บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 36 ปรมาจารย์มากมาย
บทที่ 36 ปรมาจารย์มากมาย
ตระกูลซู!
คำพูดเพียงสองคำ กลับทำให้ความเกลียดชังและโทสะที่ถูกเก็บไว้ในใจของเฉินซีมาหลายปีปะทุขึ้นมาทันที
ภาพของเขาในวัยสี่ขวบปียังคงชัดเจนราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อคืนวาน ครานั้น ผู้บ่มเพาะตระกูลซูขอบเขตเคหาทองคำจำนวนสิบสามคน ได้ฉีกสัญญาการแต่งงานระหว่างเขากับคุณหนูตระกูลซู ต่อหน้าต่อตาทุกคนในเมืองหมอกสน
เขายังคงจำวาจาเย้ยหยันและสีหน้าเหยียดหยามของผู้ฝึกตนแห่งตระกูลซูได้
ทั้งยังจำได้ไม่ลืมว่า ยามปู่ของเขาเห็นว่าสัญญาแต่งงานถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ ได้แต่มองเศษกระดาษพวกนั้นลอยล่องอยู่ในอากาศ สีหน้าที่แก่ชราของปู่เผยให้เห็นถึงความเจ็บปวดและสิ้นหวังเป็นอย่างมาก
หนำซ้ำเมื่อสามเดือนก่อน ปู่ของเขายังสิ้นชีพไปอย่างน่าเวทนาที่นอกประตูเมือง เมื่อหวนนึกถึงยันต์เสียงสงัดที่เฉินฮ่าวมอบให้เขา เฉินซีก็เริ่มแน่ใจแล้ว บางทีผู้ที่ลอบสังหารปู่ของเขาอาจเป็นคนของตระกูลหลี่ แต่ผู้อยู่เบื้องหลังที่แท้จริง อาจเป็นตระกูลซู!
เฉินซีไม่ทราบเหตุผลเบื้องหลัง แต่รู้แค่ว่าปู่ของเขาเสียชีวิตด้วยน้ำมือของตระกูลซู เท่านี้ก็นับว่าเพียงพอแล้ว!
“เจ้าเป็นอันใดไป?” ตู้ชิงซีสังเกตเห็นว่าบรรยากาศรอบตัวเฉินซีดูผิดแปลกไป
เฉินซีสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะหลุดจากภวังค์คับแค้น ชายหนุ่มเพียงส่ายหัวให้อีกฝ่าย
แกร็ก!
รอยแยก ณ ขอบฟ้า แสงแห่งสุริยันเล็ดลอดจากแนวของกลุ่มก้อนเมฆาราวกับเกล็ดปลาที่ประดับประดาอยู่บนท้องฟ้า มันส่องแสงระยิบระยับน่าดูไม่น้อย ไกลออกไปมีเสียงร้องของนกกระเรียนสดใสและชัดเจนดังแว่วมา
เมื่อเมฆาและม่านหมอกเริ่มเบาบางลง ปรากฏภาพกระเรียนขาวกระพือปีกอย่างแข็งขันยิ่ง จากนั้นพวกมันก็ทะลวงผ่านผืนเมฆา มุ่งผ่านสายตาของคนทุกผู้ด้วยความเร็วสูง
วูบ!
เพียงชั่วพริบตา นกกระเรียนสีขาวพิสุทธิ์ก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าเหนือหัวของทุกคน มันกระพือปีกพลางส่งเสียงร้องที่ชัดเจน
สายตาของคนทุกผู้จับจ้องไปยังนกกระเรียนขาวทันที และแล้วก็ปรากฏสตรีวัยแรกแย้มในอาภรณ์สีทมิฬอันประณีต ท่าทางของนางนั้นมีเสน่ห์อย่างหาที่เปรียบมิได้ กายเหยียดตรงดูสูงส่ง ขณะที่มือไขว้หลังอย่างเป็นธรรมชาติ เส้นผมนุ่มสลวยดุจเมฆาเคลื่อนคล้อย ทรวดทรงนับว่างามสะกดตา และด้วยรูปร่างบอบบางของนางที่ราวกับต้องลมทีอาจถูกพัดปลิวไป ยิ่งทำให้ผู้คนหลงใหลในรูปลักษณ์โฉมสะคราญของนาง
ซ่งหลินที่นอนอยู่บนพื้นพลันลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างเกียจคร้าน เขาเหลือบมองหญิงสาวที่อยู่บนหลังนกกระเรียนขาว ก่อนจะพึมพำเบา ๆ ออกมา “โอ้ ต้วนมู่ แม่นางซูของเจ้ามาถึงแล้ว”
ต้วนมู่เจ๋อชำเลืองมองตู้ชิงซีที่อยู่ข้าง ๆ กาย มุมปากของเขากระตุกเล็กน้อย แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธเคืองว่า “เจ้าอย่าได้พูดเหลวไหล อันใดคือคุณหนูซูของข้า? นางมีความสัมพันธ์อันใดกับข้ากัน?”
ซ่งหลินเบะปากด้วยความดูถูก แต่เมื่อเขากำลังจะพูดบางอย่างออกไป ต้วนมู่เจ๋อก็เอื้อมมือไปปิดปากชายหนุ่ม จากนั้นเขาก็ยิ้มอย่างเขินอายให้กับตู้ชิงซีที่อยู่ใกล้ ๆ “คนผู้นี้ละเมออีกแล้ว”
ตู้ชิงซีหาได้สนใจคำอธิบายของต้วนมู่เจ๋อ ทว่าใบหน้างดงามที่ซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าคลุม ปรากฏสายตาอันล้ำลึกสายหนึ่งวาบผ่าน ยามเมื่อนัยน์ตาที่ทอประกายฉายชัดราวกับดวงดารามองไปยังเฉินซี คิ้วรูปสวยของนางพลันขมวดคิ้วเล็กน้อย และดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้
ยามนี้เฉินซีก้มหน้าลง ทำให้ผู้อื่นไม่สามารถเห็นสีหน้าของเขาได้ ทว่าภายใต้การจ้องมองอย่างใกล้ชิด ตู้ชิงซียังคงสังเกตเห็นว่าร่างกายของอีกฝ่ายสั่นเทาเล็กน้อย มันดูเหมือนกับว่าเขากำลังพยายามยับยั้งความรู้สึกที่ผันผวนอย่างรุนแรงในตัวเขาอยู่
‘ยามซูเจียวปรากฏตัว ท่าทีของเขาก็ผิดปกติไปทันที เป็นไปได้ไหมว่า… ใช่แล้ว! ผู้หญิงที่เฉินซีเคยหมั้นหมายด้วยในปีนั้น ก็คือซูเจียวอย่างไม่ต้องสงสัย!’
ความเฉลียวฉลาดปรากฏขึ้นแววตาของตู้ชิงซี นางนึกถึงข่าวลือต่าง ๆ เกี่ยวกับเฉินซีในเมืองหมอกสน และในที่สุดก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น นางอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเบา ๆ สัญญาการแต่งงานของเขาถูกคนตระกูลซูฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยต่อหน้าผู้คน บางทีจวบจนวันนี้ เขาคงยังไม่ลืมวันคืนอัปยศนี้ได้กระมัง?
“เป็นบุตรสาวคนโตของตระกูลซูจากเมืองทะเลสาบมังกร!”
“อ๊า! สตรีผู้นั้นคือแม่นางซู ผู้เป็นความภาคภูมิใจของเมืองทะเลสาบมังกรใช่หรือไม่? เป็นโฉมสะคราญที่งดงามยิ่งนัก!”
“หึ! แน่นอนว่านางงดงามกว่าผู้ใด! การบ่มเพาะของแม่นางซูนับว่าไม่ธรรมดายิ่ง มิเช่นนั้นแล้ว นางจะกลายเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ในเมืองทะเลสาบมังกรได้อย่างไร ที่แห่งนั้นล้วนแต่มีผู้บ่มเพาะดุจเมฆเกลื่อนท้องฟ้า ซ้ำแล้วนางยังนับว่าเป็นหนึ่งในสองความภาคภูมิใจของเมืองทะเลสาบมังกรอีกด้วย!”
…
ยามนี้ ฝูงชนที่ทะเลสาบถ้ำวิญญาณต่างก็รู้ถึงตัวตนของซูเจียว บทสนทนาล้วนไม่พ้นความตื่นตกใจ ความชื่นชม และความเคารพ
บนเวหา ซูเจียวแสดงสีหน้าเฉยเมย ราวกับไม่รับรู้ถึงความกระตือรือร้นของทุกคนที่อยู่เบื้องล่าง อันที่จริง สายตาของนางกำลังจับจ้องไปที่ระยะไกล
และกระทำของนางก็ค่อย ๆ ดึงดูดผู้คน จากนั้นสายตาของพวกเขาก็พุ่งไปในทิศทางเดียวกันตามลำดับ
“ฮ่า ๆๆๆ! ข้าปล่อยให้แม่นางซูรอแล้ว!” เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ กลับปรากฏเสียงหัวเราะที่ดังกึกก้องไปทั่วท้องนภา แสงโลหิตสีชาดมาพร้อมกับเสียงกรีดอากาศที่ดังทะลวงผ่านม่านเมฆมา ในสายของคนทุกผู้ปรากฏร่างสง่างามร่างหนึ่งที่ดูอหังการไม่น้อยกำลังเหาะเหินอยู่ระหว่างฟ้าดิน
หัวใจของทุกคนสั่นสะท้านไปในบัดดล ยามได้เห็นท่าทางองอาจและน่าเกรงขาม แต่แฝงไปด้วยความเย่อหยิ่งและทะนงตน ก่อนที่คนเบื้องล่างจะรู้สึกประหลาดใจและสับสนตาม ๆ กันไป
เมื่อแสงโลหิตสีชาดหยุดลง ก็เป็นยามนี้เองที่ฝูงชนได้เห็นค่าหน้าค่าตาของผู้มาใหม่อย่างชัดเจน คนผู้นี้สวมชุดคลุมสีดำปักเลื่อมทอง แผ่นอกกว้างดูองอาจ จมูกโด่งเป็นสัน มีผมยาวสลวยคลอเคลียอยู่ที่บ่า เขายืนอยู่บนกระบี่สีชาดทมิฬที่ดูสดใสราวกับสีของโลหิต ทว่าด้วยท่าทางที่น่าเกรงและดูดื้อดึง กลับทำให้ภาพลักษณ์ของเขาดูสง่างามและแข็งแกร่งยิ่งขึ้นเสียมากกว่า
“กระบี่วิญญาณโลหิตบงกชสีชาด! เขาคือกระบี่ปีศาจน้อย ฉางปิน! อัจฉริยะด้านวิถีกระบี่ของตระกูลฉางแห่งเมืองทะเลสาบมังกร!”
มีคนอุทานด้วยความประหลาดใจ และด้วยวาจานั้นพลันทำให้เกิดความโกลาหลในทันที ขณะที่มองไปยังร่างในชุดคลุมสีดำซึ่งกำลังยืนอยู่บนกระบี่โลหิตกลางอากาศ สายตาของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความกลัวและความเคารพต่อคนผู้นี้
นี่เป็นเพราะจิตสังหารของคนผู้นี้เข้มข้นเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าคนเขาผ่านประสบการณ์การสังหารหมู่มานับไม่ถ้วน!
เฉินซีที่ตกอยู่ในภวังค์ความคิดก็ฟื้นคืนเช่นเดียวกัน เขาเงยหน้ามองดูบุรุษภายใต้เสื้อคลุมสีดำที่ยืนอยู่กลางอากาศ และญาณตระหนักรู้ก็ทำให้เขามองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้มากกว่าคนอื่น
“โอ้ ต้วนมู่ คู่แข่งเก่าของเจ้าก็มาด้วยนี่นา หากเจ้ายังไม่รีบเอง แม่นางซูของเจ้าได้ถูกแย่งไปแน่”
เสียงเกียจคร้านของซ่งหลินดังขึ้นมาอีกครั้ง ประโยคนั้นดูคลุมเครือไม่น้อยและเมื่อต้วนมู่เจ๋อได้ยินเช่นนั้น เส้นเลือดก็ปรากฏบนหน้าผากทันที เขากัดฟันพูดว่า “ข้าบอกว่าอย่าได้กล่าววาจาเหลวไหล นางไม่ใช่แม่นางซูของข้า แต่คนที่ข้าชมชอบ…คือ…”
ทว่า ‘ชิงซี’ สองคำนี้ยังไม่ทันได้ออกจากปากของต้วนมู่เจ๋อ โดยฉับพลัน เขาเห็นตู้ชิงซีหันมาจ้องมองเขาอย่างเย็นชา หัวใจของต้วนมู่เจ๋อสั่นสะท้านขึ้นมาในบัดดลและกลืนสิ่งที่กำลังจะพูดกลับเข้าไป จากนั้นท่าทีของเขาก็กลายเป็นเขินอายแทน
เฉินซีไม่ได้สนใจเรื่องทั้งหมดนี้ เนื่องจากความสนใจของเขาถูกดึงดูดไปที่บทสนทนาอันไกลลิบ ณ ตรงนั้น
“แปลกเสียจริง เหตุใดวันนี้ถึงมีผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลมามากมายนัก? ความจริงควรมีแค่ผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อกำเนิด หรือต่ำกว่าเท่านั้นที่เข้าสู่ดินแดนรกร้างใต้พิภพได้ไม่ใช่หรือ”
“มันแปลกมาก ไม่เพียงแต่มีผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลอยู่ที่นี่สำหรับการทดสอบดินแดนรกร้างใต้พิภพในปีนี้ แม้แต่ผู้บ่มเพาะจากนอกเมืองหมอกสนก็มีจำนวนคนมากกว่าครึ่งหนึ่ง ฉากที่งดงามเช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อนในอดีต!”
“ชู่ว! มีอะไรให้ต้องรู้สึกแปลกกัน ผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลเพียงต้องการยาผนึกแก่นแท้เท่านั้น เพื่อควบคุมระดับการบ่มเพาะที่สูงเกินไปให้อยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบ การเข้าสู่ดินแดนรกร้างใต้พิภพย่อมนับเป็นเรื่องง่ายสำหรับพวกเขา”
“เป็นเช่นนั้น? แต่หากพวกเขาเข้าร่วมไม่ใช่ว่าสุดท้ายแล้ว ผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อกำเนิดอย่างเราจะได้ไข่มุกปีศาจเพียงก้อนเดียวกลับมาหรอกหรือ?”
“อย่ากังวลไป ภูมิหลังของผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลนั้นยอดเยี่ยมมาก ด้วยตัวตนของพวกเขาจะมาสนใจกับแค่ไข่มุกปีศาจก้อนนี้หรือ? ข้าว่าวัตถุประสงค์ของพวกเขาคือ การหาที่พำนักของเซียนกระบี่ที่เคยก่อให้เกิดข้อถกเถียงกันมากในตอนนั้นเสียมากกว่า และแม้ว่าจะไม่ใช่แต่พวกเขาก็มาที่นี่เพราะเรื่องอื่นอยู่ดี และถึงอย่างนั้น พวกเขาย่อมไม่ได้มาที่นี่เพื่อไข่มุกปีศาจอย่างแน่นอน”
…
ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดกลุ่มของตู้ชิงซีถึงมาที่นี่ นั่นเพราะมันมีความเป็นไปได้ว่าพวกเขาสามารถได้รับยาผนึกแก่นแท้ ที่สามารถลดระดับการบ่มเพาะของพวกเขาให้อยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดได้ เดิมทีเฉินซียังคงสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เมื่อเขาได้ยินการสนทนาจากฝูงชนรอบข้าง เขาก็เข้าใจในทันที ทว่าหลังจากนั้นเขาก็ขมวดคิ้วมุ่น อันใดคือที่พำนักของเซียนกระบี่?
ทว่าสิ่งที่ทำให้เฉินซีรู้สึกตกใจมากที่สุดคือ ยามนี้เขาได้เห็นตู้ชิงซี ต้วนมู่เจ๋อ ซ่งหลิน ซูเจียวและฉางปิน ห้าบุคคลสำคัญที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์แห่งเมืองทะเลสาบมังกร และภูมิหลังของพวกเขาแต่ละคนล้วนน่าเกรงขามไม่ต่างกัน นี่ยังไม่นับผู้บ่มเพาะคนอื่นที่มีความแข็งอันน่าสะพรึงเก็บซ่อนไว้และหลบอยู่ในเงามืดอีก
“พี่ฉาง ลงไปรอด้วยกันเถิด ดินแดนรกร้างใต้พิภพใกล้จะปรากฏแล้ว” ซูเจียวพยักหน้าเบา ๆ ให้ฉางปินที่อยู่กลางอากาศเช่นเดียวกัน สายตาของนางเรียบนิ่งเป็นอย่างมาก อารมณ์ของนางราวกับธารน้ำที่ไหลอย่างเชื่องช้า และเมื่อนางพบเป้าหมายอย่างรวดเร็ว นางก็ลงไปที่ด้านล่างในทันที
“ตามใจเจ้า” ฉางปินหัวเราะ ขณะที่เขาเก็บกระบี่วิญญาณโลหิตบงกชสีชาดและตามนางลงไปข้างล่าง
ในบรรดาพวกเขาทั้งสองคนนั้น คนหนึ่งมีนิสัยไม่แยแส ส่วนอีกคนหนึ่งเย่อหยิ่งและไม่เป็นมิตร แต่การบ่มเพาะและอัตลักษณ์ของพวกเขานับว่าตกตะลึงเป็นอย่างมาก ขณะที่พวกเขาลงมาที่พื้น ฝูงชนก็เปิดเส้นทางให้แก่คนทั้งสองคนทันที
ซูเจียวหาได้สนใจสายตาของคนรอบข้างที่จับจ้องมาอย่างร้อนแรง นางเพียงเดินตรงไปยังที่ตั้งกลุ่มของเฉินซี ก่อนจะหยุดเดินและยิ้มอ่อนหวานออกมา “ศิษย์พี่ต้วนมู่ ศิษย์พี่ซ่ง ข้าไม่คิดเลยว่าท่านสองคนจะอยู่ที่นี่ด้วย”
“ศิษย์น้องซู ดีจริงที่เจ้าอยู่ที่นี่ด้วย” ต้วนมู่เจ๋อยืนขึ้นและยิ้มบาง ๆ ขณะที่พูด เมื่อเขาอยู่ในอาภรณ์สีขาวตามปกติ ทำให้ภาพลักษณ์ยังคงหล่อเหลาเช่นเคย และยามเขากล่าววาจานี้ออกมา ก็ยิ่งทำให้ท่าทางที่สง่างามของเขาเพิ่มมากขึ้นไปอีกจนถึงขั้นที่มิมีผู้ได้จับผิดได้
แต่เมื่อเทียบกับฉางปินที่ยืนอยู่ข้างซูเจียว อารมณ์และรูปลักษณ์ของพวกเขานับว่าแตกต่างกัน ถึงอย่างนั้นคนทั้งคู่ก็ยังเผยให้เห็นท่าทางที่มั่นใจและดูแข็งแกร่ง ซึ่งเข้ากันได้ดี
“โอ้ ข้าง่วงนอนมาก พวกเจ้าคุยกันไปเถิด” ซ่งหลินกลับหาได้แยแสสถานการณ์ไม่ เขายังคงนอนอยู่ตรงนั้นราวกับสุนัข และในขณะที่เขาพึมพำ เปลือกตาของเขาก็เริ่มหย่อนลงอีกครั้ง จนในที่สุดเขาก็หลับสนิทและกรนเสียงดังออกมา
เมื่อเปรียบเทียบกับต้วนมู่เจ๋อและฉางปินแล้ว ซ่งหลินที่เกียจคร้านและชอบนอนดูไม่เหมือนกับคนที่มาจากหนึ่งในหกตระกูลที่ยิ่งใหญ่ของเมืองทะเลสาบมังกร นั่นคือตระกูลซ่ง!
ซูเจียวยิ้มบาง นางหันไปมองตู้ชิงซีที่อยู่ใต้ผ้าคลุมสีดำแทน “พี่ใหญ่ชิงซี ท่านก็มาหาที่พำนักของเซียนกระบี่ด้วยหรือ?”
“เจ้าคิดอย่างไรเล่า?” น้ำเสียงของนางที่เอ่ยออกไปเย็นชาดุจน้ำแข็ง ตู้ชิงซีจับผืนผ้ายกเอาผ้าคลุมสีดำที่คลุมศีรษะออก เผยให้เห็นดวงหน้าที่เย็นชาและงดงามของนาง นัยน์ตาที่ทอประกายดุจดาราของนางกระจ่างใสราวกับวารี ริมฝีปากเป็นกระจับของนางแดงระเรื่อเหมือนกับสีของดอกกุหลาบ และใบหน้าพิสุทธิ์ของนางก็ราวกับบงกชที่เบ่งบานอยู่ในสระ ดูงดงามและตรึงตรา
เมื่อเหล่าคนรอบข้างได้เห็นรูปลักษณ์ของตู้ชิงซี พวกเขาทั้งหมดต่างตกตะลึงไปและบังเกิดความประหลาดใจเป็นอย่างมากกับความงามของนาง
“แน่นอน มิฉะนั้นแล้ว เหตุใดพี่ใหญ่ชิงซีถึงได้มาอยู่ที่เมืองหมอกสนเล็ก ๆ แห่งนี้นานนักเล่า?” ซูเจียวยิ้มเล็กน้อย “ย่อมเพียงเพราะที่พำนักของเซียนกระบี่เป็นแน่ และหากเป็นเรื่องนี้จริง ข้าย่อมไม่ประนีประนอมเช่นกัน แม้ว่าท่านจะเป็นพี่ใหญ่ของข้าก็ตาม”
“เนื่องจากเป็นเช่นนั้น เราจะใช้สิ่งนั้นตัดสินผู้ชนะในดินแดนรกร้างใต้พิภพ” ตู้ชิงซีตอบอย่างตรงไปตรงมา น้ำเสียงของนางเย็นเยียบเหมือนเช่นเคย และให้ความรู้สึกว่านางได้ตัดสินใจที่จะฆ่าลงไปแล้ว
“นั่นคือสิ่งที่ข้าตั้งใจไว้เช่นกัน” ซูเจียวยิ้มขณะที่ตอบ จากนั้นนางก็จ้องมองไปทางด้านข้าง ที่ตรงนั้นมีเฉินซีนั่งไขว่ห้างมองเหตุการณ์ทุกอย่างอยู่
นอกจากการปรากฏตัวของซูเจียวและฉางปินแล้ว ผู้คนในบริเวณโดยรอบก็ต่างจ้องมองมาที่พวกเขาแล้ว ต้วนมู่เจ๋อมาถึงก่อนเวลาและทุกคนก็ได้รู้จักตัวตนของเขาแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นยามซูเจียวเรียกชื่อตู้ชิงซี ทำให้ผู้คนได้เห็นรูปลักษณ์ที่งดงามและแสนละเอียดอ่อนของนาง คนส่วนใหญ่จึงสามารถเดาได้ว่า สตรีนางนี้ย่อมต้องเป็นอัจฉริยะจากตระกูลตู้แห่งเมืองทะเลสาบมังกรแน่นอน อีกอย่าง ตู้ชิงซีถูกขนานนามว่าเป็นหนึ่งในสองความภาคภูมิใจของเมืองทะเลสาบมังกร คู่กับซูเจียว!
สำหรับซ่งหลิน เพียงแค่ได้ยินชื่อของเขา ทุกคนก็รู้ว่าสหายที่เกียจคร้านและง่วงนอนผู้นี้ มาจากตระกูลซ่งของหกตระกูลที่ยิ่งใหญ่แห่งเมืองทะเลสาบมังกร
ตระกูลซู ตระกูลฉาง ตระกูลต้วนมู่ ตระกูลตู้ ตระกูลซ่ง… ชายหนุ่มและหญิงสาวทั้งห้าคนนี้ มาจากหกตระกูลใหญ่ของเมืองทะเลสาบมังกรตามลำดับ ที่ยิ่งกว่านั้น พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นบุคคลที่โดดเด่นที่สุดในหมู่อัจริยะรุ่นเยาวน์ด้วย เพราะอย่างนั้น หากเป็นภายใต้สถานการณ์ปกติ ผู้คนที่มาที่นี่จะได้เห็นการรวมตัวที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร?
ดังนั้นในยามนี้ เมื่อพวกเขาได้เห็นซูเจียวจ้องมองเฉินซี ผู้คนที่อยู่รอบข้างก็อดไม่ได้ที่จะเดาในใจว่า ‘ชายคนนี้คือผู้ใดกัน? การที่เขาสามารถรวมกลุ่มกับอัจฉริยะรุ่นเยาว์ทั้งห้า ที่มีภูมิหลังล้ำลึกและการบ่มเพาะที่ยอดเยี่ยมได้ เป็นไปได้หรือไม่ว่า เขาจะเป็นศิษย์จากหนึ่งในหกตระกูลใหญ่สุดท้าย…ตระกูลฟาง?’
และแน่นอนว่ายามนี้ เฉินซีผู้ซึ่งนั่งไขว่ห้างอยู่บนพื้นได้กลายเป็นจุดสนใจของทุกคนอย่างไม่ต้องสงสัย