ายันต์อักขระแบ่งออกเป็นเก้าระดับ อันได้แก่ ยันต์จิตวิญญาณ ยันต์เลิศล้ำ ยันต์เร้นลับ ยันต์สวรรค์ และยันต์เทวะ
ผู้ที่สามารถสร้างยันต์ระดับเก้าได้สามารถเรียกได้ว่าเป็นปรมาจารย์ยันต์อักขระ ผู้ที่สามารถสร้างยันต์จิตวิญญาณและยันต์เลิศล้ำได้นั้นจะถูกเรียกว่าปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระ ส่วนผู้ที่สามารถสร้างยันต์เร้นลับได้จะถูกเรียกว่าปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระ ในขณะที่ยันต์สวรรค์ต้องการความแข็งแกร่งของเซียนค่ายกลยันต์อักขระในการสร้าง สำหรับยันต์เทวะนั้น มันเป็นดินแดนที่อยู่เหนือกว่าและเกินขอบเขตของเซียนค่ายกลยันต์อักขระไปแล้ว
แม้ว่าความรู้ของเฉินซีในเต๋าแห่งยันต์อักขระจะบรรลุถึงระดับที่สูงมากแล้ว แต่ด้วยความแข็งแกร่งของเขา เขาสามารถสร้างยันต์เลิศล้ำขั้นสูงได้เท่านั้น ทำให้ความแข็งแกร่งในการสร้างยันต์อักขระของเขา อยู่ที่จุดสูงสุดของปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระ
หากเขาต้องการที่จะบรรลุถึงระดับของปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระ เขายังมีหนทางอีกยาวไกล
แต่ด้วยอายุและการบ่มเพาะของเขา ก็ถือว่าหาได้ยากมากที่จะสามารถสร้างยันต์เลิศล้ำขั้นสูงได้ และถ้ามันถูกเผยแพร่ออกไป เขาจะถูกผู้คนมองเหมือนตัวประหลาดอย่างแน่นอน
เหตุผลนั้นธรรมดามาก ด้วยการบ่มเพาะที่ขอบเขตเคหาทองคำของเขา เขาสามารถสร้างยันต์เลิศล้ำขั้นสูง ซึ่งมีพลังเทียบเท่ากับการโจมตีเต็มรูปแบบของผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางได้ ด้วยเหตุนี้ ในโลกการบ่มเพาะของราชวงศ์ซ่ง อาจไม่มีผู้ใดที่สามารถบรรลุสิ่งนี้ได้ และแม้แต่ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาก็ไม่มีข่าวลือใด ๆ ที่คล้ายคลึงกัน ดังนั้นความสำเร็จของเขาจึงอาจกล่าวได้ว่าไม่เคยปรากฏมาก่อน
เฉินซีสูดหายใจเข้าลึก ๆ และเริ่มลงมือสร้างพู่กันยันต์ เขานำหญ้าสายรุ้งเจ็ดใบและแก่นไม้สนหมื่นปีมาวางไว้ที่เบื้องหน้า หญ้าสายรุ้งเจ็ดใบนี้มีขนาดเท่าฝ่ามือ มีกิ่งก้านและใบที่ละเอียดเหมือนเส้นขน มันมีความเหนียวและยืดหยุ่นมากจนคมมีดแทบเฉือนไม่เข้า ใบทั้งเจ็ดของมันเผยให้เห็นถึงสีที่แตกต่างกันเจ็ดสี เมื่อมองจากระยะไกล มันเหมือนขนนกหลากสีที่รวมตัวกันและพลิ้วไหวไปมา ทำให้พวกมันดูสวยงามมาก
ฟึ่บ!
เปลวเพลิงวิญญาณพวยพุ่งออกมาจากฝ่ามือของเฉินซี มันแทบจะโปร่งแสงและมีอุณหภูมิต่ำ ยิ่งไปกว่านั้น มันกลับปล่อยความเย็นเสียดแทงกระดูกออกมาแทน ทำให้แม้แต่อากาศก็ยังจับตัวเป็นน้ำแข็ง
นี่คือเปลวเพลิงชนิดหนึ่งที่เขาควบแน่นโดยใช้โครงสร้างอักขระยันต์ในยันต์เทวะไฟโลกันต์และมันก็คือเปลวเพลิงวิญญาณน้ำแข็งยมโลกที่แสนเยือกเย็น การใช้มันเพื่อกลั่นหญ้าสายรุ้งเจ็ดใบจะช่วยรักษาคุณสมบัติทางจิตวิญญาณ ความเหนียว และความยืดหยุ่นของมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้จะไม่สร้างความเสียหายให้แก่มันเลยแม้แต่น้อย
อันที่จริง มีโครงสร้างอักขระยันต์มากมายอยู่ภายในยันต์เทวะไฟโลกันต์ และมันก็กว้างใหญ่ไพศาล ยิ่งไปกว่านั้น โครงสร้างอักขระยันต์ทุกชนิดที่ดึงออกมาคือยันต์อัคคีประเภทหนึ่ง และเมื่อมันถูกจารึกลงบนกระดาษยันต์ มันจะสามารถสร้างเปลวเพลิงหยิน เปลวเพลิงหยาง เปลวเพลิงน้ำแข็ง เปลวเพลิงยมโลก และอื่น ๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ มันยังสามารถสร้างเปลวเพลิงที่มีคุณลักษณะแตกต่างกันได้ และเปลวเพลิงวิญญาณน้ำแข็งยมโลกก็เป็นหนึ่งในนั้น
แน่นอนว่าเปลวเพลิงเหล่านี้ไม่ใช่วัตถุและมันถูกสร้างจากอักขระยันต์แทน ด้วยความเข้าใจต่อเต๋าแห่งยันต์อักขระของเฉินซีในตอนนี้ เขาสามารถใช้งานมันได้โดยไม่จำเป็นต้องจารึกมันลงบนกระดาษยันต์เลย
ในเวลาไม่นาน ความชื้นของหญ้าสายรุ้งเจ็ดใบก็ระเหยไปภายใต้กระบวนการทำให้แห้งของเปลวเพลิงวิญญาณน้ำแข็งยมโลก กิ่งก้านและใบที่ละเอียดเหมือนเส้นขนของมันก็กลายเป็นเส้นขนาดเล็กที่มีความยืดหยุ่นและเรียบเนียนเป็นมันเงา ทำให้มันดูคล้ายกับขนนกของสัตว์เป็นอย่างมาก
หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม
เฉินซีได้กลั่นหญ้าสายรุ้งเจ็ดใบกว่าร้อยใบ จึงสามารถรวบเส้นขนที่เพียงพอต่อการสร้างแปรงพู่กันยันต์อักขระ จากนั้นเขาจึงมัดหญ้าสายรุ้งเจ็ดใบเป็นพวงอย่างระมัดระวัง ก่อนที่จะเริ่มสร้างด้ามพู่กันยันต์อักขระ
ว่ากันว่า ปลายพู่กันที่สร้างจากหญ้าสายรุ้งเจ็ดใบนั้นสามารถดูดซับน้ำหมึกได้เต็มจนเหมือนมีหยดน้ำอยู่ภายในและไม่ทำให้เกิดการชนกันระหว่างคุณสมบัติของอักขระยันต์ ส่วนหน้าที่ของก้านของแปรงนั้น จะต้องกักเก็บปราณแท้และจิตสัมผัสเทพที่ถ่ายทอดเข้าไปข้างในได้อย่างราบรื่นและไม่ติดขัด
แก่นไม้สนหมื่นปีชิ้นนี้เหมาะที่จะสร้างเป็นด้ามพู่กันยันต์อักขระมาก มันมีสีเขียวเข้มอย่างหมดจดและเปี่ยมด้วยพลัง พื้นผิวของมันมีลายไม้ที่แข็ง เรียบเนียน อีกทั้งยังสามารถปล่อยให้ปราณแท้และจิตสัมผัสเทพไหลเวียนได้อย่างไม่มีที่ติ เพื่อไม่ให้ปราณโลหะทำอันตรายต่อคุณภาพของแก่นไม้สน เฉินซีจึงใช้ปราณจ้าววิญญาณดาราพฤกษาที่สองของเขา เพื่อควบแน่นเป็นใบมีดสีเขียวขนาดเล็ก ก่อนที่จะแกะสลักแก่นไม้สนหมื่นปีอย่างระมัดระวัง ในที่สุด มันก็กลายเป็นด้ามแปรงยาวหกชุ่นที่หนาเท่านิ้วชี้ มันมีสีเขียวเข้ม เป็นมันวาว กลมเกลี้ยง และมีลวดลายแต้มเต็มไปหมด
ในที่สุด เขาก็เริ่มผสานปลายพู่กันที่สร้างจากหญ้าสายรุ้งเจ็ดใบและด้ามที่สร้างจากแก่นไม้สนหมื่นปีกับน้ำยาโมราสีฟ้า
น้ำยาโมราสีฟ้าเป็นวัสดุที่ใช้ในการปรับแต่งอุปกรณ์กันทั่วไป และมันสามารถทำให้วัสดุที่แตกต่างกันสองชนิดผสมผสานกันอย่างลงตัว ทำให้สิ่งของที่กลั่นออกมาสามารถดึงเอาพลังที่แท้จริงออกมาได้
ผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป เฉินซีถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก ในขณะที่เขาวางพู่กันยันต์อักขระที่สร้างเสร็จไว้ที่เบื้องหน้าของเขา เมื่อถือแปรงยันต์อักขระสีเขียวเข้มที่มีลายเนื้อไม้เรียบเนียนอยู่ในมือ มันมีเนื้อสัมผัสเป็นเม็ด ๆ ขนที่ปลายแปรงมีสีขาวราวกับหิมะสีเงินในตอนนี้ โดยเฉพาะเมื่อถ่ายปราณแท้ลงไป ประกายแสงเจ็ดสีจะปรากฏออกมาจากรอบ ๆ ซึ่งมันเผยให้เห็นความรู้สึกปราดเปรียวและว่องไวเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเขาถ่ายจิตสัมผัสเทพและปราณแท้เล็กน้อยลงไปในพู่กันยันต์อักขระ ความรู้สึกแปลกประหลาดก็พรั่งพรูเข้ามาในหัวใจของเขา เขารู้สึกราวกับว่า ปราณแท้และจิตสัมผัสเทพของเขากำลังไหลเวียนอยู่ในพู่กันยันต์อักขระเหมือนสายน้ำ และมันไหลอย่างราบรื่นจนมาบรรจบที่ปลายพู่กันในตอนท้าย ความรู้สึกนี้ราวกับว่าเขากำลังขยับแขนของตัวเอง และดูเหมือนว่าแปรงยันต์อักขระได้กลายเป็นมือของปราณแท้และจิตสัมผัสเทพของเขา ทำให้พวกมันสามารถเชื่องโยงกันอย่างใกล้ชิด
‘พู่กันนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อต่อต้านตระกูลซือคง ดังนั้นข้าจะเรียกมันว่าพู่กันผลาญนภา*[1]’ หลังจากที่เฉินซีตรวจสอบมันเสร็จสิ้น เขาก็วางพู่กันผลาญนภาลงและเริ่มสร้างกระดาษยันต์อักขระ
อย่างไรก็ตาม เฉินซีกลับไม่เคยคาดคิดมาก่อน ว่าแปรงผลาญนภาที่เขาตั้งชื่ออย่างลวก ๆ นี้ จะทำให้โลกแห่งค่ายกลยันต์อักขระต้องปั่นป่วนไปชั่วนิรันดร์
[1]ตัวอักษร ‘空’ ในนามสกุลซือคง ซึ่งใช้ในชื่อของพู่กัน เพื่อเน้นย้ำถึงเหตุผลที่ถูกสร้างขึ้นในการทำลายล้างตระกูลซือคง