บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 35 รวมตัว
บทที่ 35 รวมตัว
คนผู้นี้ย่อมต้องพบกับฝูงตะเภาฟองอย่างแน่นอน
เฉินซีไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อยเมื่อเขาได้ยินเสียงร้องโหยหวนของต้วนมู่เจ๋อ เนื่องจากข้างหน้าไม่ไกลมีหนองน้ำกับฝูงสัตว์อสูรประเภทหนูขนาดเท่ากำปั้นอาศัยอยู่ใต้ดิน
ตะเภาฟองเคลื่อนตัวอยู่ใต้พื้นดินด้วยความเร็วที่ฉับไวราวกับวายุพัดผ่าน ร่างกายของพวกมันเหมือนกับฟองอากาศที่ถูกเป่าให้พอง ซ้ำยังเต็มไปด้วยพิษสีเขียวเข้มที่มีกลิ่นเหม็นเน่า ถึงแม้ว่าพิษของมันจะไม่รุนแรง แต่หากพุ่งเข้าสู่ร่างกายคนมันก็สามารถทำให้คนผู้นั้นเป็นบ้าได้
สิ่งสำคัญที่สุดคือ ตะเภาฟองนั้นอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก ยิ่งพวกมันเจอกับศัตรู เจ้าสิ่งที่น่าขยะแขยงและน่าเกลียดเหล่านี้ จะรวมกลุ่มกันแล้วระเบิดตัวเอง เมื่อของเหลวสีเขียวเข้มระเบิดออกมาจากท้องของมัน ให้จินตนาการว่ามันแทบจะเหมือนกับพายุฝนที่บดบังผืนฟ้า และไม่มีผู้ใดสามารถหลีกเลี่ยงได้
“นี่…” ตู้ชิงซีแทบไม่เชื่อสายตาเมื่อเห็นสภาพของต้วนมู่เจ๋อ บุรุษตรงหน้าราวกับถูกโยนลงไปในถังย้อมสี ผมเอย ร่างกายเอย อาภรณ์สีขาวดุจหิมะพวกนั้น… ล้วนแล้วแต่ถูกอาบย้อมไปด้วยของเหลวสีเขียวเข้ม ทำให้เขาดูเหมือนกับปีศาจคางคกที่น่าเกลียดยิ่ง
หากไม่ได้เห็นด้วยตาตนเอง มันคงเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการว่าคนตรงหน้าของพวกเขาคือ ต้วนมู่เจ๋อที่หล่อเหลาและอ่อนโยน ผู้ชื่นชอบสวมอาภรณ์สีขาวพลิ้วปลิวไสวตามสายลม
โดยฉับพลัน บังเกิดวายุกระโชกแรง ส่งกลิ่นเหม็นเน่าขจรขจายไปทั่วทุกหนแห่งของผืนป่า
“น่ารังเกียจยิ่ง” ซ่งหลินหายใจไม่ออก กลิ่นเหม็นเน่าลอยคลุ้งในอากาศทำให้มิอาจหลับลงได้ จึงทำได้แค่ปิดจมูกและขยับตัวไปมาเท่านั้น
“เขาไม่ตกอยู่ในอันตรายใช่ไหม” ตู้ชิงซีขมวดคิ้ว ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมา
เฉินซีส่ายหัว “เขาสบายดี แค่มีกลิ่นตัวนิดหน่อย”
แหวะ~!
ตู้ชิงซีหายใจไม่ออกจนเกือบจะอาเจียน นางไม่ลังเลที่จะเดินถอยห่างออกไปไกล แล้วถึงพูดขึ้นมาว่า “ต้วนมู่ รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไปจากที่นี่เสีย”
“พวกเจ้า… พวกเจ้ากล้ากล่าวเช่นนี้ได้อย่างไร!?”
ดวงตาของต้วนมู่เจ๋อเบิกกว้าง ขณะมองตู้ชิงซีและซ่งหลินที่ถอยออกไปยืนอยู่ห่างจากเขาด้วยความเศร้าเสียใจ ซ้ำแล้ว น้ำเสียงของต้วนมู่เจ๋อยังเผยให้เห็นถึงความน่าสมเพช ราวกับเขาเป็นแม่ม่ายที่ถูกสามีทอดทิ้ง
“นายน้อยต้วนมู่ ข้าเตือนท่านแล้ว หากแต่ท่านไม่คิดฟังคำของข้าเลย… อนิจจา ข้าว่าท่านรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิด กลิ่นของพวกมันเหม็นมากจริง ๆ” เฉินซีส่ายหัว ก่อนจะหันหลังเดินหนีกลิ่นไปไกล
ต้วนมู่เจ๋อรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่าเข้าให้ เขาตกตะลึงอยู่ชั่วครู่หนึ่งก่อนจะแผดเสียงโกรธจัดอยู่ภายในใจ
เฉินซี! เจ้าจงใจให้เป็นเช่นนี้ จงใจอย่างแน่นอน!
ข้าจะฆ่าเจ้า!
ต้วนมู่เจ๋อบันดาลโทสะจนเริ่มหอบหายใจแรง ทว่าเขาเกือบจะเป็นลมไปในทันทีเมื่อได้กลิ่นเหม็นเน่าบนร่างกายตัวเอง และแล้วคลื่นโทสะภายในใจก็กลับมาระเบิดอีกครั้ง ยามนี้บุรุษผู้นี้เกลียดเฉินซีเข้ากระดูกดำเสียแล้ว
และเมื่อต้วนมู่เจ๋อปรากฏตัวอีกครั้ง เขาก็ฟื้นคืนรูปลักษณ์ที่หล่อเหลาเรียบร้อยแล้ว ทว่ายามจับจ้องไปยังเฉินซีเขากลับดูมืดมนเป็นอย่างมาก นัยน์ตายังเผยให้เห็นท่าทีอยากฆ่าคนเต็มแก่ด้วย
‘ดูท่า ข้าจะเผลอทำร้ายสหายผู้นี้เข้าแล้ว แต่ตราบใดที่ตู้ชิงซียังอยู่ด้วย คาดว่าเขาคงไม่กล้าลอบโจมตีข้าหรอกกระมัง’ เฉินซีส่ายหัว และเลิกสนใจสายตาของต้วนมู่เจ๋อที่จ้องมองมา ฝีเท้าเดินขึ้นหน้าต่อไป
ต้วนมู่เจ๋อเงียบไปตลอดทาง และภายใต้การนำทางของเฉินซีก็ไม่มีอุบัติเหตุใดเกิดขึ้นอีก
ตู้ชิงซีเดินตามอยู่ด้านหลัง ขณะที่บังเกิดความรู้สึกประหลาดใจเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะระหว่างทางพวกเขาได้พบกับสัตว์อสูรที่น่าเกรงขามมากกว่าหนึ่งครั้ง แต่ดูเหมือนเฉินซีจะมองการณ์ไกล จึงพาคนทั้งกลุ่มเดินอ้อมไปอย่างระมัดระวัง ทำให้พวกเขาสามารถเดินทางได้อย่างปลอดภัยทุกครั้ง
นางยอมรับว่าเคยดูถูกเฉินซีจริง ๆ เพราะบางครั้งก็เป็นเรื่องยากที่นางจะสังเกตเห็นสัตว์อสูร ที่เชี่ยวชาญในการปกปิดตัวตนเหล่านั้นได้
สำหรับต้วนมู่เจ๋อ การที่เฉินซีดูเข้าใจสภาพแวดล้อมโดยรอบเช่นนี้ มันทำให้เขาเห็นว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เป็นเฉินซีที่ตั้งใจทำให้เขาดูโง่ ชั่วขณะหนึ่ง ความเกลียดชังของต้วนมู่เจ๋อที่มีต่ออีกฝ่ายนั้นถึงกับลงไปอยู่ที่ก้นเหวลึกแล้ว หากไม่ใช่เพราะว่าตู้ชิงซียังอยู่ด้วย เขาคงฆ่าเฉินซีไปแล้วเป็นแน่
ยามรุ่งอรุณใกล้มาเยือน กลุ่มของเฉินซีได้ผ่านผืนป่าที่ดูเหมือนปราการธรรมชาติ ลึกเข้าไปในแดนต้องห้ามป่าเถื่อนตอนใต้ ก่อนจะไปปรากฏตัวที่หน้าทะเลสาบขนาดมหึมา
เฉินซีรับรู้ได้ในทันทีว่าทะเลสาบที่กว้างใหญ่และไร้ขอบเขตแห่งนี้ ถูกเรียกว่าทะเลสาบถ้ำวิญญาณ เนื่องจากอสูรยักษ์ที่ตัวใหญ่ยิ่งกว่าอาณาจักรถูกสังหารด้วยน้ำมือของเขา เป็นแรดอินทนิลสองหัวที่ฝึกฝนมานานนับพันปี และเคยอาศัยอยู่ที่ใจกลางของทะเลสาบแห่งนี้
ยามนี้ มีผู้ฝึกฝนไม่ต่ำกว่าหมื่นคนมารวมตัวกันที่ทะเลสาบถ้ำวิญญาณ และทุกหนแห่งที่เขาจ้องมองก็เต็มไปด้วยผู้คนที่อยู่กันอย่างแน่นขนัด เสียงสนทนาโหวกเหวกดังขึ้นลงไม่รู้จบ อันที่จริง ดูเหมือนว่ามันจะคึกคักมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ
“ทางเข้าสู่ดินแดนรกร้างใต้พิภพไม่ได้อยู่บนยอดทะเลสาบถ้ำวิญญาณหรอกหรือ” เฉินซีมองไปที่ฝูงชนที่อยู่ห่างไกลและรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“เจ้าไม่รู้?” ตู้ชิงซีดูจะประหลาดใจที่ชายหนุ่มไม่รู้
เฉินซีส่ายหัว “ข้าไม่เคยเข้าร่วมการทดสอบในดินแดนรกร้างใต้พิภพ และไม่เคยสนใจข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้”
“ฮ่า! ในฐานะชาวเมืองหมอกสน เจ้าไม่แม้แต่จะเคยเข้าร่วมการทดสอบดินแดนรกร้างใต้พิภพด้วยซ้ำ ช่างน่าสงสารเสียจริง” ต้วนมู่เจ๋อพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม
เฉินซีเหลือบมองอีกฝ่ายแล้วพูดอย่างเฉยเมยว่า “แม้ว่าข้าจะไม่เคยเข้าไปในดินแดนรกร้างใต้พิภพมาก่อน แต่ข้าเข้าใจวิธีลัดเลาะไปตามป่าเขาของเขตป่าเถื่อนตอนใต้”
เข้าใจวิธีลัดเลาะไปตามป่าเขาป่าของแดนเถื่อนตอนใต้…
ต้วนมู่เจ๋อตกตะลึงไปในทันที หวนนึกถึงตอนที่เผชิญหน้ากับผึ้งเหมันต์และตะเภาฟอง ราวกับว่าแผลเป็นในหัวใจถูกฉีกออก สีหน้าของเขามืดมนลงฉับพลัน และเขาก็เริ่มต่อปากต่อคำ “ข้าหวังว่าความสามารถของเจ้าจะแข็งแกร่งพอ ๆ กับปากของเจ้าแล้วกัน อย่าได้ตกตายอยู่ในดินแดนรกร้างใต้พิภพเชียว”
คำพูดเช่นนี้เท่ากับเป็นการทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเฉินซีลง
ตู้ชิงซีขมวดคิ้ว ขณะที่นางเหลือบมองคนทั้งสอง ก่อนจะพูดอย่างเย็นชาว่า “พอได้แล้ว! หากพวกเจ้าทั้งสองยังคงเป็นเช่นนี้ก็จงกลับไปเสีย!”
ต้วนมู่เจ๋อเม้มริมฝีปากแต่ไม่ได้พูดอะไรอีก เห็นได้ชัดว่าเขากลัวตู้ชิงซีจะขับไล่ไสส่งตัวเอง
เฉินซีย่อมต้องการจากไป แต่เมื่อเห็นท่าทีอันเยือกเย็นของตู้ชิงซี และนึกถึงข้อตกลงสามปีที่ได้ให้ไว้กับนาง เขาก็ลังเลที่จะพูดออกมา
หลังจากนั้น กลุ่มของพวกเขาก็พากันเร่งฝีเท้า ก่อนจะไปปรากฏตัวขึ้นในพื้นที่ว่างข้างทะเลสาบถ้ำวิญญาณ
เมื่อพวกเขายิ่งเข้าไปใกล้ เฉินซีก็สังเกตเห็นว่าผู้ฝึกฝนเหล่านี้ ส่วนใหญ่รวมตัวกันเป็นกลุ่ม ไม่กลุ่มสามคนก็ห้าคน ส่วนอ้อมแขนของพวกเขาล้วนแล้วแต่ถืออาวุธไว้ ขณะยืนอยู่ด้วยท่าทีระมัดระวัง เห็นได้ชัดว่าภายในดินแดนรกร้างใต้พิภพอันตรายเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าพวกเขาจะเป็นคู่แข่งกันทั้งหมด แต่เพื่อป้องกันไม่ให้อสูรปีศาจที่น่าเกรงขามเหล่านั้นพุ่งออกไป ทุกคนจึงตัดสินใจรวมกลุ่มกัน
ท้ายที่สุด ดินแดนรกร้างใต้พิภพก็ยังไม่ปรากฏตัว และไม่ใช่เวลาที่จะทำร้ายกันอย่างเปิดเผยเพื่อยึดไข่มุก
การปรากฏตัวของกลุ่มเฉินซีดึงดูดความสนใจของคนส่วนใหญ่ในบริเวณโดยรอบได้ทันที เหตุผลนั้นง่ายมาก มันเป็นเพราะต้วนมู่เจ๋อผู้หล่อเหลายืนอยู่ที่นั่นราวกับเสาธง และตราบใดที่พวกเขาเป็นผู้ฝึกตนที่อาศัยอยู่ในเมืองทะเลสาบมังกร ก็ต้องรู้จักชายหนุ่มที่มีความสามารถพิเศษคนนี้ เพราะเขาเป็นถึงอัจฉริยะรุ่นเยาว์ของตระกูลต้วนมู่ ต้วนมู่เจ๋อ!
“นายน้อยต้วนมู่!”
“อา! นายน้อยต้วนมู่ก็มาด้วย!”
“นายน้อยต้วนมู่ ข้าไม่เคยคาดหวังว่าจะได้เจอท่านที่นี่!”
…
ตลอดทาง เสียงทักทายต้วนมู่เจ๋อยังคงดังก้องกระทบโสตของพวกเขา และสายตาที่แต่เดิมจ้องมองมายังกลุ่มของเฉินซีอย่างเป็นปรปักษ์ก็ได้เลือนหายไป นามของตระกูลต้วนมู่นั้นยิ่งใหญ่มาก จนถือได้ว่าเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่ทางแดนใต้ทั้งหมด ด้วยเหตุนั้น ผู้ฝึกฝนทั่วไปย่อมไม่กล้าคิดหาเรื่องกับคนของตระกูลต้วนมู่
ยามนี้ ใบหน้าของต้วนมู่เจ๋อกลับมาเผยรอยยิ้มบางตามปกติแล้ว หากมองให้ดีก็จะเห็นความภาคภูมิใจที่ฉายชัดออกมาจากตัวเขา และเมื่ออาศัยกลิ่นอายลึกลับเหนือศีรษะ มันก็ทำให้กลุ่มของพวกเขาสามารถเลือกจุดที่ดีมากได้อย่างราบรื่น
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นภาพนี้ แค่ชื่อเสียงของตระกูลก็สามารถสร้างผลกระทบได้แล้ว ตระกูลเหล่านั้นมีทรัพยากรและกองกำลังโบราณหนุนหลังอยู่ จึงสามารถอยู่รอดมาได้จนถึงปัจจุบัน
อารมณ์ของต้วนมู่เจ๋อดูเหมือนจะดีขึ้นมากหลังจากถูกคนรอบข้างยกยอ จากนั้นเขาก็เหลือบมองไปยังเฉินซีที่นั่งอยู่ ก่อนจะพูดพลางขมวดคิ้วว่า “เฮ้ย! เจ้าเป็นพ่อครัววิญญาณที่ไม่ได้มาตรฐานเสียจริง ไม่เห็นหรือว่าทุกคนเดินทางกันมาทั้งคืน”
เฉินซีไม่สนใจสหายผู้นี้ จากนั้นเขาก็หันไปมองตู้ชิงซีแทน “อยากทานอะไรหรือไม่”
ตู้ชิงซีคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า ในตอนที่เดินออกจากป่า นางสวมผ้าคลุมศีรษะอีกาไว้ ทำให้สามารถซ่อนพลังวิญญาณได้ และปกปิดรูปร่างหน้าตาของนางไปด้วย ก็ทำให้ผู้อื่นไม่สามารถมองเห็นสีหน้าของนาง
เฉินซีลุกขึ้นยืนหลังจากเห็นนางตอบรับ จากนั้นเขาก็ดึงส่วนผสมบางอย่างออกมาจากแหวนมิติ ก่อนจะจุดไฟวิญญาณและเริ่มทำอาหาร
ตู้ชิงซีมอบแหวนมิตินี้ให้กับเขา เมื่อพวกเขาออกจากร้านอาหารนทีกระจ่าง ภายในนั้นมีพื้นที่ทั้งหมดร้อยจั้งซึ่งเต็มไปด้วยส่วนผสมมากมาย หากพวกเขากินเท่าที่จำเป็น ก็เพียงพอให้คนสองสามคนกินดื่มไปอีกสองสามปี
ต้วนมู่เจ๋อไม่สนใจแม้แต่น้อยเมื่อถูกเฉินซีเพิกเฉย เนื่องจากความสามารถในการทำอาหารของเฉินซีเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของทุกคนแล้ว
เขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่า เฉินซีเป็นเพียงพ่อครัววิญญาณที่มีสถานะต่ำต้อย ถือเป็นผู้ติดตามหาใช่สหายที่สามารถสนทนาในระดับเดียวกันได้
ยามนี้ เมื่อเขาเห็นเฉินซีเริ่มทำอาหาร ต้วนมู่เจ๋อก็อดไม่ได้ที่จะคาดหวัง ‘อารมณ์ของคนผู้นี้ในเวลานี้ย่อมต้องไม่พอใจอย่างยิ่งใช่หรือไม่?’
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้ต้วนมู่เจ๋อผิดหวังก็คือ แม้ว่าคนรอบข้างมักจะจ้องมองมาที่คนผู้นี้ด้วยความประหลาดใจ ภายใต้ความสับสน ความเข้าใจ และความรังเกียจ แต่การแสดงออกของเฉินซีก็ยังคงเหมือนเดิมตั้งแต่ต้นจนจบ
ไม่นานหลังจากนั้น โจ๊กหนึ่งร้อยสมบัติที่ปรุงจากผลไม้วิญญาณกว่าหนึ่งร้อยชนิดผสมกับธัญพืชวิญญาณห้าชนิด ได้แก่ ข้าว ถั่ว ข้าวสาลี และลูกเดือยสองประเภทก็พร้อมทานแล้ว ในที่สุดกลิ่นหอมกรุ่นของข้าวต้มก็นำมาซึ่งกลิ่นผลไม้สด ๆ ขณะที่ม้วนตัวขึ้นและลอยไปรอบ ๆ
โครกกก! ครากกก!
เสียงท้องของผู้คนร้องดังก้องไปทั่วบริเวณ ผู้บ่มเพาะส่วนใหญ่ที่อยู่ ณ ที่นี้ล้วนแต่มีระดับฝึกตนอยู่ในขอบเขตก่อกำเนิด และยังไม่สามารถอยู่รอดได้ด้วยพลังวิญญาณเช่นผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิล ดังนั้นพวกเขาจึงนำอาหารแห้งมาติดตัวมาด้วย แต่เมื่อได้กลิ่นของโจ๊กที่สดใหม่จากหม้อ ใครจะไม่อยากโลภเล่า แม้แต่ท้องของพวกเขาก็ไม่เห็นด้วยหากพวกเขาทำ!
“นายน้อยต้วนมู่เป็นคนที่สามัญชนไม่สามารถเปรียบเทียบได้จริง ๆ เขายังพาพ่อครัววิญญาณมาด้วยตอนที่เขาออกไปท่องเที่ยวด้วย อนิจจา ชีวิตแบบนี้น่าอิจฉาจริง ๆ!”
“แน่นอน! เพียงแค่ได้กลิ่นหอมของโจ๊กนั้น เจ้าก็รู้ได้อย่างแน่นอนว่าคนรุ่นเยาว์ผู้นั้นอย่างน้อยก็มีมาตรฐานของพ่อครัววิญญาณสองใบไม้!”
…
ต้วนมู่เจ๋อรู้สึกมีความสุขมากขึ้นเมื่อได้ยินเรื่องนี้ จากนั้นเขาก็หยิบผ้าเช็ดปากสีขาวขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยสั่ง “เติมโจ๊กให้ข้าหนึ่งชาม”
เฉินซีกำลังกินอยู่ และเขาก็พึมพำตอบว่า “ไม่มีอีกแล้ว”
ไม่มีอีกแล้ว หลังจากที่เขาแบ่งโจ๊กคนละชามกับตู้ชิงซี ซ่งหลินก็หยิบชามใบใหญ่ขึ้นมา ทำทีราวกับเป็นวิญญาณผู้หิวโหยและจัดการทำความสะอาดก้นหม้อจนเกลี้ยง
ต้วนมู่เจ๋อก้มศีรษะลงมองผ้าเช็ดปากที่เขาเตรียมไว้บนขา จากนั้นมองไปที่หม้อเปล่า และการแสดงออกของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง
“โอ้ ข้าวต้มนี้อร่อยยิ่งนัก สิ่งที่หายากคือมันมีรสชาติที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงและไม่ด้อยกว่าหัวหน้าพ่อครัวที่บ้านของข้าเลย” ซ่งหลินกลืนอาหารด้วยสีหน้ามึนเมาและพึงพอใจ และบางครั้งก็ส่งเสียงเล็ดลอดออกมา
“โจ๊กนี้เป็นสิ่งที่เขาพัฒนาขึ้นเองอย่างแน่นอน มีรสหวานและเนื้อเหนียวที่แตกต่างจากปกติ และมีพลังวิญญาณบริสุทธิ์หนาแน่นและจะไม่สลายไปจนกว่าจะถูกกิน มันไม่เลวเลยจริง ๆ” ตู้ชิงซีพยักหน้าขณะที่นางตัดสิน
ท่าทางของต้วนมู่เจ๋อดูไม่ค่อยดีนัก เมื่อเขาเห็นว่าทั้งสองคนไม่มีเจตนาที่จะสนับสนุนเขา และประเมินรสชาติของโจ๊กร้อยสมบัติด้วยความสนใจอย่างมาก
“เอ๊ะ! นั่นมัน…”
ยามนี้ ฝูงชนบังเกิดความโกลาหล และสายตาของคนทุกผู้ก็พุ่งไปยังทิศทางหนึ่งจากระยะไกล
ตู้ชิงซีเหลือบไปมองก่อนจะถอนสายตาออก นางพูดด้วยท่าทีสงบว่า “ที่แท้สตรีผู้นั้นก็มาจากตระกูลซู มิแปลกเลยว่านางเองก็ไม่ยอมพลาดโอกาสในครานี้”
ตระกูลซู?
หัวใจของเฉินซีพลันสั่นสะท้านอย่างรุนแรง และทันใดนั้น เขาก็เงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว