บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 294 การจู่โจมในป่าลึก
บทที่ 294 การจู่โจมในป่าลึก
ภายใต้การปกคลุมของต้นไม้โบราณที่สูงตระหง่านและใบไม้หนาทึบ ป่าบนภูเขาดูเหมือนจะมืดมิดและเงียบสงบเป็นอย่างมาก ทำให้สภาพแวดล้อมเช่นนี้เหมาะแก่การปกปิดร่องรอยเป็นอย่างดี
ซือคงเหินเอามือไพล่หลัง ดวงตาของเขาในยามนี้เหมือนปลายใบมีดที่เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าอันเยือกเย็น ที่เบื้องหลังของเขามีเงามากมายที่สั่นไหว จากนั้นศิษย์ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางทั้งสิบแปดคนของตระกูลซือคงก็ยืนอย่างเคร่งขรึมและด้วยความเคารพ ในขณะที่พร้อมรอรับคำสั่งของพวกเขา
ฟิ้ว!
ร่างสีดำปรากฏขึ้นตรงหน้าซือคงเหินเหมือนภูตผี จากนั้นจึงโค้งคำนับและกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “นายน้อยใหญ่ พายุฝนจากเมื่อวานรุนแรงเกินไป จึงทำให้ไม่สามารถติดตามร่องรอยของเป้าหมายในป่านี้ได้อีกต่อไป แต่ตอนนี้มันต้องซ่อนตัวอยู่ในป่านี้อย่างแน่นอนขอรับ”
ซือคงเหินโบกมือเพื่อสั่งให้องค์รักษ์เงาถอนตัว จากนั้นเขาก็หันกลับไปมองคนที่อยู่ข้างหลังและกล่าวด้วยเสียงเบาแผ่วว่า “พวกเจ้าทั้งหมดจงจับกลุ่มกัน แบ่งเป็นกลุ่มละสามคน แล้วบุกไปเข้าไปในป่าจากรอบด้าน เมื่อเจ้าพบร่องรอยของเป้าหมาย ให้ยิงพลุสุริยันทันทีและอย่าไปพัวพันกับมัน!”
“รับทราบ!” ทุกคนรับต่างก็รับคำสั่งอย่างเคร่งขรึม จากนั้นพวกเขาก็แบ่งกลุ่มเป็นทั้งหมดหกกลุ่ม กลุ่มละสามคน กระจายตัวออกเป็นแนวโค้ง ก่อนที่จะพุ่งเข้าไปในป่าเพื่อค้นหาร่องรอยของศัตรู
“หากมันไม่ตายในครั้งนี้ แล้วข้าซือคงเหินจะกล้าเสนอหน้าอยู่ในเมืองเฟิงเย่ได้อย่างไร? หึ อีกไม่นาน กระบองหนามของนิกายป้ายเหล็กจะต้องเป็นของข้า และไม่มีใครสามารถแย่งมันไปจากข้าได้!” ซือคงเหินพึมพำกับตัวเองขณะที่เขาพุ่งเข้าไปทางป่า ร่างกายของเขาปกคลุมด้วยหมอกสีดำขณะที่เขาปล่อยกลิ่นอายที่น่าเกรงขามออกมาโดยไม่ต้องกังวลแม้แต่น้อย ทุกที่ที่เขาผ่านไป ต้นไม้และก้อนหินจะสึกกร่อนเป็นผุยผงทันที ในขณะที่ผืนดินจะกลายเป็นสีดำและทำให้พลังชีวิตทั้งหมดดับสูญ อีกทั้งยังทำให้สัตว์อสูรหวาดกลัวจนต้องหนีเพื่อเอาชีวิตรอด
…
เฉินซีสวมเสื้อผ้าสีฟ้าขณะยืนอยู่ที่หน้าถ้ำในช่องเขาคนเดียว
ในทะเลจิตสำนึกของเขา จิตสัมผัสเทพของเขาเป็นเหมือนใยแมงมุมชั้นเลิศที่แผ่กระจายออกไปด้วยวิธีการที่ลึกล้ำ และมันก็เหมือนกับใยแมงมุมขนาดมโหฬารที่ปกคลุมทั่วทั้งผืนป่า
ในเวลาไม่นาน ภาพต่าง ๆ ก็สะท้อนออกมาอย่างชัดเจนอยู่ในจิตใจของเขา
วิชาคลื่นจิตสะท้อนที่เป็นเคล็ดวิชาการตรวจจับจิตสัมผัสเทพนั้นน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก เนื่องจากมันสามารถทำให้เขาจับการเคลื่อนไหวทุกสิ่งภายในระยะสองร้อยห้าสิบลี้ได้อย่างชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้น มันยังสามารถรบกวนจิตสัมผัสเทพของผู้อื่น ทำให้พวกเขาไม่สามารถระบุตำแหน่งของเขาได้
“พวกมันมาแล้ว ผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางสิบแปดคน จัดขบวนมาเป็นกลุ่ม กลุ่มละสามคน และพวกมันได้สร้างแนวโค้งที่กำลังค้นหามาทางเรา ส่วนเจ้าซือคงเหินอยู่เพียงลำพัง แต่อย่าเพิ่งไปแตะต้องมัน ตอนนี้เราจะจัดการกับคนอื่น ๆ ก่อน มู่ขุยเจ้าจงไปทางทิศตะวันออก ให้พวกมันได้ลิ้มลองรสชาติของการถูกลอบสังหารดูสักตั้ง แต่ถ้าการโจมตีของเจ้าล้มเหลว เจ้าจงถอยกลับมาอย่างปลอดภัย” เฉินซีสั่งด้วยเสียงที่แผ่วเบา
มู่ขุยยกกระบองหนามขนาดมหึมาขึ้น ขณะที่นัยน์ตาสีเขียวหยกของเขาฉายแววอำมหิตและเจ้าเล่ห์ พร้อมกับหัวเราะเบา ๆ “นายท่าน โปรดอย่าได้กังวลไปเลยขอรับ อสูรหมาป่าอย่างเราเชี่ยวชาญในการซุ่มคอยอย่างอดทนและเปิดฉากโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว ข้าขอรับประกันว่าพวกมันจะต้องพบกับหายนะในครั้งนี้”
เฉินซีสั่ง “เจ้าจงระวังตัวด้วย”
มู่ขุยพยักหน้า จากนั้นร่างของเขาก็กลายเป็นสัตว์อสูรหมาป่าปีกเงินขนาดมหึมา พร้อมกับกระทืบพื้นก่อนจะพุ่งออกจากถ้ำ และหายเข้าไปในป่าทึบอย่างเงียบ ๆ
‘หลิงไป๋กล่าวถูกต้องจริง ๆ เรื่องการไม่โจมตีก่อน เว้นแต่ว่าจะถูกโจมตีก่อน ดูเหมือนจะใช้ไม่ได้ผล ในโลกแห่งการบ่มเพาะที่เทิดทูนความแข็งแกร่ง ข้าต้องโหดเหี้ยมและเลือดเย็นเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรู ด้วยวิธีนี้เท่านั้น พวกเขาจะรู้สึกเกรงกลัวและให้เกียรติแก่ข้า แล้วพวกเขาก็จะไม่ล่วงเกินข้าอย่างไร้เหตุผล…’ เฉินซีมองขึ้นไปบนท้องฟ้าขณะที่พึมพำกับตัวเอง ภายใต้ท้องฟ้ามีนกอินทรีกว่าสิบตัวกำลังกระพือปีกบินวนไปมา จากนั้นดวงตาของเขาก็เป็นประกายก่อนที่ร่างของเขาจะหายไปจากถ้ำในทันที
กลุ่มของตระกูลซือคงกระจายออกไปไกลขึ้นเรื่อย ๆ ตามที่พวกเขาค้นหาลึกลงไป ศิษย์ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางของตระกูลซือคงเหล่านี้ครอบครองพลุสุริยัน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ต้องกังวลกับสิ่งใด ตราบเท่าที่ร่องรอยของเฉินซีปรากฏขึ้นในขอบเขตการมองเห็น เมื่อปล่อยพลุสุริยันออกไป พวกเขาก็จะสบายใจได้
‘ไอ้สารเลวนี่! กับแค่เด็กขอบเขตเคหาทองคำ เราจำเป็นต้องทุ่มเทค้นหามันขนาดนี้เชียวหรือ? ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าหนิงอี้ หลัวกุ้ย และซิวซานเหนียงทำบ้าอะไร แม้แต่มดปลวกตัวเล็ก ๆ เช่นนี้ ก็ยังรับมือไม่ได้…’
ผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางมีสีหน้ามืดมน ขณะที่เขาสาปแช่งอยู่ในใจพร้อมกับเคลื่อนตัวไปข้างหน้า จิตสัมผัสเทพของเขากำลังค้นหาทุกสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัวอยู่ตลอดเวลา เช่น ยอดของต้นไม้ ก้อนหิน พุ่มไม้… ทุกสิ่งล้วนถูกเขาตรวจสอบอย่างละเอียด และเขาไม่ปล่อยให้พื้นดินแม้แต่หนึ่งชุ่นหลุดรอดจากการตรวจสอบของเขาไปได้
ที่ทั้งสองข้างของเขามีคนสองคนกำลังทำสิ่งเดียวกันตามลำดับ พวกเขาทั้งสามคนก่อตัวเป็นรูปพัดขณะที่ก้าวไปข้างหน้า โดยมีระยะห่างระหว่างกันสามสิบจั้ง เมื่อมีเหตุเกิดขึ้นกับคนใดคนหนึ่ง อีกสองคนที่เหลือจะสังเกตเห็นทันที ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดอันตราย
สามชั่วยามผ่านไปโดยไม่รู้ตัว แต่พวกเขากลับไม่พบร่องรอยของเฉินซีเลยสักนิด กอปรกับเฉินซีเป็นเพียงผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำขั้นสมบูรณ์แบบ คนเหล่านี้จึงไม่เชื่อโดยสิ้นเชิงว่า เฉินซียังกล้ารั้งอยู่ใกล้เคียง ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกว่ามันเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ ร่องรอยของความขุ่นเคืองก็เกิดขึ้นในใจโดยไม่รู้ตัว
“เจ้าสองคนค้นหาต่อไปก่อน ข้าต้องพักผ่อนสักระยะนึง เนื่องจากจิตสัมผัสเทพของข้าถูกใช้ไปมากกว่าครึ่งและมันกำลังฆ่าข้าทั้งเป็น” ศิษย์ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางพึมพำกับสหายของเขา ก่อนที่จะเดินไปยังต้นไม้เก่าแก่และนั่งบนพื้นด้านล่าง
“ซานเป่า เมื่อวานนี้ เจ้าคงออกแรงกับแม่นางเหยาเอ๋อร์ของหอนางโลมหยกมากเกินไป ดังนั้นตอนนี้เจ้าจึงอ่อนแอหรือ?” สหายของเขาส่ายศีรษะเยาะเย้ย พวกเขาไม่ได้สนใจสหายที่เกียจคร้านและลุ่มหลงในตัณหาคนนี้ ก่อนที่จะมุ่งหน้าต่อไป
“ข้าอ่อนแอ? ถุย! เจ้าสองคนช่างโง่เขลาสิ้นดี! ข้าได้รับสมญานามว่า ‘หอกทองคำคงกระพัน’! ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ เจ้าสองคนคงอิจฉาล่ะสิ…” ในขณะที่เขากล่าว ซานเป่าก็แหงนมองท้องฟ้าโดยสัญชาตญาณ
ทันใดนั้น กลิ่นอายที่เย็นยะเยือก บริสุทธิ์ และรุนแรงก็เปล่งออกมาจากด้านบนของเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็เห็นร่างสีดำปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน ก่อนที่มือของมันจะยื่นออกมาปิดปากเขาอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกัน ประกายแสงเย็นเยียบก็กรีดผ่านลำคอของเขา
“อึ๊ก!” ซานเป่าเปล่งเสียงคำรามอู้อี้ที่เบาบางจนแทบไม่ได้ยิน ดวงตาของเขาปูดโปน ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความสิ้นหวัง ขณะที่ร่างของเขาพยายามดิ้นรนอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะไร้ซึ่งสัญญาณชีพใด ๆ
ชั่วพริบตาเดียว ชีวิตของซานเป่าก็ดับลง แต่ร่างกายของเขายังคงรักษาท่านั่งเหมือนรูปปั้นดินเผา ในขณะที่ร่างสีดำได้หายไปนานแล้ว
“หืม? เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ” ห่างออกไปร้อยยี่สิบจั้ง สหายคนหนึ่งของซานเป่าก็หยุดกะทันหันและหันกลับมามองพื้นที่ด้านหลังอย่างสงสัย
“หลิวจื่อ เจ้ามักระแวงอยู่เสมอ มีเพียงเราสองคนอยู่ที่นี่ แล้วจะมีอะไรผิดปกติหรือ?” ผู้บ่มเพาะอีกคนพึมพำ
“ก่อนหน้านี้เหมือนข้าจะเห็นร่องรอยของเจตนาฆ่า… ไม่ได้การล่ะ! ข้าต้องกลับไปดูซานเป่า ไล่จื่อ เจ้าจงรอข้าที่นี่ ข้าจะรีบกลับมาโดยเร็ว” หลิวจื่อกล่าวด้วยสีหน้ากังวลและสงสัย จากนั้นเขาก็หันกลับมาและพุ่งออกไปทางด้านหลัง
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง หลิวจื่อก็ยังไม่กลับมา ไล่จื่อจึงพยายามตะโกนเรียก แต่เขาก็ไม่ได้รับการตอบกลับ
‘หรือจะมีบางอย่างเกิดขึ้นกับซานเป่าและหลิวจื่อ’ หัวใจของไล่จื่อเต้นไม่เป็นจังหวะ ใบหน้าของเขาพลันเคร่งขรึมขึ้นมาในทันที จากนั้นจึงจับอาวุธของเขาแน่น พร้อมกับเคลื่อนตัวไปยังตำแหน่งของซานเป่าอย่างระมัดระวัง
ในไม่ช้า เขาก็เห็นคนทั้งสอง ซานเป่านั่งบนพื้นในขณะที่หลิวจื่อพิงต้นไม้ ทว่าสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกสะพรึงกลัว แท้จริงแล้วมีแอ่งเลือดกระจายอยู่ใต้ร่างของพวกเขาอย่างเงียบ ๆ
‘มีศัตรูอยู่ใกล้เคียง!’
ไล่จื่อรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก และเขาก็ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย ในขณะที่กำลังจะถอนตัวและปล่อยพลุสุริยัน แต่จู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่ามีพลังโจมตีมาจากทางด้านบน ทำให้เขาแทบจะหลบไปด้านข้างโดยสัญชาตญาณ
ปัง!
ใบหน้าทั้งหมดของไล่จื่อเต็มไปด้วยเลือดและจมูกของเขาก็ยุบลง ในขณะที่เขานอนอยู่บนพื้นโดยหันหน้าไปทางท้องฟ้า น้ำตาและเลือดของเขาผสมกันจนเต็มตา ทำให้เขาตาบอดชั่วคราว
“มานี่! ศัตรู…” ปฏิกิริยาของเขายอดเยี่ยมมาก ทันทีที่เขาได้รับบาดเจ็บ เขาก็หลบไปด้านข้างซ้ำแล้วซ้ำเล่าขณะเตรียมยิงพลุสุริยันในมือของเขา แต่ในช่วงเวลาต่อมา ศีรษะของเขาก็ถูกประกายแสงเย็นเฉือนจนขาด และเลือดสด ๆ ทะลักออกมาขณะที่เขาเสียชีวิต
ร่างสูงโปร่งของเฉินซีปรากฏขึ้นข้าง ๆ ศพของไล่จื่อ จากนั้นเขาก็ก้มลงหยิบพลุสุริยัน หลังจากตรวจสอบมันชั่วครู่ เขาก็สามารถคาดเดาการใช้ของมันได้ ยิ่งไปกว่านั้น อีกสองคนที่ตายไปล้วนถือพลุสุริยันอยู่เช่นเดียวกัน
‘เสียงร้องก่อนตายของคนผู้นี้น่าจะดึงดูดความสนใจของคนอื่น ๆ ในเมื่อมันเป็นแบบนี้ ข้าจะช่วยยิงพลุสุริยันเหล่านี้ให้ล่ะกัน ข้าสงสัยจริง ๆ ว่า ซือคงเหินจะทำอย่างไรต่อไป เมื่อพลุสุริยันสามลูกปรากฏขึ้นพร้อมกันในสถานที่แตกต่างกันสามแห่ง’ เฉินซียกมือขึ้นเพื่อทำให้อินทรีอัสนีครามที่ทรงพลังและโดดเด่นสามตัวปรากฏขึ้น ในขณะที่เขาคิดกับตัวเอง นกทั้งสามตัวนี้เป็นหน่วยสอดแนมทางอากาศที่ถูกเลี้ยงโดยตระกูลซือคง และพวกมันก็ถูกเขาจับได้ ตอนที่ซือคงเหินและคนอื่น ๆ เพิ่งเข้ามาในป่า
ในเวลาไม่นาน เฉินซีก็ผูกพลุสุริยันทั้งสามดวงเข้ากับอินทรีอัสนีครามเสร็จ จากนั้นเขาก็ยัดยันต์อักขระสีดำสามแผ่นเข้าไปในท้องของพวกมัน ในขณะที่เขาถือยันต์อักขระสีขาวสามแผ่นไว้ในมือ
‘แม้ว่ายันต์อัคคีผสานเหล่านี้จะไม่ใช่ยันต์จิตวิญญาณ แต่ยันต์อักขระสีดำและสีขาวนั้นก็สามารถเชื่อมต่อกัน และตราบใดที่มันไม่ห่างกันเกินระยะหนึ่งร้อยยี่สิบห้าลี้ การบดขยี้ยันต์อักขระสีขาวจะทำให้ยันต์อักขระสีดำระเบิด ดังนั้นก็เพียงพอที่จะระเบิดพลุสุริยันได้’ หลังจากที่เขาทำทุกอย่างเสร็จแล้ว มุมปากของเฉินซีก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่เขามองไปยังอินทรีอัสนีครามทั้งสามตัวที่อยู่ในสภาพหวาดกลัว โกรธเกรี้ยว และไม่สบายใจ เขาจึงกล่าวกับพวกมันว่า “หึ ๆ พวกเจ้าโชคดีนะ”
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
อินทรีอัสนีครามทั้งสามตัวกระพือปีกและบินไปยังทิศทางต่างๆ และในพริบตาพวกมันก็พุ่งออกจากป่าที่ไร้ขอบเขตและหายไปใต้ท้องฟ้าอันไกลโพ้น ในขณะที่ร่างของเฉินซีก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยในทำนองเดียวกัน
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ซือคงเหินก็มาที่นี่พร้อมกับหมอกสีดำที่สะพัดเป็นคลื่น เมื่อเขามองไปที่ศิษย์ของตระกูลที่มีขอบเขตแกนทองคำหยินหยางที่ตายอย่างน่าสังเวชอยู่บนพื้นดินทั้งสามคน ใบหน้าของเขาก็มืดมนลงอย่างน่าสยดสยอง และดวงตาของเขาก็ลุกโชนไปด้วยความโกรธแค้น
หลังจากนั้น ศิษย์ของตระกูลซือคงอีกสองสามคนก็ทะยานเข้ามา เมื่อพวกเขาเห็นศพที่โชกไปด้วยเลือดทั้งสามและซือคงเหินที่กำลังโกรธเกรี้ยวยืนอยู่ที่ด้านข้าง พวกเขาทุกคนก็ปิดปากสนิท ไม่กล้ากล่าวสิ่งใดออกมา
“กับแค่มดปลวกตัวเล็ก ๆ ที่มีฐานการบ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำ แต่กลับสามารถข้ามขอบเขตและฆ่าผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางครั้งแล้วครั้งเล่า มันทรงพลังเกินไปหรือพวกเจ้าทุกคนเป็นกลุ่มขยะไร้ค่า?” ดวงตาของซือคงเหินเหมือนกับสายฟ้าฟาดในขณะที่เขาตำหนิอย่างเย็นชา
ทุกคนต่างก็ก้มศีรษะลงและนิ่งเงียบ แต่พวกเขากลับโกรธแค้นและเสียใจอย่างสุดขีด ในฐานะศิษย์ของตระกูลซือคง พวกเขามีทุกสิ่งที่ต้องการในเมืองเฟิงเย่ แต่ตอนนี้พวกเขายังไม่สามารถจับเด็กขอบเขตเคหาทองคำได้ แม้ว่าซือคงเหินจะไม่ได้กล่าว แต่พวกเขาก็ยังรู้สึกละอายใจเป็นอย่างยิ่ง
“นายน้อยใหญ่ เจ้าเด็กนั่นคงยังหนีไปได้ไม่ไกลนัก พวกเราจะไล่ล่าจับมันให้ได้!” ศิษย์คนหนึ่งกล่าวขึ้น
“ไล่ล่า? มันหนีไปแล้ว เจ้าจะไล่ตามมันได้อย่างไร” ซือคงเหินกัดฟันขณะที่เขากล่าว เขาไม่สามารถระงับความโกรธได้อย่างแท้จริง หนิงอี้ หลัวกุ้ย และซิวซานเหนียงได้เสียชีวิตไปแล้ว เมื่อรวมเข้ากับศิษย์ทั้งสามที่อยู่เบื้องหน้าเขา ผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางทั้งหกคนของตระกูลซือคงได้ล้มตายภายในวันเดียว ยิ่งกว่านั้น พวกเขาทั้งหมดล้วนเสียชีวิตด้วยน้ำมือของเด็กน้อยที่มีฐานการบ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำเท่านั้น แล้วเขาจะไม่โกรธเกรี้ยวได้อย่างไร?
พวกเขาไม่ใช่ผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลที่มีอยู่มากมายและไม่ใช่ผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำของตระกูลซือคง แต่พวกเขาทั้งหกคนเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางที่เป็นอันดับหนึ่งในเมืองเฟิงเย่! การสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่เช่นนี้เป็นสิ่งที่แม้แต่ซือคงเหินก็ไม่อาจทนได้
ฟิ้ววว!
ทันใดนั้น เสียงหวีดหวิวแหลมคมก็ดังก้องทะลุท้องฟ้า จากนั้นทุกคนก็เห็นประกายไฟที่เจิดจ้าเปล่งประกายอยู่ใต้ท้องฟ้า
“มันคือ พลุสุริยัน! ศัตรูอยู่ที่นั่น!”
“เยี่ยมมาก ในที่สุดเจ้าเด็กบัดซบคนนั้นก็ถูกล้อมแล้ว!”
“ไล่ล่ามัน เราจะฆ่าเจ้าเด็กคนนี้ เพื่อช่วยนายน้อยใหญ่ระบายความโกรธ!!”
ทุกคนต่างถูมือของพวกเขาเข้าด้วยกันและมีสีหน้าปีติยินดี และแม้แต่ความโกรธบนใบหน้าของซือคงเหินก็เลือนหายไป
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ทว่าทันทีที่พวกเขากำลังจะจากไป เสียงหวีดหวิวแหลมคมอีกสองเสียงก็ดังขึ้นอีกครั้ง และพลุสีแดงเพลิงอีกสองดวงก็ระเบิดขึ้นใต้ท้องฟ้า ลูกหนึ่งอยู่ทางทิศตะวันตก อีกลูกหนึ่งอยู่ทางทิศตะวันออก และมันอยู่ห่างกันกว่าห้าสิบลี้ ยิ่งกว่านั้น ทั้งคู่อยู่ในตำแหน่งที่แตกต่างจากพลุสุริยันลูกแรก
ทันใดนั้น ทุกคนตกตะลึงและมึนงงสับสน พลุสุริยันสามตำแหน่งที่แตกต่างกัน พวกเราควรมุ่งไปในทิศทางใดกันแน่?