บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 383 บัลลังก์เทพเต๋าแห่งการต่อสู้ปรากฏขึ้น
บทที่ 383 บัลลังก์เทพเต๋าแห่งการต่อสู้ปรากฏขึ้น
คนที่กล่าวอยู่ในขณะนี้คือ หญิงสาวอายุประมาณสิบเจ็ดปีในเสื้อคลุมหรูหราสีเหลืองสดที่ปักด้วยลวดลายวิหคอมตะ นางสวมมงกุฎขนนก หน้าผากของนางโค้งมนได้รูปและขาวราวกับหยก คิ้วโก่งสีดำ มีดวงตากลมโตที่เปล่งประกายราวกับผลึกแก้วที่เต็มไปด้วยความชีวิตชีวา
ผิวของนางขาวราวกับหิมะ อ่อนโยนและสง่างาม แม้ว่านางจะดูอ่อนเยาว์ แต่รูปร่างก็สูงเพรียวพร้อมกับเอวที่คอดกิ่วยืดหยุ่นได้เหมือนอสรพิษ ขาของนางยาวและเรียวบาง ทำให้ส่วนโค้งของนางดูงดงามอย่างมาก
ในขณะนี้ นางยืนอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง และทุกอิริยาบถที่นางได้แสดงออกมาก็เปล่งกลิ่นอายอันสูงส่ง ทำให้นางดึงดูดความสนใจจากสายตานับไม่ถ้วน
นางคือบุตรีคนสุดท้องของจักรพรรดิฉู่ที่มีนามว่า หวงฝู่ฉิงอิง!
ทุกคนไม่สามารถเข้าใจได้ว่า เหตุใดหวงฝู่ฉิงอิงผู้ได้รับการยกย่องจึงสนทนากับเฉินซีอยู่ในขณะนี้ ยิ่งกว่านั้นยังอยู่ภายใต้การจ้องมองของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นและไม่ได้มีทีท่าปิดบังเลยแม้แต่น้อย นางกำลังคิดจะทำสิ่งใดอยู่?
เฉินซีตกตะลึงและเขาก็แน่ใจเป็นอย่างยิ่งว่า ตนเคยพบกับบุตรสาวของจักรพรรดิฉู่คนนี้เพียงครั้งเดียว และตั้งแต่ต้นจนจบพวกเขาก็ไม่ได้พูดคุยกันเลยแม้แต่น้อย ทำให้คนทั้งคู่ไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว
“นี่ เจ้ามัวยืนทำอะไรอยู่!? มายืนข้างข้าซะแล้วจะไม่มีใครกล้ารังแกเจ้าอีก!” เมื่อนางเห็นว่าเฉินซีไม่ได้มีทีท่าจะเคลื่อนไหว หวงฝู่ฉิงอิงก็ขมวดคิ้วขณะที่นางกล่าวออกไปด้วยความไม่พอใจ
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ถูกกล่าวออกไป เสียงหอบหายใจก็ดังก้องไปทั่วบริเวณโดยรอบอีกครั้ง “สวรรค์! เจ้าเด็กคนนี้ไม่เพียงได้รับความโปรดปรานจากเจิ้นหลิวชิง แม้แต่องค์หญิงก็ดูเหมือนจะต้องการปกป้องเขาด้วย”
นายน้อยโจว อันเชี่ยนอวี้ หวังเต้าซวี่และคนอื่น ๆ ก็ประหลาดใจเช่นกัน แต่ไม่ว่าในกรณีใด หากเฉินซีได้รับการคุ้มครองจากหวงฝู่ฉิงอิง พวกเขาก็จะได้รับประโยชน์ไม่มากก็น้อยจากการได้คบหากับเฉินซีและมันจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
“ไปเถอะ เจ้าไม่ต้องกล่าวถึงสิ่งอื่นใด ถ้าเจ้าสามารถติดตามอยู่ข้างกายหวงฝู่ฉิงอิงได้ ก็คงไม่มีใครกล้าเป็นศัตรูกับเจ้า” เจิ้นหลิวชิงเป็นคนฉลาดและเข้าใจได้ทันทีว่าเหตุใดเฉินซีถึงลังเล
“เช่นนั้นข้าก็ขอบพระทัยองค์หญิงสำหรับความกรุณา” เฉินซีประสานกำปั้นของเขาจากระยะไกลโดยไม่ลังเล ก่อนนำกลุ่มของเขาไปรวมตัวกับหวงฝู่ฉิงอิง
เมื่อทุกคนเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ สีหน้าของหวงฝู่ฉงหมิง หลินโม่เซวียนและคนอื่น ๆ ก็หม่นหมองลงอย่างมาก และพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในห้วงทะเลทรายมรณะ…
ทุกครั้งที่พวกเขากำลังจะบดขยี้เฉินซีได้ อาจเป็นเพราะโชคชะตาของเฉินซีที่ท้าทายสวรรค์เกินไปหรือโชคของพวกเขาเองที่แย่เกินไป …แต่สิ่งที่ไม่คาดฝันจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาวิกฤตเสมอ!
เหตุการณ์เบื้องหน้านี้กับเหตุการณ์ในวันนั้นแตกต่างกันตรงไหนนะ?
“อย่าได้ลงมือผลีผลาม เมื่อมีเจิ้นหลิวชิงกับหวงฝู่ฉิงอิงอยู่ด้วย แม้แต่ข้าก็ไม่กล้าที่จะลงมือ จงอดทนไว้ก่อน แล้วสักวันโอกาสที่จะฆ่ามันได้ก็จะมาถึงเอง!” หวงฝู่ฉางเทียนเห็นท่าทางที่ไม่ค่อยน่าดูและมืดมนของน้องชายของเขา ทั้งยังมีเปลวไฟแห่งความโกรธกำลังเผาไหม้อยู่ภายในดวงตาของผู้เป็นน้องชายอย่างชัดเจน เขาจึงขมวดคิ้วและกล่าวเตือนในทันที
แม้ว่าหวงฝู่ฉงหมิงจะไม่เต็มใจอย่างยิ่ง แต่เขาก็ทำได้เพียงพยักหน้ารับ
“เจ้าไม่จำเป็นต้องคาดเดา พี่ใหญ่ย่าชิงเป็นคนขอให้ข้าดูแลเจ้า” ที่ด้านหน้าของจัตุรัส หวงฝู่ฉิงอิงมองไปยังเฉินซี ก่อนที่นางจะส่งสายตาให้กับชายหนุ่มด้วยความใคร่รู้ขณะที่กล่าวว่า “ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าเจ้ามีดีอันใดกันแน่ เหตุใดพี่ใหญ่ย่าชิงถึงชอบเจ้านัก”
ในเวลาเดียวกัน เฉินซีก็เริ่มเข้าใจและเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเขินอาย เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างเขากับย่าชิงได้ถูกเปิดเผยต่อหน้าทุกคน ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาทนไม่ได้เช่นกัน
“ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าเจ้าจะเป็นหนุ่มเจ้าสำราญเช่นนี้ ส่วนสองคนนี้…” เมื่อนางเห็นเฉินซีนิ่งเงียบ สายตาที่ชาญฉลาดของหวงฝู่ฉิงอิงก็หันไปหาเจิ้นหลิวชิงกับฟ่านอวิ๋นหลาน นางจ้องพวกนางตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าและกำลังจะเยาะเย้ยเฉินซี แต่จู่ ๆ นางก็สังเกตเห็นรังสีคุกคามฉายออกมาจากดวงตาของหญิงสาวทั้งสอง ทำให้นางเม้มปากและหยุดกล่าว
เมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนที่จัตุรัสกลางก็เพิ่มจำนวนมากขึ้น ทำให้บรรยากาศ ณ ที่ตรงนี้ยิ่งเงียบงัน หนักอึ้ง และอึดอัด จนแม้แต่อากาศรอบข้างก็ดูเหมือนกับว่าถูกแช่แข็ง
“โอม!” ท่ามกลางความเงียบงัน จู่ ๆ ก็เกิดความผันผวนแปลก ๆ ไปทั่วท้องฟ้าและผืนดิน
ไม่นานหลังจากนั้นได้มีกลุ่มหมอกพวยพุ่งออกมาจากทั่วทุกมุมของแผ่นดินอันไร้ขอบเขต ซึ่งดูคล้ายกับคลื่นยักษ์สีขาวกำลังคำรามอยู่
ครืนนนนน!
เสียงที่ดังขึ้นฟังดูเหมือนกับกองทหารกำลังควบม้าออกไปสู้รบ คลื่นหมอกที่พวยพุ่งดังกึกก้องราวกับว่าคลื่นยักษ์ที่ถาโถมซึ่งปกคลุมท้องฟ้าและผืนดินทั้งหมด
เมื่อหมอกอันน่าสะพรึงกลัวถาโถมมายังจุดที่พวกเขายืนอยู่ หัวใจของหลาย ๆ คนก็รู้สึกสั่นไหวขณะที่ใบหน้าของพวกเขาหนักอึ้งด้วยกลัวจะถูกหมอกกลืนหายไป ทว่าทันใดนั้นเองพวกเขาก็พบว่ามีแสงเจิดจ้าปรากฏขึ้นอย่างฉับพลันจากแท่นบูชาที่มีรอยด่างดำซึ่งอยู่ตรงกลางจัตุรัส มันช่างเจิดจ้าและแพรวพราว สาดส่องความศักดิ์สิทธิ์ออกไปยังทุกทิศทุกทาง ทำให้หมอกซึ่งพวยพุ่งจากทุกที่กลายเป็นเหมือนหิมะที่ละลายในน้ำและหายไปตามกาลเวลา
ด้วยปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นนี้ ทำให้ท้องฟ้าและผืนดินกลับคืนสู่ความสงบเช่นเดิม
“ระวัง! บัลลังก์เทพเต๋าแห่งการต่อสู้กำลังจะปรากฏขึ้นแล้ว!” ท่าทางของทุกคนดูตื่นเต้นเมื่อพวกเขาเห็นฉากนี้ และพวกเขาก็สะสมกำลังในขณะที่เตรียมพร้อมที่จะเข้าสู่สนามรบได้ทุกเมื่อ!
โอม! โอม! โอม!
ที่ใจกลางจัตุรัส แท่นบูชาสังเวยโบราณที่มีรอยด่างดำเป็นเหมือนเทพเจ้าที่ตื่นจากการหลับใหล และเปล่งคลื่นเสียงที่ทำให้ใจสั่นสะท้าน ราวกับระฆังโบราณที่ส่งเสียงกังวานและลดลงอย่างไพเราะตั้งแต่โบราณกาล ในขณะเดียวกันก็เหมือนกับการสวดอธิษฐานจากใจจริงของผู้คนในสมัยโบราณที่ถวายการบูชาแก่เทพเจ้า ทำให้ความเคารพอย่างไม่มีขอบเขตได้ผุดขึ้นในใจของผู้คน และดูเหมือนว่าจิตใจของพวกเขาจะได้รับการชำระล้าง ทำให้พวกเขารู้สึกถึงความสงบสุขทั้งภายในและภายนอก
ในเวลาเดียวกัน ณ นครหลวงธารสายไหม แท่นบูชาสังเวยเก้ามังกรที่เสียหายซึ่งเปรอะไปด้วยเลือดของมังกรศักดิ์สิทธิ์ได้เปล่งแสงจาง ๆ ราวกับว่ามันได้ฟื้นกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
“แท่นบูชาสังเวยเก้ามังกรกลับมามีชีวิตแล้ว!”
“เช่นนี้ก็หมายความว่าการทดสอบครั้งที่สอง การต่อสู้เพื่อยึดป้ายคำสั่งเต๋าแห่งการต่อสู้ได้สิ้นสุดลงแล้ว และหมายความว่าจะมียอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นทั้งสามพันหกร้อยคนได้เข้าสู่ดินแดนเต๋าแห่งการต่อสู้”
“ถูกต้อง ในอีกไม่นาน บัลลังก์เทพเต๋าแห่งการต่อสู้หนึ่งร้อยแท่นจะปรากฏขึ้น เมื่อถึงเวลานั้นการต่อสู้จะต้องดุเดือดอย่างแน่นอน น่าเสียดายที่เราไม่สามารถเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในนั้นได้”
แม้ว่าผู้บ่มเพาะทั้งหมดในนครหลวงธารสายไหมจะไม่สามารถมองเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับดินแดนเต๋าแห่งการต่อสู้ แต่หลังจากที่พวกเขาได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในแท่นบูชาสังเวยเก้ามังกร พวกเขาก็รู้ความคืบหน้าของการชุมนุมดาวรุ่งในทันที
ใต้แท่นบูชาสังเวยเก้ามังกรที่ความลึกเกือบร้อยห้าสิบลี้เป็นพื้นที่ที่มีขนาดใหญ่ และหวงฝู่จ้งหลิงผู้เป็นจักรพรรดิฉู่ในชุดคลุมสีดำและยืนอยู่ที่นั่นอย่างภาคภูมิขณะที่ชุดคลุมปลิวไสว ดวงตาของเขามีประกายสายฟ้าแลบเมื่อดวงอาทิตย์และดวงจันทร์หมุนวนอยู่ภายใน ทำให้ดูเหมือนเป็นดั่งเทพเจ้า
“ในที่สุดพวกเขาก็เข้าสู่การทดสอบที่สาม ถึงเวลาเปิดสระมังกรแปลงแล้ว…” ท่ามกลางเสียงถอนหายใจที่ราวกับเสียงฟ้าร้อง จักรพรรดิฉู่สะบัดแขนเสื้อของเขาออกไป ส่งแสงศักดิ์สิทธิ์จำนวนมหาศาลที่ทำให้พื้นที่ทั้งหมดปกคลุมไปด้วยสีทองพร่างพราวในทันที
โฮกกก! โฮกกก! โฮกกก!
คลื่นเสียงคำรามของมังกรที่เขย่าขวัญได้ดังก้องออกมาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่วิญญาณของมังกรเก้าตัวได้ควบแน่นเป็นรูปเป็นร่างและล้อมรอบสระน้ำขนาดใหญ่ขณะที่พวกมันลอยวนไปรอบ ๆ
ในทางกลับกัน ก้นสระที่แต่เดิมแห้งขอดก็ค่อย ๆ พรั่งพรูออกมาด้วยกระแสของเหลวข้นสีทองที่เหมือนกับเลือด ก่อนที่มันจะก่อตัวขึ้นเป็นไข่มุกที่เปล่งกลิ่นอายของมังกรอันทรงพลังออกมา!
“สระมังกรแปลงได้ถูกปิดตายมานับพันปี และพลังงานมังกรที่สะสมอยู่ภายในนั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เหล่าผู้บ่มเพาะรุ่นเยาว์ทั้งสิบคนได้รับการหล่อหลอมใหม่ทั้งหมด…” จักรพรรดิฉู่กวาดตามองไปที่ก้นสระในขณะที่เขาพยักหน้าเบา ๆ
ที่จัตุรัสกลางของดินแดนเต๋าแห่งการต่อสู้
เมื่อพวกเขาเห็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้เกิดขึ้นจากแท่นบูชา ทุกคนที่อยู่รอบข้างต่างก็เบิกตากว้างขณะที่จ้องมองไปที่มัน
ครืนน! ครืนนน!
ภายใต้สายตาที่จดจ้องของทุกคนที่อยู่ที่นั่น เสาแสงสีทองจำนวนมากได้พุ่งออกมาจากบริเวณรอบจัตุรัสอย่างฉับพลัน และพวกมันก็พุ่งขึ้นสู่ขอบฟ้าด้วยพลังอันแรงกล้า เมื่อผู้คนนับมันอย่างระมัดระวัง เสาแสงสีทองที่เพิ่งเกิดขึ้นเหล่านี้มีจำนวนหนึ่งร้อยสาย และมันได้กระจายออกไปเป็นรูปทรงกลมโดยมีแท่นบูชาเป็นจุดศูนย์กลาง
หลังจากนั้นเสาแสงจำนวนมากก็รวมตัวกันเป็นบัลลังก์เทพเต๋าแห่งการต่อสู้แต่ละบัลลังก์ พวกมันถูกสร้างขึ้นจากทองคำทั้งหมดและยังก็เปล่งกลิ่นอายอันสูงส่ง ศักดิ์สิทธิ์ และยิ่งใหญ่ออกมา
สิ่งเหล่านี้คือบัลลังก์เทพเต๋าแห่งการต่อสู้! ตามตำนานเล่าขานกันไว้ว่า มันเป็นวัตถุที่น่าอัศจรรย์ซึ่งทำให้คนได้รับกระบวนยุทธ์ระดับเต๋าจากการนั่งขัดสมาธิและทำความเข้าใจกับมัน
และมันก็จัดเป็นการทดสอบครั้งที่สามของการชุมนุมดาวรุ่ง เนื่องจากมีผู้บ่มเพาะเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะคว้าบัลลังก์แห่งสวรรค์ เพื่อที่จะสามารถเข้าสู่การทดสอบขั้นสุดท้าย ซึ่งเป็นการแข่งขันของยอดฝีมือทั้งหนึ่งร้อยคน!