บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 344 นองเลือด
บทที่ 344 นองเลือด
ทันทีที่ยันต์ศัสตราสีดำสนิทและไร้ความแวววาวมาอยู่ในมือของเขา อารมณ์ของเฉินซีก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน จิตสังหารที่รุนแรงถูกกวาดออกไปอย่างรวดเร็ว มันสั่นสะเทือนทุกสิ่งรอบ ๆ ในขณะที่เข้าปกคลุมพื้นที่ทุกตารางนิ้ว
เฉินซีที่ยืนอยู่อย่างสบาย ๆ ในชุดขาดรุ่งริ่งที่ดูราวกับขอทาน เหมือนได้กลายเป็นอีกคนที่มีท่าทางน่ากลัว ขณะที่เขายืนตัวตรงดุจหอก ยามนี้จิตสังหารอันน่าสะพรึงที่ชายหนุ่มได้สั่งสมมาจากการต่อสู้ที่ยากลำบากนับไม่ถ้วนในช่วงสามเดือนที่ผ่านมาได้ถูกปลดปล่อยออกมาอย่างไม่ปิดบัง!
ประหนึ่งทั้งห้องโถงตกอยู่ในฤดูหนาวที่รุนแรงไปในพริบตา ร่างกายของทุกคนแข็งทื่อราวกับมีกระบี่จ่อแทงอยู่ที่ด้านหลังของพวกเขาจนแม้แต่จะหายใจยังลำบาก ขณะที่พวกเขามองไปที่เฉินซีด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความตกใจ
ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนเลยว่า จิตสังหารที่ชายมอมแมมและโชกไปด้วยเลือดคนนี้ปลดปล่อยออกมา มันจะรุนแรง น่าสยดสยองและดุร้ายมากถึงเพียงนี้
เขาไม่พูดพร่ำไร้สาระแต่อย่างใด เฉินซีมุ่งตรงมาที่นี่หลังจากสร้างเส้นทางที่ย้อมไปด้วยเลือดในป่าทมิฬ มันเป็นเส้นทางที่คู่ควรแก่การถูกเรียกว่าถนนเปื้อนเลือดอย่างแท้จริง นอกจากเลือดของสัตว์อสูรนับไม่ถ้วนแล้ว เฉินซีเองก็ลืมไปแล้วว่าเขาได้รับบาดเจ็บมากี่ครั้งหรือได้เสียเลือดไปมากเท่าไร
ท่ามกลางการต่อสู้และการเข่นฆ่าที่ไม่หยุดหย่อนนี้ เฉินซีจึงได้เชี่ยวชาญ ‘มหาเต๋าแห่งการสังหาร!’ ซึ่งเป็นเต๋ารู้แจ้งใหม่อย่างสมบูรณ์ ทันทีที่เขาตัดสินใจเข้าสู่การต่อสู้ เขาจึงได้เข้าสู่สถานะต่อสู้ไปโดยปริยาย
อารมณ์มั่นคง นิ่งสงบไม่สั่นไหว ดุจบ่อน้ำที่ไร้ระลอกคลื่น
จิตวิญญาณการต่อสู้ของเขาเข้มข้นยิ่ง
การแสดงออกของชายหนุ่มดูเย็นชาและไม่แยแสต่อสิ่งใด
การฆ่าศัตรูอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้กลายเป็นเป้าหมายเดียวในใจของเฉินซี มันเป็นเป้าหมายที่มั่นคงและบริสุทธิ์มาก
ฮึ่ม!
ยันต์ศัสตราที่หล่อหลอมขึ้นด้วยคมเขี้ยวสังหารเป็นแกนหลัก ราวกับรับรู้ได้ถึงจิตสังหารในใจของเขา มันส่งเสียงร้องอย่างสนุกสนานราวกระหายที่จะดื่มเลือดสด ๆ
พริบตาต่อมา ร่างของเฉินซีได้หายวับไปจากขอบเขตการมองเห็นของพวกเขาอย่างกะทันหัน กลุ่มโจรแร้งพเนจรก็ได้พบกับความสยดสยองและไม่อาจหยุดยั้งอีกฝ่ายได้เลย!
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
เสียงประหลาดที่ดังขึ้นฟังดูเหมือนกับเสียงประทัดที่ระเบิดอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับน้ำพุเลือดที่พุ่งขึ้นไปในอากาศ เสาเลือดที่สมบูรณ์แบบปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า มันช่างงดงามอย่างน่าเศร้า
ทันใดนั้นผู้เฝ้ามองโดยรอบก็ค้นพบด้วยความสยดสยองว่า คอของโจรทั้งเจ็ดคนที่อยู่ใกล้เฉินซีที่สุดล้วนมีรูเลือดที่มีขนาดเท่ากัน ทะลุผ่านลำคอของพวกเขาไป สีหน้าตกใจของพวกเขาแข็งทื่อราวกับไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นจนกระทั่งพวกเขาตาย
สิ่งที่ทำให้คนอื่นรู้สึกสยดสยองจนหนังศีรษะของพวกเขาด้านชาคือ ความเร็วที่เร็วเกินไปจนพวกเขาไม่สามารถเห็นร่างอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจนเลยตั้งแต่ต้นจบจบ แล้วนับประสาอะไรกับการโจมตีของเขา
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
เสียงที่น่าสะพรึงกลัวดังขึ้นอีกครั้ง ประหนึ่งเสียงฝีเท้าของยมทูตเหยียบย่ำหัวใจของทุกคน ทำให้ร่างกายของพวกเขาเย็นเฉียบราวกับว่าพวกเขาตกลงไปในบ่อน้ำแข็ง
ในเวลาไม่ถึงอึดใจ กลุ่มโจรอีกห้าคนก็เสียชีวิตลงอย่างน่าอนาถใจ และสภาพการตายของพวกเขายังเหมือนกันทุกประการ คนทั้งหมดถูกแทงเข้าที่ลำคอด้วยกระบี่เดียว!
จากนั้นพวกโจรคนอื่น ๆ ก็ฟื้นจากอาการตกตะลึง พวกเขาทั้งหมดต่างกลัวจนวิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่าง และเริ่มวิ่งหนีกระจายกันไปทุกทิศทุกทาง ตอนนี้พวกมันยังดูเหมือนเป็นสมาชิกกลุ่มโจรแร้งพเนจรที่ฉาวโฉ่อยู่หรือไม่? พวกเขายังดูเหมือนฆาตกรผู้โหดเหี้ยมที่มือเปื้อนไปด้วยเลือดอีกหรือไม่?
ในสายตาของอวิ๋นน่า เหล่าโจรที่ทำให้นางต้องฝันร้ายนับครั้งไม่ถ้วนตอนนี้กลับกลายเป็นเหมือนฝูงแกะที่ถูกเสือดุร้ายเข้ารุกราน ทำอะไรไม่ถูกและสิ้นหวัง
ไม่มีความเห็นอกเห็นใจหรือสงสารอยู่ในหัวใจของนางเลยแม้แต่น้อย กลุ่มโจรฉาวโฉ่เหล่านี้สร้างความเกลียดชังไว้มากเกินไป พวกเขาเชี่ยวชาญในการปล้นและฆ่าผู้บ่มเพาะอิสระที่ไม่มีภูมิหลัง รังแกผู้อ่อนแอในขณะที่หลบหลีกผู้แข็งแกร่ง ดังนั้นพวกเขาจึงสมควรตายแล้ว
เมื่อเห็นพวกเขาหนีหัวซุกหัวซุนอย่างสิ้นหวัง ในใจของนางมีเพียงความสุขและความตื่นเต้นเท่านั้น หากไม่ใช่เพราะนางไม่แข็งแกร่งพอ นางก็ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าพุ่งเข้าใส่และสังหารพวกมันอย่างไร้ความปรานี
คงจะสะใจไม่น้อย!
เมื่อนึกถึงความหวาดกลัวจนทำอะไรไม่ถูกของตนก่อนหน้านี้ อวิ๋นน่าก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจอยู่พักหนึ่ง แต่นางก็ไม่ได้รู้สึกอายมากนัก นางเข้าใจว่าถ้าไม่ใช่เพราะเฉินซี สหายผู้ดุร้ายที่อยู่ข้างนางคนนี้ ทุกอย่างจะกลับไปเป็นเหมือนในอดีต ถึงตอนนั้นนางคงหนีไม่พ้นกรงเล็บอันดุร้ายของโจรเหล่านี้
จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของกลุ่มโจรที่เหลือพังทลายลง และพวกเขาก็วิ่งหนีไป แต่สิ่งนี้ก็ไม่ได้ทำให้เฉินซีหยุดเพียงแค่นั้น การต่อสู้หลายปีนี้ทำให้เขาเข้าใจถึงความจริงข้อหนึ่งอย่างลึกซึ้งนั่นคือ อย่าได้ลังเลที่จะจัดการกับศัตรู เขาต้องขุดรากถอนโคนอีกฝ่ายให้หมด เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเผชิญปัญหาที่จะตามมาในภายหลังอีกตลอดไป
อันที่จริง เฉินซีไม่ได้ลังเลเลยแม้แต่น้อย ในสายตาของเขา พวกมันก็ไม่ต่างอะไรกับสัตว์อสูรที่เขาพบมาก่อนหน้านี้ และความตายของพวกมันก็ไม่สมควรได้รับความสงสาร
หลังจากสามเดือนแห่งการบ่มเพาะและการต่อสู้ที่ยากลำบากนั้น การบ่มเพาะของเฉินซีก็ได้ยกระดับอีกครั้ง ทั้งระดับการขัดเกลาร่างกายและการบ่มเพาะปราณล้วนบรรลุถึงขั้นสูงของขอบเขตแกนทองคำหยินหยางเป็นที่เรียบร้อย ทำให้ความแข็งแกร่งของเขามากกว่าตอนที่อยู่ในป่าทมิฬเป็นเท่าตัว
เมื่อรวมกับทักษะการต่อสู้และประสบการณ์ที่ได้รับการฝึกฝนจากการต่อสู้กับสัตว์อสูรที่น่ากลัวเหล่านั้น มันทำให้เขาสามารถควบคุมสถานการณ์การต่อสู้ทั้งหมดได้อย่างแม่นยำ และสามารถจัดการศัตรูของเขาด้วยความเร็วที่รวดเร็วที่สุดได้ ในขณะที่ยังคงประหยัดพลังงานและพลังกายไว้ได้มากที่สุด
ถึงขนาดที่เขาไม่เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นอีกต่อไป เพราะไม่มีสิ่งใดจะให้นำไปเทียบได้ คนอย่างชิงซิ่วอี้หรือจ้าวชิงเหอนั้นสามารถเรียกได้ว่าเป็นยอดฝีมือรุ่นเยาว์ของราชวงศ์ซ่ง พวกเขาทั้งหมดแข็งแกร่งอย่างมาก และได้บรรลุถึงขีดจำกัดของสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้แล้ว
แต่จนถึงตอนนี้ แม้ว่าเฉินซีจะมีประสบการณ์การต่อสู้จริงเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ เขาก็ยังไม่ถึงขีดจำกัดของตัวเอง ชายหนุ่มยังมีพื้นที่ให้ศักยภาพได้พัฒนาอีกมาก หากมีเวลามากพอ เฉินซีก็มั่นใจอย่างยิ่งว่าตนสามารถแซงหน้าไปอยู่เหนือกว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางของราชวงศ์ซ่งรุ่นเยาว์ทุกคนได้!
แม้กระทั่งตอนนี้ ความแข็งแกร่งของเขาก็เพียงพอแล้วที่จะดูถูกผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางรุ่นเยาว์ส่วนใหญ่ หากเป็นเพียงการเปรียบเทียบด้วยประสบการณ์การต่อสู้ เช่นนั้นก็คงไม่มีใครสามารถเทียบกับเฉินซีที่เผชิญกับการต่อสู้แลกชีวิตมาตลอดจนถึงตอนนี้
นี่ถือเป็นประสบการณ์ที่มีค่าอย่างยิ่ง เพราะมีเพียงหลังจากได้ก้าวข้ามการต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมานับไม่ถ้วนเท่านั้น ที่จะสามารถเข้าใจถึงความหมายของการต่อสู้และแสดงวิธีการต่อสู้เหนือมนุษย์ได้อย่างแท้จริง นี่เป็นสิ่งที่ไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสหรือนิกายใดก็ไม่อาจส่งต่อให้ได้ พวกเขาจะต้องเก็บประสบการณ์และสั่งสมมันไปด้วยตัวเอง
ดังคำกล่าวที่ว่า อาจารย์เป็นเพียงผู้เบิกทางผ่าน ส่วนจะเลือกเดินต่อไปทางใดนั้นล้วนขึ้นอยู่กับตัวผู้บ่มเพาะเอง การฝึกฝนเป็นเช่นนี้ การต่อสู้ก็เช่นกัน
การสังหารยังคงดำเนินต่อไป
เสียงกรีดร้องดังขึ้นอย่างต่อเนื่องไปทั่วห้องโถง เสียงโหยหวนที่เปล่งออกมาก่อนสิ้นใจทำให้ทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนี้รู้สึกราวกับพวกเขาถูกแช่อยู่ในน้ำที่เย็นจัด เย็นจนทะลุกระดูก และอดไม่ได้ที่จะเริ่มตัวสั่น
นี่เป็นการสังหารหมู่อย่างไม่ต้องสงสัย!
เมื่อต้องเผชิญกับการสังหารหมู่ครั้งนี้ ไม่ว่าจิตใจของพวกเขาจะแน่วแน่เพียงใด พวกเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเกรงขามและหวาดกลัวอยู่ดี
แม้แต่คนที่ยืนดูอยู่ก็ยังหวาดผวา นับประสาอะไรกับกลุ่มโจรแร้งพเนจร การต่อสู้นี้ทำให้พวกเขาตกอยู่ในสภาพยุ่งเหยิงและเกือบจะพ่ายแพ้แล้ว
ด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียวของอีกฝ่ายกลับทำให้สหายของพวกเขาล้มลงไปเกือบยี่สิบคน แล้วพวกเขาจะต่อสู้กับคู่ต่อสู้ที่บดขยี้ทุกอย่างที่ขวางหน้าอย่างง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไร? พวกเขาจะต่อต้านได้อย่างไรกัน?
ที่ด้านหลังของฝูงชน ผู้นำของกลุ่มโจรแร้งพเนจร อีแร้งเมิ่งมีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากและเริ่มรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง เขาเพียงแค่อยากเชยชมหญิงงามเท่านั้น แต่มันกลับกลายเป็นว่าเขาไปยั่วโทสะเทพเจ้าแห่งภัยพิบัติได้อย่างไร? ทว่าภายใต้สถานการณ์ที่คับขันนี้ ทำให้เขารู้ว่ามันสายเกินไปแล้วที่จะยอมแพ้เอาตอนนี้ ดังนั้นมันจึงเหลือเพียงทางเดียว…
ความมุ่งมั่นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของอีแร้งเมิ่งทันที เขากัดฟันอย่างโหดเหี้ยมในขณะที่ตะโกนสุดเสียง “ล่าถอย! ทิ้งปราการเดียวดายไปซะ! ตราบใดที่เรายังรอดเราก็ยังมีหวัง!”
เสียงของเขาดังมากจนดูเหมือนเสียงฟ้าร้องที่ดังก้องไปทั่วทั้งห้องโถง
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่อีแร้งเมิ่งคาดไม่ถึงคือเสียงของเขาไม่ได้รับการตอบกลับแต่อย่างใด หลังจากได้ยินเสียงนี้ แม้แต่ทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนั้นก็มองเขาด้วยท่าทางแปลก ๆ
หืม? เกิดอะไรขึ้น?
หัวใจของอีแร้งเมิ่งกระตุกวูบเมื่อรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ สายตาของเขากวาดมองไปรอบ ๆ อีกครั้ง ก่อนที่ใบหน้าซึ่งเต็มไปด้วยรอยแผลจะแข็งค้างไปในทันที
พวกเขาตายหมดแล้ว!
ตอนนี้ผู้ใต้บังคับบัญชายี่สิบเก้าคนที่เขาพามาด้วยครั้งนี้ล้วนนอนจมกองเลือดกันหมดแล้ว ลำคอของพวกเขาทุกคนมีรูเลือดที่ถูกเจาะทะลุอยู่ เลือดสีแดงเข้มยังคงไหลออกมาจากศพ ทำให้อากาศทั่วบริเวณเต็มไปด้วยกลิ่นเลือดที่หนาแน่นจนน่าสะอิดสะเอียน
อีแร้งเมิ่งราวกับถูกฟ้าผ่า ลูกน้องเหล่านี้ต่างก็ติดตามเขามานานหลายปี แต่ตอนนี้พวกเขากลับกลายเป็นศพเย็นชืดไปหมดแล้ว เขาจะยอมรับสิ่งนี้ได้อย่างไร?
แต่เมื่อเทียบกับความเศร้าโศกในใจ อีแร้งเมิ่งยังคงหวงแหนชีวิตของตนเองมากกว่า ชีวิตที่นองเลือดมาหลายปีทำให้เขาสร่างเมาจากความรู้สึกสูญเสียพี่น้องไปในทันที ในเวลาเดียวกันนั้นเขาก็เตรียมที่จะหนีแล้ว
เขาวางแผนกระทั่งว่าเมื่อรอดพ้นจากหายนะนี้แล้ว หลังจากนี้เขาจะพาพี่น้องจำนวนมากกลับมาที่นี่อีกครั้ง และสับเทพเจ้าแห่งหายนะผู้นี้ให้เป็นชิ้น ๆ!
ทว่าเมื่อกำลังจะเคลื่อนไหว จู่ ๆ เขาก็พบว่าบรรยากาศรอบ ๆ นั้นแปลกเกินไป และดูเหมือนว่าสายตาที่ผู้คนจ้องมองมายังตัวเขาจากราวกับว่าเต็มไปด้วยความสมเพชและสงสาร…
คนเหล่านี้บ้าไปแล้วหรือ?
อีแร้งเมิ่งรู้สึกอธิบายไม่ถูก ก่อนจะตระหนักได้ถึงอะไรบ้างอย่าง ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นและรีบกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก่อนที่สีหน้าของเขาจะเปลี่ยนเป็นหวาดกลัวจนสุดขีด
เขากลืนน้ำลายลงคอ กระนั้นเจ้าตัวก็ยังคงไม่ยอมทิ้งความหวัง ขณะที่หันศีรษะไปรอบ ๆ ด้วยความยากลำบากอย่างยิ่ง เขาก็ได้เห็นว่าเทพแห่งภัยพิบัติได้มาถึงข้างหลังตนแล้ว โดยที่ไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย!
กระบี่สีดำสนิทที่ฆ่าพี่น้องของเขาทั้งยี่สิบเก้าคนอยู่ห่างจากคอเขาเพียงนิ้วเดียวเท่านั้น ร่องรอยของเลือดอุ่น ๆ ที่ยังคงหลงเหลืออยู่บนกระบี่สังเกตเห็นได้อย่างไม่ยากเลย!
จบสิ้นแล้ว คราวนี้ข้าคงจะไม่รอดจากหายนะนี้แล้ว…
ทันทีที่ความคิดนี้แล่นเข้ามาในหัวของอีแร้งเมิ่ง จู่ ๆ เขาก็รู้สึกเจ็บที่คอ จากนั้นเสียง ‘ฟุ่บ’ ก็ดังขึ้นในหู เป็นเสียงแบบเดียวกันกับตอนที่พี่น้องของเขาถูกเจาะคอจนทะลุ
อย่างไรก็ตาม อีแร้งเมิ่งผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มโจรแร้งพเนจรชื่อกระฉ่อนที่กบดานอยู่ในปราการเดียวดายมาเป็นเวลาหลายปี ก็ได้สูญเสียการมองเห็นและเสียชีวิต ณ ที่แห่งนี้แล้ว ในช่วงเวลานั้นเขาได้เห็นเพียงหยดเลือดที่กระเซ็นไปกลางอากาศกับดวงตาเย็นเยียบและสงบนิ่งคู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะสิ้นใจไปในที่สุด
หลังจากที่ฆ่าอีแร้งเมิ่งแล้ว เฉินซีก็เก็บยันต์ศัสตรากลับไป เขาไม่แม้แต่จะเหลือบมองซากศพบนพื้น และก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับสายตาที่ตกใจจนพูดไม่ออกของทุกคนที่อยู่ที่นั่นแม้แต่น้อย จากนั้นเขาก็ตรงไปหาอวิ๋นน่าและถามว่า “ที่นี่มีห้องว่างหรือไม่? ข้าอยากจะพักผ่อนเสียหน่อย”
“อา!” อวิ๋นน่าร้องออกมา ขณะที่นางได้สติจากเหตุการณ์นองเลือดที่น่าตกใจก่อนหน้า นางพยักหน้าและตอบกลับอย่างรีบร้อน “มี มี ตราบใดที่เป็นห้องว่างที่อยู่ชั้นบน ท่านจะใช้ห้องใดก็ได้”
เฉินซีพยักหน้าก่อนจะหันหลังเดินไปทางบันได และพูดขึ้นในขณะที่กำลังเดินว่า “สมบัติของพวกโจรนั้นถือเป็นค่าตอบแทนที่ช่วยนำทางให้ข้า”
อวิ๋นน่าตะลึงไปชั่วครู่ ก่อนที่นางจะมีสีหน้าราวกับเพิ่งนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ ก่อนจะร้องตะโกนออกมาในทันใด “ผู้อาวุโส ข้าลืมบอกท่านว่าห้องชั้นบนไม่ใช่ห้องที่ใคร ๆ ก็สามารถครอบครองได้ หากท่านมีความแข็งแกร่งไม่มากพอ อย่างน้อยก็อาจจะถูกไล่ออกมา แต่อย่างมากท่านอาจถูกฆ่าตายได้นะ!”