บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 323 ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางของการบ่มเพาะกายา
บทที่ 323 ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางของการบ่มเพาะกายา
ครืนนน!
ภายในห้อง เฉินซีดูสงบและเคร่งขรึมขณะที่เขานั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง มีคลื่นเสียงที่คล้ายกับเสียงฟ้าร้องดังกึกก้องออกมาจากภายในร่างกายของเขา ตามจังหวะของเสียงนี้มันเหมือนกับเสียงของมหาเต๋าขณะที่ดังกังวานออกมาเป็นกระแสคลื่น
หลังจากที่เขาจัดการกับจี้เยว่เมื่อคืนที่ผ่านมา เฉินซีก็ตัดสินใจที่จะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางของการแปรสภาพร่างกายในทันที
ในขณะนี้ เขากำลังตั้งสมาธิอย่างจดจ่อเพื่อควบคุมพลังชีวิตและเลือดในร่างกายให้อยู่สภาวะที่เหมาะสมที่สุด เพื่อที่เขาจะได้ใช้มันในการต้านทานวารีศักดิ์สิทธิ์ชำระไอมาร พลังวิญญาณมังกรและแก่นโลหิตที่บรรจุอยู่ภายในจี้หยกวิญญาณมังกร
หลังจากนั้นไม่นาน เสียงทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็กลับคืนสู่ความปกติ และทันใดนั้นเฉินซีพลันลืมตาขึ้น จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นและตบน้ำเต้าสีทองม่วงสามลูกโดยปราศจากความลังเล ทุกรูขุมขนในร่างกายของเขาเปิดออกในขณะที่เขาดูดซับวารีศักดิ์สิทธิ์ชำระไอมารราวกับปลาวาฬยักษ์ที่กลืนกินน้ำในมหาสมุทร
วารีศักดิ์สิทธิ์ชำระไอมารเป็นสมบัติล้ำค่าสำหรับการแปรสภาพร่างกายในสวรรค์และโลก ไม่เพียงแต่พลังงานที่บรรจุอยู่ภายในจะสามารถชำระล้างสิ่งสกปรกภายในร่างกายได้เท่านั้น แต่ยังส่งผลลัพธ์อันน่าอัศจรรย์ที่ทำให้การบ่มเพาะแข็งแกร่งขึ้นและส่งเสริมรากฐานของร่างกายให้มั่นคง
หากร่างกายถูกกล่าวว่าเป็นชิ้นส่วนของเครื่องเคลือบดินเผา การใช้วารีศักดิ์สิทธิ์ชำระไอมารก็คือการกำจัดส่วนที่ยังไม่เสร็จของเครื่องเคลือบดินเผา ขยายปริมาตรของมัน ทำให้มันสะอาดและใสกระจ่าง แต่ยังมีความแข็งแรงและพื้นผิวที่งดงาม
ฟิ้ว!
พร้อมกับวารีศักดิ์สิทธิ์ชำระไอมารที่พุ่งเข้าสู่ร่างกายของเขา ความแข็งแกร่งของร่างกายของเฉินซีก็พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทวีความแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ ในระหว่างกระบวนการบ่มเพาะของเขา ร่างกายของเขาส่งเสียงดังก้องขณะที่กล้ามเนื้อกระเพื่อมขึ้นลง ราวกับภูเขาใหญ่สองลูกที่ปะทะกัน และเสียงที่เกิดขึ้นค่อนข้างดังมหาศาล
ในการแปรสภาพร่างกายโดยทั่วไปนั้นจะใช้พลังเปลวไฟ พลังดวงดาว พลังน้ำแข็ง และพลังงานภายนอกอื่น ๆ เพื่อขัดเกลาร่างกาย ในขณะที่การขัดเกลาร่างกายด้วยวารีศักดิ์สิทธิ์ชำระไอมารนั้น มันไม่ได้ส่งผลแต่เพียงภายนอก แม้แต่อวัยวะภายในร่างกาย ผิวหนัง และแม้แต่เส้นผมก็ถูกขัดเกลาอย่างต่อเนื่อง
ถึงขั้นที่ว่า ถ้าเส้นผมบนศีรษะของเฉินซีถูกฟันอย่างบ้าคลั่งด้วยกระบี่บินระดับล้ำลึกตอนนี้ ก็คงได้แต่ฝันถ้าคิดว่าจะฟันมันขาด!
สิ่งนี้คือจุดแข็งของผู้บ่มเพาะกายา ไม่ใช่แค่ร่างกายของพวกเขาเท่านั้นที่แข็งแกร่งขึ้น แม้แต่กระดูกและอวัยวะภายในร่างกายหรือเส้นผมที่อยู่ภายนอกก็จะได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล
ครืนนน!
ร่างกายของเฉินซีเปล่งเสียงดังกึกก้องราวกับเสียงของมหาเต๋าอีกครั้ง ในขณะที่กล้ามเนื้อ กระดูก เส้นเอ็น ผิวหนัง อวัยวะภายใน…ทุกส่วนของร่างกายของเขาต่างก็โห่ร้องด้วยจังหวะที่แปลกประหลาด ซึ่งคล้ายกับท่วงทำนองที่แฝงไปด้วยความมีชีวิตชีวาและความยินดีจากสรวงสวรรค์
ผิวพรรณของเขาเปล่งประกายแวววาวราวกับหยกขาวและใสดุจหยกแท้ ในขณะที่กลิ่นอายซึ่งแผ่กระจายออกมาจากร่างกายเขานั้น ดูเหมือนสมบัติวิเศษอันน่าสะพรึงกลัวคล้ายกับไม่อาจสั่นคลอนและทำลายได้ยาก
ในเวลาไม่นาน พลังของวารีศักดิ์สิทธิ์ชำระไอมารก็ถูกดูดซับอย่างสมบูรณ์ และกลิ่นอายบนร่างของเฉินซีก็ปกปิดตัวเองอย่างรวดเร็วและหายไป ทำให้เขากลับคืนสู่สภาวะปกติ ผิวของเขายังคงขาวอย่างเช่นเคย มันดูเหมือนจะแข็งกระด้างแต่ก็ยืดหยุ่น และไม่อาจหยั่งถึงว่ามันแข็งแกร่งเพียงใด
เฉินซีไม่ชักช้าเลยแม้แต่น้อยและใช้โอกาสในขณะที่ร่างกายของเขาอยู่ในสภาวะที่เหมาะสมที่สุด มือขวาของเฉินซีถือจี้หยกวิญญาณมังกรไว้ภายในนั้น ก่อนที่จะโคจรวิชาบ่มเพาะเพื่อดูดซับวิญญาณมังกรและแก่นโลหิตภายในจี้หยก
ตามตำนานที่เล่าขานสืบทอดกันมา จี้หยกวิญญาณมังกรมีเศษเสี้ยวของแก่นโลหิตและวิญญาณสัตว์ศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล ‘มังกรเขียว’ ยามที่สวมใส่บนร่างกาย มันมีพลังแฝงลึกลับที่ส่งเสริมการบ่มเพาะอย่างมหาศาล ทว่าทั่วทั้งราชวงศ์ซ่งนั้นมีเพียงเชื้อพระวงศ์เท่านั้นที่ครอบครองสมบัติล้ำค่าเช่นนี้ได้
สำหรับผู้บ่มเพาะปราณ การสวมจี้หยกวิญญาณมังกรจะช่วยให้หลีกเลี่ยงความเจ็บป่วยและปัดเป่าความชั่วร้ายได้ ทำให้ไม่ต้องกังวลว่าเมื่อบ่มเพาะจะเกิดอันตรายจากการหักเหของปราณ ในขณะที่ผู้ขัดเกลากายา หากพวกเขาสามารถดูดซับเศษเสี้ยวของแก่นโลหิตและวิญญาณมังกรที่อยู่ภายในได้ ก็จะทำให้ร่างกาย พลังชีวิต เลือด และปราณจ้าววิญญาณได้รับการพัฒนาจนบรรลุไปสู่ระดับใหม่ที่เหนือกว่าอย่างสิ้นเชิง
ในขณะนี้ สิ่งที่เฉินซีต้องการจะทำคือดูดซับเศษเสี้ยวของแก่นโลหิตและพลังวิญญาณของมังกรที่บรรจุอยู่ภายในจี้หยกวิญญาณมังกรอย่างมหาศาล เพื่อยกระดับการบ่มเพาะของเขาไปสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง!
…
มู่ขุยยืนเฝ้าอยู่นอกประตูห้องของเฉินซีด้วยท่าทางระแวดระวัง ดวงตาทั้งสองข้างของเขาไม่กะพริบเลยแม้แต่น้อย
เนื่องจากเฉินซีผู้เป็นนายของเขากำลังทะลวงสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ดังนั้นจึงไม่อาจให้มีเหตุร้ายใด ๆ เกิดขึ้นได้ในเวลานี้ มิฉะนั้น เฉินซีจะต้องทนทุกข์ทรมานจากปราณหักเหหรือแม้แต่เสียชีวิต
ควรรู้ว่าขณะนี้กลุ่มนักฆ่าที่น่าสะพรึงที่สุดในโลก ‘ตำหนักตะวันดำ’ กำลังจะหาโอกาสลอบโจมตีเฉินซี ดังนั้นภายใต้สถานการณ์ที่ล่อแหลมเช่นนี้ มู่ขุยจึงไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย ประสาทสัมผัสทั้งหมดในร่างกายของเขาอยู่ในสภาวะตึงเครียด เนื่องจากเขาเกรงว่าความประมาทเพียงเล็กน้อยจะก่อให้เกิดความผิดพลาดครั้งใหญ่
โรงเตี๊ยมแห่งนี้มีแขกเหรื่ออยู่มากมายในระหว่างวัน พวกเขาส่วนใหญ่กำลังดื่มสุราหรือสนทนาระหว่างกัน จึงดูเหมือนว่าจะไม่มีสิ่งใดผิดปกติเกิดขึ้น ซึ่งอันที่จริง ก็ไม่มีเค้าลางว่าจะมีเหตุอันตรายใด ๆ เกิดขึ้นเลยสักนิด เนื่องจากเมืองนภาครามขึ้นชื่อเรื่องความเป็นระเบียบเรียบร้อยมาเสมอ การต่อสู้และความขัดแย้งจึงไม่ค่อยเกิดขึ้น ดังนั้น ความกังวลของมู่ขุยจึงไม่จำเป็นอย่างเห็นได้ชัด
ทว่าท่าทางที่ประหม่าและเคร่งเครียดของเขาก็ดึงดูดสายตาของแขกเหรื่อในโรงเตี๊ยม จึงทำให้ทุกคนต่างก็รู้สึกสงสัยเป็นอย่างมากว่าเหตุใดคนผู้นี้ถึงแสดงอาการประหม่ายิ่งนัก หรือว่ามีบางอย่างที่ไม่ชอบกลเกิดขึ้นภายในห้องด้านหลังเขา?
“เฮ้ เจ้าคิดว่าเด็กสาวบางคนถูกบังคับให้ค้าประเวณีอยู่ภายในห้องนั้น และคนผู้นี้เป็นลูกน้องที่เฝ้าจับตามองอยู่หรือเปล่า”
“ค้าประเวณีในเวลากลางวันแสก ๆ? เป็นไปไม่ได้ที่คนคนหนึ่งจะเป็นคนวิปริตเช่นนี้ จริงไหม?”
“หึ ตัวเจ้าไม่เข้าใจ คนบางคนในทุกวันนี้ชอบสิ่งนี้และพวกเขากำลังแสวงหาความตื่นเต้น”
“เมื่อเจ้ากล่าวเช่นนี้ ข้ารู้สึกว่าอาจจะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ฮ่า ๆ! ข้าสงสัยนักว่าคนที่อยู่ในห้องนั้นเป็นผู้ใดกัน หากข้ามีโอกาส ข้าคงต้องขอคำชี้แนะเกี่ยวกับกลเม็ดการหลับนอนกับอิสตรีจากเขา”
“ข้าคิดว่าเจ้าควรลืมมันเสีย เจ้าไม่เห็นหรือว่าคนผู้นั้นเป็นผู้บ่มเพาะอสูร และมันอาจจะเป็นผู้บ่มเพาะอสูรที่อยู่ภายในห้องนั้น เมื่อเทียบกับผู้บ่มเพาะอสูรแล้ว มนุษย์อย่างพวกเราไม่มีสิ่งใดให้น่าประทับใจกับกิจกรรมของพวกเขา!”
“มันอาจเป็นเช่นนั้น ไม่น่าแปลกใจเลยที่พวกเสื่อมสมรรถภาพทางเพศมักจะซื้ออวัยวะเพศของสัตว์ดุร้ายบางตัวด้วยเงินก้อนโต ปรากฏว่าสิ่งนี้มีประโยชน์อย่างมาก!”
แขกเหรื่อบางคนรู้สึกเบื่อหน่าย พวกเขาจึงเอามู่ขุยและเฉินซีที่อยู่ในห้องมาเป็นประเด็นเพื่อถากถางและเยาะเย้ย ทำให้ผู้ชายที่อยู่ในวงสนทนาบางคนหัวเราะเยาะออกมา ในขณะที่ผู้หญิงบางคนก้มหน้าลงด้วยความลำบากใจ บ้างก็ถ่มน้ำลายด้วยความดูถูกและก่นด่าสาปแช่งไม่รู้จบ
มู่ขุยถลึงตาใส่อย่างโกรธเกรี้ยว เขาไม่ต้องการสิ่งใดมากไปกว่าพุ่งเข้าไปทุบตีพวกปากพล่อยเหล่านั้น แต่เมื่อเขานึกถึงนายท่านของเขาที่อยู่ในห้อง เขาก็ได้แต่อดทนอย่างสุดกำลัง
“โฮก!” ในตอนที่ทุกคนหัวเราะจนแทบกรามค้าง เสียงคำรามที่ราวกับเสียงคำรามของมังกรก็ดังขึ้นทันทีทันใด ซึ่งทำให้สวรรค์และโลกสั่นสะเทือน เสียงคำรามนี้เต็มเปี่ยมด้วยศักดิ์ศรีสูงสุดและกลิ่นอายมังกรที่แผ่วเบา ด้วยเหตุนี้ สีหน้าของทุกคนจึงซีดเซียวในทันที ราวกับความหนาวเย็นได้แทรกซึมลงสู่กระดูกสันหลังของพวกเขา
‘กลิ่นอายรุนแรงอะไรเช่นนี้!’
ทั้งโรงเตี๊ยมตกอยู่ในความเงียบงันจนได้ยินแม้แต่เสียงเข็มที่หล่นลงพื้น และสายตาของทุกคนล้วนจดจ้องไปยังห้องด้านหลังของมู่ขุยด้วยความประหลาดใจ เพราะเสียงมังกรคำรามที่น่าตกตะลึงดังมาจากที่ห้องนั้น!
‘หรือว่าผู้บ่มเพาะอสูรในห้องนั้น เป็นตัวตนทรงพลังซึ่งสืบทอดสายเลือดของมังกร?’
หัวใจของทุกคนต่างก็สั่นไหว เหล่าคนที่เย้ยหยันมู่ขุยกับเฉินซีอย่างไร้ยางอายเมื่อครู่นี้ ใบหน้าของพวกเขาก็ซีดเซียวและเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่สบายใจ เมื่อพวกเขาคิดว่าตนเองได้ล่วงเกินบุคคลที่ทรงพลังซึ่งสามารถปลดปล่อยกลิ่นอายมังกรได้ พวกเขาจึงรู้สึกประหม่าและแทบจะหักห้ามใจไม่ให้หนีไม่ได้
เมื่อมู่ขุยเห็นรูปลักษณ์ที่น่าสมเพชของพวกคนเหล่านั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะเย้ยหยันครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ในใจของเขาก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมากเช่นเดียวกัน ‘เหตุใดนายท่านจึงทำให้เกิดความโกลาหลเช่นนี้ หรือว่าการแปรสภาพร่างกายของเขาจะบรรลุไปอีกขั้นแล้ว?’
อย่างไรก็ตาม แท้จริงแล้วเฉินซียังไม่ได้บรรลุเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้เป็นเพราะเศษเสี้ยวของแก่นโลหิตและพลังวิญญาณที่อยู่ภายในจี้หยกวิญญาณมังกร เนื่องจากมันมีพลังที่มหาศาลและทรงพลังเกินไป หลังจากที่มันทะลักเข้าสู่ร่างกายของเขา มันก็เหมือนกับสัตว์ดุร้ายที่เกรี้ยวกราดและไม่ยอมสยบให้กับใครออกอาละวาดไปทั่วทั้งร่างกายของเขาและต้องใช้กำลังมหาศาลกว่าจะปราบมันลงได้ในที่สุด
แต่เนื่องจากความแข็งแกร่งของมัน ผลกระทบของมันจึงชัดเจนและอาจอธิบายได้ว่าน่ามหัศจรรย์
ในขณะนี้ อักขระจ้าววิญญาณทั้งเก้าบนแผ่นหลังของเฉินซีที่จัดเรียงตามตำหนักทั้งเก้านั้นราวกับพวกมันได้มีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง แกนกลางของดวงดาราที่อยู่ตรงกลางของอักขระจ้าววิญญาณแต่ละอัน ได้เปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ปกคลุมด้วยหมอกที่พัวพันกันเหนือศีรษะของเขาและควบแน่นเป็นหมอกเพลิงที่พร่ามัว
หมอกเพลิงนี้ส่องประกายสว่างไสวและเยือกเย็น ซึ่งมีดวงแสงงดงามเล็ก ๆ อยู่ภายใน พวกมันเหมือนหมู่ดาวที่ส่องแสงกะพริบอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เช่น ดาวสีทองที่ดูคมชัด ดาวสีครามที่ดูธรรมดาราบเรียบ ดาวสีน้ำเงินที่ดูกว้างใหญ่ไพศาล ดาวสีชาดที่ลุกโชนพลุ่งพล่าน ดาวสีเหลืองที่ดูหนาแน่นหนักหน่วง… ซึ่งได้รวมถึงธาตุทั้งห้า หยินหยาง สายลม สายฟ้า ดวงดาว ท้องฟ้า และเต๋ารู้แจ้งอื่น ๆ ที่ส่องประกายเรืองรองราวกับภาพลวงตา
เลือดภายในร่างกายของเฉินซีกำลังเดือดพล่านราวกับถูกแผดเผา มันส่งเสียงดังกึกก้องในร่างกายของเขา ผิวหนังและรูขุมขนทุกส่วนดูเหมือนจะเปิดออก ซึ่งภายในมีจุดชีพจรเล็ก ๆ ที่ยากจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ปราณจ้าววิญญาณที่แต่เดิมไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายของเขาดูเหมือนจะพบกับที่พักพิง จึงหลั่งไหลเข้าสู่จุดชีพจรเล็ก ๆ เหล่านั้นอย่างรวดเร็ว
ผู้ขัดเกลากายาต่างก็บ่มเพาะร่างกายเพื่อแสวงหาเต๋าด้วยความตั้งใจที่จะกลายเป็นเซียน พวกเขาถือว่าร่างกายของมนุษย์มีจุดชีพจรอยู่มากมาย และจุดชีพจรเหล่านี้คือโลกที่ลึกลับและกว้างใหญ่ เมื่อจุดชีพจรเหล่านี้ได้ถูกเปิดออก ก็ถึงเวลาที่ร่างกายของคนผู้นั้นจะถูกชำระล้างให้บริสุทธิ์
สภาพร่างกายของเฉินซีในตอนนี้เห็นได้ชัดว่าจุดชีพจรบนร่างกายของเขาได้ถูกเปิดออก และร่างกายของเขากำลังเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล โดยไม่คำนึงถึงการชำระร่างกายให้บริสุทธิ์ อย่างน้อยเมื่อเทียบกับในอดีต ก็เป็นความก้าวหน้าครั้งใหญ่อย่างแน่นอน
การทะลวงครั้งนี้คือขอบเขตแกนทองคำหยินหยางของบ่มเพาะกายา!
‘ไม่ได้การ! ปราณจ้าววิญญาณในร่างกายของข้ากำลังหลั่งไหลไปที่จุดชีพจรเหล่านั้น หากยังเป็นเช่นนี้อีกต่อไป ข้าเกรงว่าพลังที่เหลืออยู่จะไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนการทะลวงขอบเขตของข้า… แต่นับว่าโชคดีที่ตอนนี้ข้ามีผลึกโลหิตจ้าววิญญาณอยู่จำนวนมาก มิฉะนั้น หากเป็นไปตามที่ข้าคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ ย่อมมีโอกาสที่การทะลวงของข้าจะชะงักลงในระหว่างทางและข้าจะล้มเหลวในการบรรลุขอบเขตแกนทองคำหยินหยางของการบ่มเพาะกายาในท้ายที่สุด’
เมื่อเขาสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นภายในร่างกายของเขา นอกจากความรู้สึกยินดีแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกวิตกกังวลอยู่ในใจ จากนั้นจึงรีบหยิบผลึกโลหิตจ้าววิญญาณที่ยึดมาจากจี้เยว่ ก่อนที่จะดูดซับพลังงานที่อยู่ภายในด้วยกำลังทั้งหมดของเขา
ผลึกโลหิตจ้าววิญญาณเหล่านี้ควรค่าแก่การเป็นสมบัติล้ำค่า เนื่องจากพวกมันเกิดขึ้นมาจากแก่นแท้ของโลก เพียงแค่เฉินซีดูดซับผลึกไปสองก้อน เขาก็รู้สึกว่าร่างกายถูกเติมเต็มด้วยปราณจ้าววิญญาณอย่างมหาศาลอีกครั้ง
ทว่าผ่านไปไม่นานนัก ปราณจ้าววิญญาณที่เพิ่งเติมเต็มเข้ามานี้ ก็ได้ไหลเข้าสู่จุดชีพจรในร่างกายของเขาอีกครั้ง จุดชีพจรเหล่านั้นเป็นไปตามตำนานที่กล่าวไว้ พวกมันดูเหมือนโลกลึกลับและกว้างใหญ่ไพศาล ซึ่งครอบครองพื้นที่ที่ไม่อาจจินตนาการถึงได้
เฉินซีไม่ได้สนใจสิ่งอื่นใด แล้วเขาก็รีบหยิบผลึกโลหิตจ้าววิญญาณอีกสองก้อนออกมา ก่อนที่จะดูดซับมันด้วยกำลังทั้งหมดของเขา
ด้วยเหตุนี้ เฉินซีจึงได้ใช้ผลึกโลหิตจ้าววิญญาณไปถึงสิบหกก้อน ก่อนที่เขาจะรู้สึกว่าจุดชีพจรที่เปิดออกนั้นได้ถึงสภาวะที่เหมาะสมแล้ว เขาจึงคว้าโอกาสนี้เพื่อเริ่มทะลวงเข้าสู่อุปสรรคขั้นสุดท้ายที่ขัดขวางการบรรลุของเขา!
อุปสรรคนี้ถูกเรียกว่า ‘การเปลี่ยนแปลงของหินหลอมเหลว’ ซึ่งหมายถึงการใช้ปราณจ้าววิญญาณนำพาเลือดในร่างกายทั้งหมด ทำให้มันควบแน่นจนข้นเหมือนหินหลอมเหลว
สามวันต่อมา
กระแสพลังงานสีแดงเลือดพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าและกลายเป็นมวลเมฆที่แผ่ขยายครอบคลุมพื้นที่ในระยะร้อยยี่สิบจั้ง แม้ว่ามันจะหายไปในพริบตา แต่ก็ทำให้ผู้บ่มเพาะที่อยู่ใกล้เคียงตกตะลึงจนมุ่งความสนใจไปที่มัน
ในวันนี้เองที่การบ่มเพาะกายาของเฉินซีได้บรรลุสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง!