บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 330 ป่าทมิฬ
บทที่ 330 ป่าทมิฬ
ท้องฟ้าของเมืองอีกาคลั่งในยามรุ่งสางยังคงมืดครึ้ม
เมื่อเฉินซีมาถึงโรงเตี๊ยมอีกาคลั่ง ฉีอิ๋นกำลังรออยู่พร้อมกับเครื่องมือครบครัน และเขายังมีคันธนูยาวสีดำสนิทที่ปกคลุมไปด้วยเงาสลัว ทำให้เขาดูแข็งแกร่งและดุดัน
ที่ด้านหลังของเขามีวายร้ายกว่าสิบคนจากเมืองอีกาคลั่งติดตามเขามา คนเหล่านี้ต้องการไปพร้อมกับฉีอิ๋นเพื่อรวบรวมวัสดุในป่าทมิฬ พวกเขาต้องการล่าสัตว์อสูรเพื่อถอนขนและกระดูกของพวกมัน หรือรวบรวมวัตถุวิญญาณและขุดแร่วิญญาณ
ดังนั้นเมื่อทุกคนได้รวมตัวกันครบแล้ว จึงออกเดินทางในทันที
ป่าทมิฬตั้งอยู่ที่ด้านหลังของเมืองอีกาคลั่ง มันมีขนาดกว้างใหญ่ไพศาล มีต้นไม้สูงใหญ่และเก่าแก่ ต้นไม้โบราณเหล่านี้มีลำต้นที่หนามากถึงขนาดต้องใช้คนเจ็ดหรือแปดคนโอบล้อม และยอดของต้นไม้ก็อยู่ห่างจากพื้นดินร้อยยี่สิบจั้ง
ดังนั้นต้นไม้ทุกต้นในป่าแห่งนี้จึงมีขนาดมหึมา แต่ระยะห่างระหว่างต้นไม้นั้นก็กว้างมาก และพื้นดินก็ถูกปกคลุมด้วยใบไม้เน่าเปื่อยจนหนาเป็นชั้น ๆ หากมีใครกระทืบเท้าลงไปอย่างแรง ร่างของพวกเขาจะถูกฝังอยู่ภายใต้ใบไม้เหล่านี้ ซึ่งไม่ใช่เพราะมันมีหนองน้ำอยู่ที่ด้านล่าง แต่เป็นเพราะการทับถมของใบไม้เน่าบนพื้นที่หนาจนเกินไป
เนื่องจากป่ากว้างใหญ่และอุดมสมบูรณ์เกินไป แสงแดดจึงไม่สามารถส่องผ่านใบไม้หนาทึบเหล่านี้ ทำให้ต้องเดินอยู่ท่ามกลางความมืดในป่าใหญ่ และเงาที่สั่นไหวของต้นไม้ก็ดูน่าสะพรึงอยู่บ้าง
ฉีอิ๋นเดินนำหน้าในขณะที่เฉินซีเดินตามหลังมาอย่างเงียบ ๆ ทั้งกลุ่มไม่มีการพูดคุยใด ๆ เลยสักนิด ทำให้บรรยากาศของกลุ่มดูกดดันเป็นอย่างมาก และมีเพียงเสียงคำรามของสัตว์อสูรที่ห่างไกลออกไปเท่านั้น ทำให้มันเพิ่มกลิ่นอายที่กดดันและน่ากลัวให้กับบรรยากาศ
ขณะที่พวกเขาเดินลึกเข้าไปในป่า สีหน้าของทุกคนก็ระแวดระวังขณะที่พวกเขาตื่นตัวต่อสิ่งรอบข้าง ดังนั้นความเร็วในการเดินทางของกลุ่มจึงลดลงอย่างมาก
ตามความรู้ของเฉินซี พวกเขาออกจากพื้นที่รอบนอกของป่าทมิฬแล้วและเริ่มมุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของมัน
อย่างไรก็ตาม ไม่มีอุบัติเหตุใด ๆ เกิดขึ้นตลอดทางที่นี่ และทั่วทั้งป่าก็เงียบสงัดราวกับป่าช้าที่ไร้สิ่งมีชีวิต โดยไม่ต้องกล่าวถึงสัตว์อสูรใด ๆ แม้แต่มดหรือแมลงก็ไม่มีให้เห็นเลยสักตัว
มีบางอย่างผิดปกติ!
ดวงตาที่เย็นชาของเฉินซีเปล่งประกายขณะที่มองไปยังร่างกำยำของฉีอิ๋นที่อยู่ทางด้านหน้า และเขาก็ตกอยู่ในห้วงความคิดอันลึกล้ำ
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ทันใดนั้น เสียงโหยหวนที่แปลกประหลาดได้ทำลายบรรยากาศที่เงียบงัน ราวกับว่าพวกมันจะเจาะออกมาจากรอยแตกของหินอย่างกะทันหัน และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้กำลังพุ่งเข้าหาพวกเขาด้วยความเร็วสูงสุด
ไม่จำเป็นต้องกล่าวอะไรสักคำ ทุกคนต่างหยุดเคลื่อนไหวก่อนที่ตั้งท่าป้องกันด้วยความระมัดระวัง
“ระวัง! พวกมันคือนกนางแอ่นกระสวยฟ้า!” คนร้ายคนหนึ่งร้องลั่นด้วยน้ำเสียงที่หวาดกลัว ท่าทางของทุกคนแปรเปลี่ยนเป็นหวาดกลัวอย่างพร้อมเพรียงกัน และพวกเขาก็ชักสมบัติวิเศษป้องกันที่มีสีต่าง ๆ ออกมาทันที ราวกับว่าพวกเขากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่ทรงพลัง
ทันทีที่เสียงของคนนั้นดังก้องกังวานในอากาศ ใบมีดแสงสีฟ้าที่ละเอียดและคมกริบกว่าสิบเล่มก็พุ่งเข้ามาราวกับลูกธนูจากทุกทิศทุกทางอย่างดุดัน!
ใบมีดแสงสีฟ้าเหล่านี้รวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาดขณะที่พวกมันฉีกท้องฟ้าและเปล่งเสียงโหยหวนอันแหลมคมที่สามารถเจาะแก้วหูให้แตกได้ออกมา และเจตนาฆ่าที่โจมตีใบหน้าของพวกเขานั้นเยียบเย็นราวกับใบมีด!
ฟู่! ฟู่!
สมบัติวิเศษป้องกันของวายร้ายสองคนถูกใบมีดสีฟ้าเจาะทะลุอย่างง่ายดายราวกับเศษกระดาษ ทันใดนั้น น้ำพุเลือดสองสายก็พุ่งออกมาจากหน้าอกของพวกเขา!
“อ๊าก!!” เสียงร้องโหยหวนอย่างน่าสมเพชของวายร้ายทั้งสองดังก้องไปทั้งป่า
คนอื่นต่างก็ตกใจด้วยความหวาดกลัว แต่พวกเขาไม่มีเวลาสนใจกับสิ่งอื่น สมบัติวิเศษป้องกันของพวกเขาได้รับการโจมตีในลักษณะเดียวกันและพวกมันก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง จึงทำให้เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวราวกับว่าใกล้จะแตกเป็นเสี่ยง ๆ
ไม่ใช่เรื่องยากที่จะจินตนาการว่าหากการโจมตีระลอกใหม่มาถึง พวกเขาคงหนีไม่พ้นจากชะตากรรมของการถูกใบมีดแสงสีฟ้าแทงและจะล้มตายในที่สุด!
เฉินซีอยู่ที่ด้านหลังของกลุ่ม ดังนั้นเขาจึงถูกโจมตีน้อยที่สุดและเพียงหลบพวกมันด้วยการเบี่ยงตัวเล็กน้อย ทำให้เขาดูผ่อนคลายเป็นอย่างมาก ในขณะนี้ เขาสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าใบมีดแสงสีฟ้าจำนวนมากเหล่านั้นเป็นกลุ่มนกนางแอ่นสีฟ้าจริง ๆ
นกนางแอ่นกระสวยฟ้ามีสีฟ้าอ่อนตลอดทั้งตัวและมีร่างกายที่แบนราบเหมือนกระสวย มันจะมีขนาดเท่าฝ่ามือเมื่อกางปีกออก ว่ากันว่ามันมีเศษเสี้ยวของสายเลือดสัตว์อสูรบรรพกาลที่มีนามว่า ‘นกนางแอ่นเงาคล้อย’ ไหลอยู่ และก็มีความเร็วราวกับสายฟ้าฟาดเมื่อมันโผบินไปมาราวกับสายลม
นอกจากจะมีร่างกายที่เหมือนกระสวยที่แหลมคมแล้ว การโจมตีของมันยังเฉียบคมอย่างกับกระสวยอีกด้วย และเมื่อรวมกับความเร็วของมันที่ราวกับสายฟ้าฟาด การโจมตีที่มันระเบิดออกมานั้นช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
เนื่องจากความเร็วที่รวดเร็วมหาศาล รูปร่างที่เล็กและสวยงามราวกับกระสวย นกนางแอ่นกระสวยฟ้าจึงถูกเรียกว่าเป็นนักฆ่าโดยกำเนิด มันเชี่ยวชาญในการลอบโจมตีอย่างมากและเคลื่อนที่ออกไปเป็นกลุ่ม ทำให้เหยื่อของมันมักจะถูกแทงจนตายก่อนที่พวกเขาจะได้สังเกตเห็น
หลังจากล้มเหลวในการโจมตี นกนางแอ่นกระสวยฟ้าก็แสดงความตั้งใจที่จะล่าถอยอย่างชัดเจน และพวกมันไม่เคยคาดคิดเลยว่าสมบัติวิเศษป้องกันเหล่านี้จะแข็งแกร่งขนาดนี้ แต่เนื่องจากโจมตีของพวกมันถูกสกัดกั้น ทำให้การเคลื่อนไหวของพวกมันจึงช้าลงอย่างช่วยไม่ได้
วายร้ายที่มาจากเมืองอีกาคลั่งเหล่านี้ล้วนมีประสบการณ์การต่อสู้มากมาย และเมื่อพวกเขาเห็นสหายตายอย่างอนาถต่อหน้าพวกเขา พวกเขาต่างก็รู้สึกตกใจและเดือดดาลอยู่ในใจ ในขณะนี้ เมื่อพวกเขาเห็นนกนางแอ่นกระสวยฟ้าเผยร่องรอยความเหนื่อยล้า พวกเขาก็ไม่ลังเลที่จะโจมตีอย่างดุร้ายในทันที
เนื่องจากพวกเขาต่างก็รู้ดีว่าหากไม่ฉวยโอกาสตอนที่นกนางแอ่นกระสวยฟ้าหมดแรง เมื่อพวกมันสามารถฟื้นตัวกลับคืนสู่ความเร็วที่เป็นดั่งเงาที่ไหลอย่างอิสระ โอกาสชนะของพวกเขาจะต่ำมาก และมีโอกาสที่พวกเขาจะถูกกำจัดออกไป
ประกายกระบี่ ปราณดาบ เงาหอก… การโจมตีที่รุนแรงทุกรูปแบบโหมกระหน่ำออกมาราวกับพายุ
ในป่าที่อันตรายแห่งนี้ ทุกคนต่างก็เกลียดชังสัตว์อสูรอย่างนกนางแอ่นกระสวยฟ้าที่มีรูปร่างเล็กและมีความเร็วเป็นเลิศ เนื่องจากในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ทำให้พวกเขาไม่สามารถเดินหน้าหรือถอยกลับได้อย่างอิสระเหมือนนกนางแอ่นกระสวยฟ้า ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อการโจมตีของพวกมันล้มเหลว พวกมันจะหลบหนีในทันทีก่อนที่จะรอโอกาสที่จะเปิดการโจมตีอีกครั้ง ทำให้พวกมันรับมือได้อย่างยากลำบากและน่ารำคาญเป็นอย่างมาก
ปัง! ปัง! ปัง!
นกนางแอ่นกระสวยฟ้าห้าตัวถูกโจมตีและระเบิดออกเป็นละอองเลือดกลางอากาศ เมื่อเปรียบเทียบกับการโจมตีของพวกเขาแล้ว นกนางแอ่นกระสวยฟ้ามีความสามารถในการป้องกันที่แย่มาก และโดยพื้นฐานแล้วพวกมันจะไม่สามารถเอาชีวิตรอดได้หากถูกโจมตี
เพื่อหลีกเลี่ยงจากการถูกรังควานและการลอบโจมตีจากนกนางแอ่นกระสวยฟ้าในการเดินทางครั้งต่อมา อาชญากรเหล่านี้จึงมุ่งมั่นที่จะกำจัดนกนางแอ่นกระสวยฟ้ากลุ่มนี้ให้หมดสิ้น และพวกเขาก็ไม่ปรานีเลยแม้แต่น้อย การโจมตีระเบิดออกไปหลายครั้ง ทำให้ต้นไม้หนาและมหึมาที่อยู่ใกล้เคียงในระยะร้อยยี่สิบจั้งถูกผ่าจากตรงกลาง จนเศษไม้กระจายไปในอากาศ ทำให้บริเวณโดยรอบดูสับสนอลหม่านเป็นอย่างมาก
ท่ามกลางความโกลาหลนี้ สายตาของเฉินซีจับจ้องไปที่ฉีอิ๋นอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากเขาดูเหมือนกับเป็นคนนอกที่ไม่แยแสกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวและไม่ได้เคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านนกนางแอ่นกระสวยฟ้าโดยสิ้นเชิง
ในขณะนี้ ฉีอิ๋นได้ถอดคันธนูยาวออกจากหลังของเขา ขณะที่แขนที่ปูดด้วยกล้ามเนื้อของเขากางออกเพื่อง้างธนูของเขาอย่างเต็มที่จนเหมือนพระจันทร์เต็มดวง เมื่อสายธนูสั่น ลูกธนูที่ไร้รูปร่างก็พุ่งออกไป ลูกธนูทุกลูกที่เขายิงออกไปนั้นแม่นยำ ไร้ความปรานี และสังหารนกนางแอ่นกระสวยฟ้าได้ในดอกเดียว ซึ่งแสดงให้เห็นถึงทักษะการยิงธนูที่ทรงพลังอย่างยิ่งของเขา
ร่างของฉีอิ๋นกำลังเคลื่อนไหวในระหว่างที่ยิงธนูเช่นกัน และดูเหมือนว่าเขาจะพุ่งไปยังระยะไกลอย่างจงใจหรือไม่จงใจก็ตาม
เมื่อฉีอิ๋นกำลังจะออกจากกลุ่มอย่างสมบูรณ์ ทันใดนั้นก็มีร่างหนึ่งพุ่งตรงไปที่เขาอย่างรวดเร็วราวกับภูตผี และด้วยการยกมือขึ้น ร่างนั้นก็คว้าจับเสื้อผ้าของเขาไว้จากทางด้านหลังก่อนที่จะกระชากเขากลับเข้าไปในกลุ่ม
“เจ้ากำลังทำอะไร? นี่คือการต่อสู้! ไม่ใช่เวลาที่จะสร้างปัญหา!” การถูกจับโดยไม่ทันตั้งตัวและถูกลากกลับมา ทำให้ฉีอิ๋นตกใจทันที และเขารู้สึกเย็นวาบไปถึงกระดูกสันหลัง แต่สีหน้าของเขาก็กลับคืนสู่ความสงบทันทีเมื่อรู้ว่าใครเป็นคนคว้าตัวเขา
ร่างนั้นคือเฉินซีนั่นเอง และมุมปากของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชา ขณะที่ดวงตาของเขากลายเป็นเย็นยะเยือก “นี่คือการต่อสู้อย่างแท้จริง แต่เมื่อเทียบกับนกนางแอ่นกระสวยฟ้าแล้ว เจ้ากลับน่ารังเกียจยิ่งกว่ามาก”
ใบหน้าของฉีอิ๋นดิ่งวูบ “เจ้ากำลังกล่าวอะไร?”
“อันที่จริง ข้ารู้แล้วว่าเจ้าโกหกมาตั้งแต่เมื่อคืน ด้วยสติปัญญาของตำหนักตะวันดำ พวกมันจะไม่ยอมให้คนนอกรู้ถึงแผนการของพวกมันอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้มันกลับยอมให้คนนอกมีชีวิตอยู่ นี่ย่อมเป็นเรื่องที่ผิดปกติอย่างยิ่ง นอกจากนี้การอยู่รอดของเจ้าก็พิสูจน์สิ่งหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย ตัวตนของเจ้าอาจไม่ได้เป็นเพียงหนึ่งในห้าวายร้ายตัวฉกาจของเมืองอีกาคลั่ง และเจ้าอาจเป็นมือสังหารของตำหนักตะวันดำที่แฝงตัวอยู่ในเมืองอีกาคลั่ง ข้าพูดถูกต้องใช่หรือไม่?” เฉินซีถามอย่างเฉยเมย
มือของเขาจับคอของฉีอิ๋นแน่น แต่ดวงตาของเขาก็กวาดไปรอบ ๆ สายตาของเขาไม่ได้หยุดอยู่ที่กลุ่มคนที่ยังคงต่อสู้กับนกนางแอ่นกระสวยฟ้า แต่มองไปที่ข้างในป่า และดูเหมือนว่าเขาจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง
ความตื่นตระหนกปรากฏขึ้นในดวงตาของฉีอิ๋นชั่วขณะ ก่อนที่มันจะสงบลง และเขาก็กล่าวอย่างเฉยเมยว่า “เจ้ากล่าวได้ถูกต้องแล้ว แต่ตอนนี้เจ้าได้ตกอยู่ในวงล้อมที่แน่นหนา และแม้ว่าเจ้าจะฆ่าข้าตอนนี้ เจ้าก็จะต้องตายอย่างแน่นอน”
มุมปากของเฉินซีปรากฏความเย้ยหยันจาง ๆ “ข้าจะรู้ทีหลังถ้าข้ารอดไปได้ แต่เจ้าจะเชื่อหรือไม่ หากข้าบอกว่าตอนนี้เจ้าต้องตายแน่”
ฉีอิ๋นนิ่งเงียบและเผยให้เห็นถึงการยอมจำนนต่อชะตากรรมของเขา
“ก่อนที่เจ้าจะตาย ช่วยบอกอะไรข้าสักอย่างได้ไหม?” เฉินซีถามราวกับตนไม่ได้กระตือรือร้นที่จะฆ่าฉีอิ๋น และเหมือนว่าเขากำลังรออะไรบางอย่างอยู่
“ว่ามา”
“ตำหนักตะวันดำมีรางวัลให้แก่มือสังหารหรือไม่?”
“ไม่มี”
“ชีวิตของเจ้าในฐานะมือสังหารแห่งตำหนักตะวันดำนั้นช่างไร้ค่าจริง ๆ แต่ธนูนี้ก็นับว่าไม่เลว นี่ควรเป็นสมบัติจ้าววิญญาณที่อยู่เคียงข้างเจ้ามาหลายปีใช่หรือไม่?” เฉินซียกมือขึ้นเพื่อคว้าคันธนูยาวสีดำสนิทมาไว้ข้างตัว เมื่อจับมัน เขาก็สัมผัสได้ถึงความหนาวเย็นและความหนักผิดปกติ ซึ่งคาดว่ามันอาจมีน้ำหนักถึงสองพันห้าร้อยจิน ยิ่งไปกว่านั้น ร่องรอยของปราณจ้าววิญญาณที่เก่าแก่และรกร้างค่อย ๆ ขดตัวอยู่โดยรอบมัน ทำให้มันดูทรงพลังและลึกลึบ
สมบัติจ้าววิญญาณเป็นอาวุธที่ผู้บ่มเพาะกายาใช้ ซึ่งไม่เหมือนกับสมบัติวิเศษที่ผู้บ่มเพาะลมปราณใช้ การขัดเกลาสมบัติจ้าววิญญาณนั้นเป็นสิ่งที่ยากมากและมันสามารถขัดเกลาได้โดยผู้บ่มเพาะกายาเท่านั้น
เนื่องจากมีวัสดุในการขัดเกลาสมบัติจ้าววิญญาณเพียงชนิดเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ ซากศพของเทพอสูรโบราณ ไม่ว่าจะเป็นกระดูก ฟัน เส้นลมปราณ เล็บ แม้แต่เส้นผมและดวงตาของเทพอสูรโบราณก็สามารถขัดเกลาเป็นสมบัติจ้าววิญญาณได้ นอกจากนี้ยังมีเพียงศพและกระดูกของเทพอสูรโบราณเท่านั้นที่สามารถหลอมรวมกับปราณจ้าววิญญาณ เพื่อให้สามารถสำแดงพลังได้เหมือนกับสมบัติวิเศษ
ยิ่งไปกว่านั้น สมบัติจ้าววิญญาณทุกชิ้นจะต้องได้รับการเลี้ยงดูและหล่อเลี้ยงด้วยแก่นโลหิตของผู้บ่มเพาะกายาเอง และต้องได้รับการขัดเกลาด้วยปราณจ้าววิญญาณอย่างต่อเนื่อง เพื่อขจัดสิ่งสกปรกที่อยู่ภายใน ด้วยวิธีนี้ สมบัติจ้าววิญญาณจึงเป็นของที่ผู้บ่มเพาะกายาใช้เพียงหนึ่งเดียวและสามารถรับคำสั่งได้ตามใจปรารถนา
แต่ในทั่วแผ่นดินซ่งนั้น ซากศพของเทพอสูรโบราณถือว่าหาได้ยากมากและมันก็อยู่ในระดับที่หายากยิ่งกว่าสมบัติเซียนเสียด้วยซ้ำ และด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้ผู้บ่มเพาะกายาในโลกนี้ไม่มีสมบัติจ้าววิญญาณให้ใช้ และสิ่งนี้เองที่เป็นการบ่งบอกว่าสมบัติจ้าววิญญาณมีค่ามากเพียงใด
แน่นอน แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีสมบัติจ้าววิญญาณก็ตาม แต่ผู้บ่มเพาะกายาก็ยังสามารถบดขยี้ผู้บ่มเพาะลมปราณในขอบเขตเดียวกันได้อย่างสมบูรณ์ โดยอาศัยร่างกายที่เปรียบได้กับสมบัติวิเศษของพวกเขา
ในที่สุดสีหน้าของฉีอิ๋นก็กลายเป็นน่ากลัว เขาไม่ได้เศร้าเกี่ยวกับสมบัติจ้าววิญญาณของเขา แต่เป็นคำกล่าวของเฉินซีที่ทำลายความหวังสุดท้ายในใจของเขา
เขามักจะใช้ธนูยาวกับปราณแท้ก่อนหน้านี้เสมอ ดังนั้นพลังที่เปิดเผยออกมาจึงน้อยกว่าเศษเสี้ยวของพลังที่แท้จริงของมัน และที่เขาทำเช่นนี้ก็เพื่อปกปิดตัวตนของเขาในฐานะผู้บ่มเพาะกายา ดังนั้นหลังจากที่เขาถูกเฉินซีคว้าตัวไป เขาก็ไม่ได้รู้สึกวิตกกังวลแต่อย่างใด เนื่องจากผู้บ่มเพาะกายาสามารถงอกแขนขาขึ้นใหม่ได้ ตราบใดที่ศีรษะและหัวใจของเขาไม่ได้รับบาดเจ็บ เขาก็จะสามารถฟื้นคืนสู่สภาพเดิมได้ในชั่วพริบตา
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขาตระหนักได้แล้วว่าเขาคิดผิด เฉินซีสามารถจดจำสมบัติจ้าววิญญาณได้ ดังนั้นเฉินซีจึงรับรู้ได้ว่าเขาเป็นผู้บ่มเพาะกายา ด้วยเหตุนี้ เฉินซีจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าจุดอ่อนของเขาอยู่ที่ไหนเมื่อจะฆ่าเขา?
“ไว้ชีวิตข้าได้หรือไม่? ข้าจะแลกชีวิตของข้าด้วยพลังอิทธิฤทธิ์ประเภทยิงธนูและธนูทลายดารานี้ก็จะเป็นของเจ้าเช่นกัน” ฉีอิ๋นกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“มือสังหารทุกคนของตำหนักตะวันดำไม่ได้ปลิดชีวิตตัวเองหลังจากทำภารกิจล้มเหลวหรือ เหตุใดเจ้าถึงกลัวความตายนัก?” เฉินซีถามกลับ
“ทุกคนล้วนกลัวความตาย และเป็นเพราะเรากลัวความตายจริง ๆ เราจึงทำงานหนักเพื่อให้มีชีวิตอยู่ใช่หรือไม่?” ฉีอิ๋นจ้องมองที่เฉินซีอย่างตรงไปตรงมา และเขาไม่รู้สึกเลยว่าการกลัวความตายเป็นเรื่องน่าอาย
เฉินซีไม่ได้พูดอะไรอีก แต่ดูเหมือนว่าเขาค้นพบบางสิ่งอย่างกะทันหัน ทำให้ประกายแสงเย็นยะเยือกวาบขึ้นมาจากดวงตาของเขา จากนั้นเขาก็ทำลายหัวใจของฉีอิ๋นด้วยฝ่ามือของเขาภายใต้การจ้องมองที่ตกตะลึงและหวาดกลัวของฉีอิ๋น
“เจ้า…ช่างไร้ความปรานี!” เลือดทะลักออกมาจากมุมปากของฉีอิ๋น ขณะที่เขาแสดงแววตาเกลียดชังอย่างสุดซึ้ง จากนั้นเปลือกตาของเขาก็ค่อย ๆ ปิดลงและร่างของเขาก็ล้มลงไปกับพื้น
“ข้าก็อยากมีชีวิตอยู่เช่นกัน ดังนั้นเจ้าจึงต้องตาย” เฉินซีส่ายศีรษะและหยิบสมบัติวิเศษที่ฉีอิ๋นครอบครองไว้อย่างลวก ๆ แต่เขาแทบไม่ได้เหลือบมองมัน ก่อนที่จะเขย่งปลายเท้าลงที่พื้น และพุ่งหายตัวไปในป่าอย่างรวดเร็วราวกับผีสาง
ในขณะเดียวกัน คนร้ายคนอื่น ๆ ได้กำจัดนกนางแอ่นกระสวยฟ้าจนหมดสิ้น และก่อนที่พวกเขาจะมีเวลาถอนหายใจด้วยความโล่งอก พวกเขาก็ต้องตกใจเมื่อสังเกตเห็นว่า ฉีอิ๋นได้นอนตายอยู่บนพื้นแล้ว!
ทว่าสิ่งนี้ไม่อาจตำหนิพวกเขาได้ เพราะการโจมตีของนกนางแอ่นกระสวยฟ้ารุนแรงเกินไป และด้วยความแข็งแกร่งของพวกมัน พวกเขาจึงไม่กล้าเบนความสนใจไปยังที่อื่นเลยแม้แต่น้อย นอกจากนี้เฉินซีและฉีอิ๋นก็ยืนอยู่ที่ด้านหลังของกลุ่ม ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะสังเกตเห็นแม้ว่าพวกเขาจะต้องการก็ตาม
“บัดซบ! เจ้าปีศาจนั่นหายไปแล้ว หรือว่าเขาจะฆ่าฉีอิ๋น?” มีคนพบว่าเฉินซีได้หายตัวไปและตะโกนออกมาด้วยความตื่นตระหนก ทำให้คนอื่น ๆ ตอบสนองต่อสิ่งนี้ทันที และสีหน้าของพวกเขาก็กลายเป็นไม่น่าดูอย่างยิ่ง
หากไม่มีฉีอิ๋นเป็นผู้นำทาง พวกเขาจะเดินทางในป่าอันตรายที่เหมือนเขาวงกตนี้ได้อย่างไร?
ฟิ้ว~ ฟิ้ว~
เสียงลมแผ่วเบาดังก้องเมื่อสายลมพัดผ่าน ทำให้ใบไม้เน่าที่อยู่บนพื้นขยับ
หลังจากนั้น ร่างกว่าสิบร่างที่ปิดหน้าด้วยผ้าสีดำก็ปรากฏตัวขึ้นในสายตาของวายร้ายทั้งหลายราวกับวิญญาณอย่างไร้สุ้มเสียง!