บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 346 ตบหน้าหัน
บทที่ 346 ตบหน้าหัน
เฮือก!
ทุกคนอ้าปากค้าง เกือบไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง คนผู้นั้นขอให้ยอดฝีมือขอบเขตจุติตบตัวเองจริงหรือ? แล้วก็ให้ขอโทษเขาด้วย? หรือเขาเป็นบ้าไปแล้วจริง ๆ!?
“ไอ้หนู เจ้ากำลังรนหาที่ตาย!” ชายชราร่างผอมโกรธเกรี้ยวขึ้นมาแล้ว เขาเป็นผู้ที่จัดว่าอยู่ขั้นสูงในหมู่ผู้บ่มเพาะอิสระ และเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตจุติที่มีชื่อเสียงอย่างมากในหมู่ผู้บ่มเพาะอิสระทั้งหลาย ส่งผลให้ศิษย์จากสำนักธรรมดาทั่วไปไม่กล้าทำให้เขาขุ่นเคือง เป็นตัวตนที่ผู้คนนับถือไม่ว่ายามไปที่ใด แล้วเขาจะทนถูกคนหนุ่มรุ่นเยาว์ดูถูกได้อย่างไร?
กลิ่นอายของเฉินซียังไม่ถึงขอบเขตจุติ ผู้คนส่วนใหญ่เองก็สังเกตเห็นจุดนี้ได้
ร่างกายของผู้บ่มเพาะทั้งหลายที่บรรลุถึงขอบเขตจุติจะปลดปล่อยปราณรุนแรง ซึ่งสามารถมองเห็นและแทบสัมผัสได้ออกมา มันจะให้ความรู้สึกราวกับมีกระบี่คมหมุนวนอยู่รอบกาย
ในสายตาทุกคน อย่างมากเฉินซีก็เป็นยอดฝีมือขอบเขตแกนทองคำหยินหยางเท่านั้น ด้วยเหตุนี้หลังจากได้ยินเฉินซีกล่าวเช่นนั้น พวกเขาจึงรู้สึกว่าชายหนุ่มผู้นี้บ้าไปแล้ว!
ว่าแล้ว ชายชราร่างผอมก็คว้าบางสิ่งออกมา และคมประกายสีฟ้าก็ลอยออกมาอย่างรวดเร็วดั่งสายฟ้าฟาดไปทางศีรษะเฉินซี
กรงเล็บแหลมคมฉีกผ่านฟ้า ในขณะที่แสงสีฟ้าไหลบ่าอยู่ภายใน มันคละเคล้าไปด้วยพลังดาราจักรและเต๋ารู้แจ้งแห่งพฤกษาอันบริสุทธิ์อยู่ภายใน นี่เป็นกระบวนยุทธ์ระดับเต๋าที่เขาบ่มเพาะมาเป็นเวลาหลายปี กรงเล็บวิญญาณครามได้ขัดเกลาพลังในร่างให้กลายเป็นกรงเล็บคมกริบดุดันว่องไว แม้แต่สมบัติวิเศษระดับปฐพีก็ไม่สามารถป้องกันได้ เมื่อถูกร่างของใครก็จะแยกร่างนั้นออกจากกันทันที
ทว่าโดยไม่มีใครคาดคิดถึง เฉินซีได้แกว่งยันต์ศัสตราทีหนึ่ง กระบี่ตุ้ยแห่งหนองบึงก็หมุนเหมือนกระแสน้ำวน ทำให้รอยกรงเล็บทั้งห้าบนฟากฟ้าสลายไปทันทีดั่งโคลนร่วงลงมหาสมุทร ก่อนที่มันจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เพียะ!
หลังจากนั้นร่างของเฉินซีก็หายไปอย่างรวดเร็ว ชั่วอึดใจเดียวเขาก็ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านข้างของชายชราร่างผอมอย่างเงียบเชียบ จากนั้นเหวี่ยงฝ่ามือตบ
ชายชราร่างผอมถูกจับตัวได้และถูกตบทันที เขาไม่มีจังหวะให้ใช้สมบัติวิเศษป้องกันที่มีในครอบครองด้วยซ้ำ
พรวด!
เลือดคำหนึ่งผสมฟันหลายซี่ถูกพ่นออกมาจากปากของชายชรา เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะได้รับความอัปยศอดสูเช่นนี้ในพริบตาเดียว!
ตอนนี้ชายชราร่างผอมแห้งโกรธจัดนัก “ไอ้หนู! แกมันรนหาที่ตายนัก!”
เพียะ!
เฉินซีไม่ได้ให้ความสนใจกับเสียงที่ดูโอหังของอีกฝ่าย อึดใจต่อมา มือข้างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่อีกด้านของใบหน้าชายชรา ก่อนที่จะตบลงไปอย่างรุนแรง ฝ่ายหลังต้องการหลบ แต่เนื่องจากเฉินซีเร็วเกินไปจึงไม่มีเวลาคิดและตอบโต้ได้เต็มที่
แรงตบกระทบกับใบหน้าเขาอย่างหนักหน่วงจนชายชราร่างผอมถึงกับหลั่งเลือดออกมาทางจมูก สองตาเห็นดาวเต้นระบำตรงหน้า ในหัวส่งเสียงอื้ออึง ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตจุติกลับถูกตบจนหน้าหันเช่นนั้น อาจกล่าวได้ว่าไม่น่าเชื่อเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อทุกคนในปราการเดียวดายเห็นภาพนี้ พวกเขาก็อ้าปากคางแทบตกถึงพื้น ดวงตาเบิกกว้างเต็มที่ สีหน้าของแต่ละคนดูแปลกประหลาดยิ่ง
การถูกตบหนึ่งครั้งอาจกล่าวได้ว่าเป็นเพราะไม่ทันระวังตัว เพราะสุดท้ายแม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์เองก็มีจังหวะที่ประมาทได้ จึงไม่แปลกที่จะเสียหลักได้ง่ายดายเช่นนั้น แต่การถูกตบสองครั้งติดต่อกันไม่อาจใช้คำว่าไม่ทันระวังได้
เพราะเหตุการณ์นี้เองจึงทำให้ทุกคนรู้สึกมึนงง ราวกับว่าร่วงลงจากฟ้าอย่างไรอย่างนั้น ผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางตบหน้าผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตจุติติดต่อกันถึงสองครั้งเช่นนั้นหรือ? พูดขึ้นมาใครจะกล้าเชื่อ?
ชายชราร่างผอมโกรธเกรี้ยวสุดขีด ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตจุติที่สง่างามเช่นเขา ตัวตนที่สั่นสะเทือนสวรรค์และโลกกลับถูกตบติดต่อกันได้เช่นนี้ หากข่าวนี้แพร่กระจายออกไป เขาได้อับอายจนตายแน่!
ตู้ม!
ลมปราณอันน่าเกรงขามพุ่งออกมาจากร่างของชายชราร่างผอมพร้อมกับเสียงดัง ในขณะที่พลังดาราจักรควบแน่นอยู่เหนือร่าง ก่อนจะเกิดเป็นวัตถุรูปกงล้อขนาดมหึมา โดยมีพลังมหาศาลของเต๋ารู้แจ้งทั้งสี่ประเภทพลุ่งพล่านอยู่ภายใน
ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตจุติจะสามารถควบแน่นปราณแท้เข้าสู่กงล้อสังสารวัฏหลังจากดูดซับพลังดาราจักรหยินและหยางจากฟ้าดินมาได้ เมื่อนำมาใช้กับศัตรูจึงนับว่าน่ากลัวนัก ในโลกแห่งการบ่มเพาะ มีการกล่าวกันว่ากงล้อเดียวนี้สามารถทลายภูเขาแยกแม่น้ำได้
แต่ทั้งหมดนี้กลับไร้ประโยชน์!
เฉินซีปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีกครั้ง ก่อนที่ยันต์ศัสตราที่มีเต๋ารู้แจ้งแห่งสายฟ้า ลม ไฟ และท้องฟ้าจะตวัดออกมาเบา ๆ ทำลายปราการป้องกันของชายชรา ตรงเข้าสู่ลำคอก่อนที่อีกฝ่ายจะทันกลั่นกงล้อสังสารวัฏได้สำเร็จ การเคลื่อนไหวของเฉินซีรวดเร็วมากจนแทบจะเป็นทะลวงผ่านช่องมิติ!
เพียะ! เพียะ! เพียะ! เพียะ!
กงล้อสังสารวัฏที่ยังกลั่นตัวไม่เสร็จกลับเข้าไปในร่างชายชราอีกครั้ง จากนั้นชายชราคนนั้นก็ถูกเฉินซียกขึ้นราวกับเป็นลูกไก่ตัวน้อย ก่อนที่ใบหน้าเหี่ยวย่นที่บวมอยู่แล้วจะถูกตบอย่างแรงอีกแปดครั้ง
“เจ้านี่มันขยะชัด ๆ อายุก็มากแล้ว แต่เข้าใจเต๋ารู้แจ้งแค่สี่อย่าง ทั้งยังเป็นเต๋ารองเสียอีก ปาฏิหาริย์จริงที่ขยะอย่างเจ้ายังสามารถมีชีวิตอยู่ได้จนถึงตอนนี้ ให้สิบฝ่ามือนี้เป็นบทเรียนแก่เจ้าก็แล้วกัน!” หลังจากตบชายชราเสร็จแล้ว เฉินซีก็ยกมือโยนร่างผอมแห้งออกไปเหมือนทิ้งขยะชิ้นหนึ่ง
ตู้ม!
ชายชราร่างผอมส่งเสียงร้องโหยหวนขณะที่ร่างร่วงจากชั้นสามลงไปยังพื้นอย่างแรง เขาพ่นเลือดออกมาเต็มคำและหมดสติไปในทันที ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายโกรธจนเป็นลมหรือเขาตั้งใจเป็นลมไปเพราะไม่อาจทนต่อสายตาจากคนรอบข้างได้
ทุกคนตกตะลึงนัก
ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตจุติผู้เป็นตัวตนอันทรงพลังและมีอิทธิพลสูง ทั้งยังได้รับความเคารพไม่ว่าจะย่างกรายไปที่ใดกลับถูกผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางตบหน้าหันไปสิบคราจนเป็นหมดสติ!
ทุกคนตกตะลึงจนในหัวว่างเปล่าไปหมด ขณะมองไปยังชายชราร่างผอมที่นอนกองอยู่บนพื้นเหมือนสุนัขตาย
การเคลื่อนไหวเหล่านี้ของเฉินซีดูคล้ายจะผ่อนคลายและง่ายดาย แต่แท้จริงแล้วกลับใช้พละกำลังทั้งหมดในร่างทีเดียว ความสามารถที่น่าเกรงขามที่สุดของเขาในตอนนี้คือการพึ่งพาความเร็วของปีกนภาดารกะที่เกือบจะเร็วเท่ากับการเคลื่อนมิติ เพื่อให้มีความเร็วเหนือชั้น จากนั้นก็ใช้คัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบเพื่อตอบโต้ เมื่อรวมกับเต๋ารู้แจ้งต่าง ๆ ที่เขาเข้าใจ ก็อาจกล่าวได้ว่าชายหนุ่มมีพลังที่รวดเร็วดั่งสายฟ้า ซึ่งสามารถสังหารอย่างไร้เสียงได้ในทันที
แต่ที่สำคัญที่สุดคือชายชราร่างผอมผู้นี้อ่อนแอเกินไป แม้จะเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติ แต่ก็อยู่เพียงขอบเขตจุติขั้นต้นเท่านั้น ความเข้าใจเกี่ยวกับเต๋ารู้แจ้งของเขาก็ยังอ่อนแอมากด้วย ดังนั้นจึงไม่แปลกแม้แต่น้อยที่เฉินซีจะตบเขาอย่างแรงได้เช่นนี้
ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตจุติบางคนในห้องพำนักชั้นสามได้เห็นภาพนี้เช่นกัน พวกเขาจึงตกใจกันอย่างมาก ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าออกมาท้าทายเฉินซี เหนือสิ่งอื่นใด มีตัวอย่างมีชีวิตอย่างชายชราร่างผอมนอนให้เห็นอยู่ตรงหน้าเช่นนี้ แม้จะมั่นใจในความแข็งแกร่งตนเองแค่ไหน ย่อมไม่มีใครกล้าบุ่มบ่ามลงมือแน่
เฉินซีไม่สนใจเรื่องทั้งหมดนี้ จากนั้นก็เดินตรงเข้าไปในห้องของตนเอง
“เป็นชายหนุ่มที่น่ากลัวจริง!”
“วิชากระบี่น่าเกรงกลัวนัก!”
“คนดุร้ายผู้นี้มาจากที่ใดกัน? เหตุใดข้าจึงไม่เคยได้ยินชื่อเขาเลยเล่า? หากแข็งแกร่งเช่นนี้ เขาย่อมสามารถติดหนึ่งร้อยอันดับแรกในการชุมนุมดาวรุ่งได้เป็นแน่ ไม่สิ! เป็นไปได้สูงที่จะติดห้าสิบอันดับแรกด้วยซ้ำ!”
“ใช่แล้ว ดูจากอายุอานามแล้วเขาคงจะอายุน้อยกว่าสามสิบปี พลังบ่มเพาะอยู่ที่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง หากเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่ง เขาคงได้มีชื่อเสียงโดดเด่นขึ้นมาได้เป็นแน่กระมัง?”
เมื่อร่างของเฉินซีลับสายตาไป ห้องโถงภายในปราการเดียวดายก็เกิดเสียงถกเถียงดังอื้ออึงขึ้นมา
ว่ากันว่าเขาได้เผยให้เห็นถึงวิชาสังหารที่เย็นชาและโหดเหี้ยมเมื่อครั้งกวาดล้างกลุ่มโจรแร้งพเนจรทั้งสามสิบคน ตอนนี้เขาก็ได้เผยให้เห็นถึงความแข็งแกร่งส่วนตัวที่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่งในการต่อสู้กับชายชราร่างผอม ใครจะไม่สงสัยเล่าหากพบกับผู้เยี่ยมยุทธ์วัยหนุ่มที่ข้ามขอบเขตเอาชนะศัตรูได้เช่นนี้?
อวิ๋นน่ายืนจ้องภาพตรงหน้าด้วยสายตาว่างเปล่าอยู่ที่มุมหนึ่ง ใจของนางสั่นไหวเมื่อนึกถึงภาพนับไม่ถ้วนของเฉินซี ราวกับว่านางได้หลงเสน่ห์เขาเข้าแล้ว
หลังจากปิดประตูห้องแล้ว เฉินซีก็ตรวจดูรอบกายอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็พบว่ามันเป็นไปตามที่ซานหย่งกล่าวไว้จริง ๆ ห้องบนชั้นสามมีขนาดใหญ่มาก และแบ่งออกเป็นห้องต่าง ๆ เพื่อใช้กลั่นยาเม็ด ห้องขัดเกลาอาวุธ นั่งสมาธิเงียบ ๆ และอื่น ๆ อีกมากมาย
เมื่อเฉินซีอาบน้ำร้อนจนสบายตัวแล้วก็เปลี่ยนเป็นชุดใหม่ที่ดูสะอาดสะอ้าน จากนั้นมัดผมที่ยาวถึงเอวไว้ ก่อนเอนหลังนอนลงบนเตียง แล้วเขาก็อดระบายลมหายใจยาวออกมาไม่ได้
จนถึงตอนนี้ ในที่สุดเขาก็ผ่อนคลายความคิดที่ตึงเครียดมาตลอดสามเดือนที่ผ่านมาลงได้บ้าง ตั้งแต่เข้าสู่ป่าทมิฬจนถึงตอนนี้ เขามักจะต้องต่อสู้อยู่บ่อยครั้ง กล่าวอีกนัยหนึ่งคือชายหนุ่มต้องคงสถานะพร้อมสู้ไว้ตลอดถึงจะเข้ามาในปราการเดียวดายแล้วก็ตาม การต่อสู้และความตึงเครียดสูงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้เมื่อพบสิ่งใด ความคิดแรกของเขาคือ ‘ข้าจำเป็นต้องสู้หรือไม่?’
ตอนนี้เมื่อได้ผ่อนคลายแล้ว ชายหนุ่มก็รู้สึกราวกับโดดจากร่างหนึ่งไปอีกร่างหนึ่ง ความสงบสุขจากการที่ไม่ต้องสู้กับใครทำให้เขาตกสู่ห้วงนิทราอันลึกล้ำโดยไม่รู้ตัว
ใช่แล้ว ช่วงวันที่ต้องเคร่งเครียดกับความเป็นตายที่ผ่านมา เขารู้สึกเหนื่อยเกินไปจริง ๆ นอกจากการต่อสู้แล้ว ทั้งวันก็ยังต้องเอาแต่รักษาอาการบาดเจ็บและหนีเอาชีวิตรอดให้ได้ เขาเป็นเหมือนนักเต้นที่กำลังร่ายรำอยู่บนปลายมีด ตึงเครียดทุกชั่วขณะ ต้องมีสมาธิสูงอยู่ตลอด ไม่ได้ผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อยในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา
ร่องรอยความเหนื่อยล้าเหล่านี้สามารถสังเกตได้จากเสื้อผ้าและร่างกายที่เปื้อนไปด้วยเลือดของเขานั่นเอง เมื่อต้องใช้เวลาเอาชีวิตรอดและต่อสู้อยู่ตลอด เขาจะมีเวลามาคิดเรื่องอาบน้ำแต่งตัวได้หรือ?
การหลับใหลครั้งนี้ดำเนินไปเป็นเวลาสามวันเต็ม
ในเช้าวันที่สาม เมื่อแสงแดดแรกส่องลงมาจากขอบฟ้า ในที่สุดเฉินซีที่อยู่ในห้วงนิทราลึกก็ตื่นขึ้นมา รู้สึกได้ว่าผิวหนังทุกส่วนบนร่างเต็มไปด้วยกระปรี้กระเปร่าและมีชีวิตชีวา จึงอดส่งเสียงออกมาด้วยความสบายกายไม่ได้
ครู่ต่อมา เขาก็ลุกขึ้นนั่งบนเตียง หยิบชามน้ำใสเย็นฉ่ำมาวักล้างหน้า ก่อนที่จะเข้าไปยังห้องขัดเกลาอาวุธ
ค่ายกลยันต์อักขระหนาแน่นและเตาหลอมทองแดงสามขาตั้งอยู่ภายในห้องหลอมศัสตรา ทั้งคู่ใช้เปลวไฟจากแกนโลกเป็นแหล่งให้พลังงาน ไม่เพียงแต่มันจะใช้หลอมศัสตราได้เท่านั้น แต่ยังมีผลป้องกันไม่ให้ถูกรบกวนยามหลอมอุปกรณ์ได้อีกด้วย
เฉินซีไม่ได้ใช้เตาหลอมเพราะการหลอมศัสตรากับเตาหลอมธรรมดาไม่อาจคุมคุณภาพของยันต์ศัสตราได้ แต่สามารถใช้เปลวไฟจากแกนโลกได้
หากเขาจำไม่ผิด เปลวเพลิงจากแกนโลกที่เป็นสีขาวนวลนี้ คงจะเป็นเพลิงวิญญาณพลังล้นเหลือ ซึ่งเรียกว่าเพลิงวิญญาณประกาย มันมักจะถูกใช้กับวัสดุที่ละลายยากได้เป็นอย่างดี ไม่มีสิ่งใดเหมาะจะนำมาใช้ในการกลั่นหรือขัดเกลายันต์ศัสตราได้มากไปกว่ามันอีกแล้ว
ยันต์ศัสตราของเฉินซีมีอักขระยันต์อยู่ห้าตัว ที่แกนของยันต์เทวะทุกชิ้นยังมีวัตถุศักดิ์สิทธิ์สถิตอยู่ภายในด้วย
เช่นไม้ศักดิ์สิทธิ์สีคราม เหล็กพลังสุริยัน ผลึกเพลิงเทวะ และอื่น ๆ ในขณะที่ฐานกระบี่ถูกสร้างขึ้นจากอาวุธเซียน ซึ่งก็คือเคียวแห่งการสังหาร ในช่วงแรกที่เพิ่งหลอมมันขึ้นมา คุณภาพของมันก็สูงกว่าสมบัติวิเศษระดับปฐพีขั้นสุดยอดชิ้นอื่นแล้ว และด้อยกว่าสมบัติวิเศษระดับสวรรค์อยู่เพียงนิดเท่านั้น
สิ่งที่ยากที่สุดคือยันต์ศัสตรามีโอกาสแกร่งขึ้นได้อย่างไร้ที่สิ้นสุด จึงนับเป็นจุดแข็งที่สุดของยันต์ศัสตราเลยก็ว่าได้
แต่ในขณะนี้ พลังของยันต์ศัสตราไม่อาจตอบสนองความต้องการของเฉินซีได้ สิ่งที่เขาต้องการในตอนนี้คือการเสริมคุณภาพให้ยันต์ศัสตราอีกระดับ เพื่อให้สามารถต้านสมบัติวิเศษระดับสวรรค์ได้ เขาจะได้สำแดงพละกำลังที่แท้จริงยามต่อสู้ออกมาได้!