บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 393 เนตรเทวะแห่งความจริง
บทที่ 393 เนตรเทวะแห่งความจริง
ดวงตาของชิงซิ่วอี้ใสกระจ่างราวกับหยาดน้ำ ทั่วร่างปกคลุมไปด้วยหมอกหนา ราวกับว่านางเป็นเทพีจากสรวงสวรรค์อันสูงส่ง
นางเงยหน้าขึ้นมองรัศมีกลางอากาศที่ปล่อยลมปราณกว้างใหญ่และศักดิ์สิทธิ์ออกมา แววแห่งความภาคภูมิใจวาดผ่านนัยน์ตา เห็นได้ชัดว่านางค่อนข้างพอใจกับผลลัพธ์ในครั้งนี้
หลังจากที่นางถอนสายตาออกไป ชิงซิ่วอี้ก็เหลือบมองเฉินซีที่ยังคงนั่งเงียบงันอยู่ใกล้ ๆ ทำเอาหญิงสาวตกตะลึงไปเล็กน้อยก่อนจะตกอยู่ในภวังค์ความคิด
นางจำได้ชัดเจนว่าตนเป็นคนสุดท้ายที่เดินออกมาจากแท่นบูชาเต๋าแห่งการต่อสู้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เฉินซีควรจะทิ้งมันไปนานแล้ว แต่ขณะนี้เขายังคงนิ่งเฉยอยู่ หรืออีกฝ่ายจะกลับมาจากแท่นบูชาทั้งมือเปล่ากัน?
ตู้ม!
ทว่าขณะที่ชิงซิ่วอี้กำลังสับสนอยู่ ความผันผวนอย่างรุนแรงก็แผ่ออกมาจากบัลลังก์เทพเต๋าแห่งการต่อสู้ที่เฉินซีนั่งอยู่!!
มาแล้วรึ!?
เมื่อสังเกตเห็นความผันผวนนี้ ทุกคนในนครหลวงธารสายไหมก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเหนือร่างเฉินซีอย่างพร้อมเพรียงกัน
ครืน!
มันแตกต่างจากพลังผันผวนของทุกคนก่อนหน้านี้ นภามืดสนิทราวกับเกิดเมฆดำทมิฬปกคลุมทั่วฟ้า ขณะที่อสนีบาตดังก้องอยู่ทั่วหล้าหายไป ทุกคนสังเกตเห็นมันและประหลาดใจเมื่อเห็นท้องฟ้าถูกเงามืดปกคลุม
ประหนึ่งมีเมฆดำปกคลุมท้องฟ้าไว้ ทำให้สวรรค์และโลกคล้ายจะตกอยู่ในห้วงรัตติกาลตั้งแต่หัววัน
นภามืดมิด! กลางทิวาเปลี่ยนเป็นราตรี!
ทุกคนพลันอึ้งไป กระบวนยุทธ์ระดับเต๋าวิชาใดที่จะสามารถสร้างปรากฏการณ์ยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้กัน?
แม้แต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีทั้งหมดในพระราชวังธารสายไหมยังเผยให้เห็นสีหน้าตกใจ แสงเย็นยะเยือกไร้ขอบเขตพลันแผ่ออกจากดวงตา ดูราวกับอยากจะสอดรู้ความลับของปรากฏการณ์บนฟ้า แต่ก็กลับมามือเปล่า
แต่เป็นสิ่งนี้เองที่ทำให้พวกเขาตกใจ ปรากฏการณ์ยิ่งใหญ่แห่งฟ้าดินไม่เคยปรากฏขึ้นในการชุมนุมดาวรุ่งครั้งใดมาก่อน ชายคนนั้นได้วิชากระบวนยุทธ์ระดับเต๋าอะไรมากันแน่?
ทั้งนครหลวงธารสายไหมถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิด… เป็นความดำมืดที่เงียบสงัด ไม่มีเสียงลมแม้แต่น้อย ราวกับทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบงันอันเป็นนิรันดร์
ขณะที่จ้องปรากฏการณ์น่ากลัวนี้ ใบหน้าของทุกคนแต้มไปด้วยความประหลาดใจ แม้แต่ใบหน้าของชิงซิ่วอี้ จ้าวชิงเหอ หวงฝู่ฉางเทียน และคนอื่น ๆ ก็ถึงกับแข็งค้างไปเล็กน้อย
เป็นความเงียบประหลาดนี้เองที่พลันเกิดดวงตาลึกลับอันลึกล้ำยิ่งปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า
นี่มันดวงตาอะไรกัน!
มันมีสีดำสนิท ประดับด้วยแสงไฟนับไม่ถ้วนที่ลอยอยู่ภายใน อักขระยันต์นับไม่ถ้วนพลันปรากฏขึ้น
ความแปรปรวนของท้องนภา การโคจรอันผิดเพี้ยนของดวงดารา และความอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า สร้างความตกตะลึงให้แก่สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนในใต้หล้า… ราวกับว่ามันเป็นปรากฏการณ์อันลึกล้ำไร้ที่สิ้นสุดแห่งจักรวาล!
เมื่อมองจากระยะไกล ประหนึ่งแม้แต่จิตวิญญาณก็อาจจะถูกมันกลืนหายไปได้!
ภายใต้การจ้องมองของดวงตาที่เหมือนดั่ง ‘เนตรสวรรค์’ ทุกคนในที่นี้พลันรู้สึกราวกับถูกอ่านใจและล้วงลึกไปถึงจิตวิญญาณ …ราวกับความลับทั้งหลายถูกเนตรดวงนั้นมองออกทั้งสิ้น!
ความเย็นเยียบพลันแผ่ซ่านในทุกหัวใจอย่างรวดเร็ว เหล่าผู้ชมต่างนิ่งอึ้ง ราวกับถูกเปลื้องอาภรณ์ต่อสายตาธารกำนัล
ราวกับไม่อาจปิดบังตนได้ …ไม่อาจฝืนต้านสายตาคู่นั้นได้!
ดวงตาที่ลึกล้ำไร้ขอบเขตนี้พลันหายไปในพริบตา ราวกับว่ามันไม่เคยปรากฏขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อมันหายไป ความมืดที่ปกฟ้าคลุมดินก็เลือนหาย ทำให้ฟ้ากระจ่างส่องสว่างไปทั่วดินแดนอีกครั้ง
“เฮ้อ!” ทุกคนถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอกพร้อมกันเมื่อได้เห็นดังนี้ ยังรู้สึกถึงความกลัวที่ลอยคว้างอยู่ในใจตนได้
ทว่าจากนั้นก็อดตกตะลึงในใจไม่ได้ นี่มัน… วิชาอะไรกัน?
ภายในพระราชวังธารสายไหม
“พลังอิทธิฤทธิ์ เนตรเทวะแห่งความจริง!”
“นี่คือพลังอิทธิฤทธิ์อันน่าเกรงขามที่ติดหนึ่งร้อยอันดับเทียบพลังอิทธิฤทธิ์ทองคำแห่งมิติที่สามนี่ มันมาปรากฏอยู่ในแท่นบูชาเต๋าแห่งการต่อสู้ได้อย่างไรกัน?”
“ใช่แล้ว! ไม่ต้องกล่าวถึงในราชวงศ์ซ่งของเราเลย พลังอิทธิฤทธิ์เช่นนี้ กระทั่งในแดนภวังค์ทมิฬยังหาได้ยาก เฉินซีได้มันมาได้อย่างไรกัน? โชคชะตาของสหายผู้นี้มิท้าทายสวรรค์เกินไปหน่อยหรือ?”
ต่างจากผู้บ่มเพาะในนครหลวงธารสายไหม ผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีทุกคนสามารถแยกแยะพลังอิทธิฤทธิ์ที่เฉินซีได้รับมาได้ทันทีจนเกิดเสียงอื้ออึงขึ้นทันใด!
บัดซบ! ทำไมหัวขโมยตัวน้อยน่ารังเกียจนี่ถึงได้รับพลังอิทธิฤทธิ์ที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้กันนะ? ไม่ยุติธรรม… สวรรค์จะไม่ยุติธรรมเกินไปแล้ว! ภายในห้องโถง สีหน้าของหวงฝู่จิ่งเทียนและคนอื่น ๆ ดูน่ากลัวนัก ขณะที่ดวงตาเผยให้เห็นถึงความขุ่นเคืองและความโกรธแค้น
จิตสังหารที่พวกเขามีต่อเฉินซีนั้นลึกล้ำนัก ชนิดที่ไม่อาจประนีประนอมกันได้ เพราะอย่างไร พวกเขาก็ได้มอบหมายให้ตำหนักตะวันดำลอบสังหารเฉินซีไปก่อนหน้า ดังนั้นเมื่อเฉินซีแกร่งขึ้น มีหรือจะไม่กลับมาแก้แค้นพวกเขาได้?
ไม่ต้องพูดถึงศิษย์สายหลักจำนวนมากของนิกายที่ถูกเฉินซีทำลายไปเลย จิตสังหารนี้ไม่อาจคลายลงได้แน่นอน
ชายคนนี้ต้องถูกกำจัด!
แน่นอนว่าหากเฉินซีสามารถติดสิบอันดับแรกของการชุมนุมดาวรุ่งได้ หวงฝู่จิ่งเทียนและคนอื่น ๆ ก็ทำได้เพียงกลืนความขมขื่นลงท้องไป เพราะหากลงมือกับเฉินซี จักรพรรดิฉู่จะต้องจัดการกับพวกเขาเป็นคนแรกแน่!
เหตุผลนั้นง่ายมาก ศิษย์ที่ติด 10 อันดับแรกของการชุมนุมดาวรุ่งได้ย่อมมีคุณสมบัติในการเข้าสู่สมรภูมิบรรพกาล หากพวกเขาโชคดีพอได้เข้าไปในแดนภวังค์ทมิฬ เช่นนั้นก็สามารถนำผลประโยชน์มาสู่ราชวงศ์ซ่งได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จักรพรรดิฉู่จะปล่อยให้ศิษย์ 10 อันดับแรกได้รับอันตรายได้อย่างไรกัน?
ข้าหวังว่าโจรน้อยน่ารังเกียจนี่จะล่าถอยยอมแพ้กลับไปโดยเร็ว! หวงฝู่จิ่งเทียนและคนอื่น ๆ รอคอยฝีเท้าของเฉินซีหยุดลงก่อนจะเข้าสู่ 10 อันดับแรกของการชุมนุมดาวรุ่งอยู่ในใจ
“การทดสอบครั้งที่สามสิ้นสุดลงแล้ว!” ทันใดนั้น เสียงดวงจิตของวัตถุโบราณแห่งพระราชวังธารสายไหมก็ดังก้องไปทั่วฟ้าดินจากกลางอากาศ
จากนั้น แสงสีทองนับไม่ถ้วนก็แผ่ลงจากฟ้า โอบล้อมร่างเฉินซี ชิงซิ่วอี้ จ้าวชิงเหอ และศิษย์คนอื่น ๆ ที่อยู่ใน 100 อันดับแรกไว้!
พริบตาต่อมา พวกเขาก็ถูกเคลื่อนไปที่จัตุรัสนอกพระราชพระราชวังธารสายไหมแล้ว!
กลับกันแล้ว ที่กลางอากาศ บัลลังก์ศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 100 แห่งและแท่นสังเวยโบราณที่อยู่ตรงจุดศูนย์กลางก็หายไป ไม่เหลือร่องรอยใดไว้อีก
ที่จัตุรัสด้านนอกพระราชพระราชวังธารสายไหม
จู่ ๆ เฉินซีและคนอื่น ๆ ก็ปรากฏขึ้น พวกเขาเหลือบมองกันแต่ไม่เอ่ยอันใด
ฟ้าว!
ชายชราที่สวมมงกุฎทรงสูงและสวมชุดโบราณปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาอย่างรวดเร็ว ทั่วร่างอาบไปด้วยปราณเซียน เงาร่างมองเห็นได้เพียงจาง ๆ เปล่งลมปราณน่าสะพรึงกลัวออกมาทั่วกาย
เฉินซีและคนอื่น ๆ ตกใจมาก พลันคิดได้ว่าชายชราผู้นี้คงจะเป็นดวงจิตของวัตถุโบราณแห่งพระราชวังธารสายไหม ตัวตนน่ายำเกรงที่แกร่งเทียบเท่ากับเซียนสวรรค์!
“พวกเจ้าทุกคนล้วนเป็นศิษย์ที่มีโชคลาภและมีพละกำลังเป็นเลิศที่สุดในบรรดาศิษย์รุ่นเดียวกัน การทดสอบขั้นสุดท้ายกำลังจะเริ่มขึ้น และการทดสอบนี้จะตัดสินว่าพวกเจ้าทุกคนจะได้รับ 10 อันดับแรกหรือไม่? ในอีกประเดี๋ยว… ” เมื่อเขาพูดถึงตรงนี้ ชายชราก็ชะงักไปเล็กน้อย และดูเหมือนจะได้ยินอะไรบางอย่าง หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดขึ้นอีกครั้ง “ไปกันเถอะ ฝ่าบาทต้องการพบพวกเจ้าทุกคนเป็นการส่วนตัว ก่อนทดสอบครั้งสุดท้าย”
ทุกคนตกตะลึงนัก การแข่งขันยังไม่จบ ทว่าจักรพรรดิฉู่ต้องการพบพวกข้าแล้วหรือ?
นี่เป็นเกียรติสูงสุดทีเดียว!
ตอนนี้ เฉินซีอดมีหวังในใจไม่ได้ จักรพรรดิฉู่องค์ปัจจุบัน… เขาจะยิ่งใหญ่และทรงพลังแค่ไหนกัน?
ควับ!
ชายชราสะบัดแขนเสื้อ รัศมีแสงที่กลืนไปกับปราณเซียนพลันส่องลงจากกลางอากาศ โอบล้อมร่างเฉินซีและคนอื่น ๆ ไว้ จากนั้นมันก็พุ่งเข้าสู่ร่าง
ทันใดนั้น พวกเขารู้สึกว่าปราณแท้และปราณจ้าววิญญาณที่เหือดหายไปนับตั้งแต่เริ่มการชุมนุมดาวรุ่ง ตอนนี้กลับฟื้นคืนดังเดิม บาดแผลหนักบางส่วนก็หายเป็นปกติ
ทั่วทั้งจิตวิญญาณฟื้นคืน กายใจบริบูรณ์ยิ่ง! “จำไว้ว่าพวกเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ส่งเสียงดังในพระราชวังธารสาย เข้าใจไหม?”
ที่นั่นมีผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพี ขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๋อยู่นับไม่ถ้วน พวกเจ้าห้ามหยาบคายโดยเด็ดขาด “เข้ามาสิ ตามข้าเข้ามา” ชายชราว่า ก่อนจะเดินไปทางพระราชวัง
เฉินซีและคนอื่น ๆ หายใจเข้าลึก ๆ อีกทั้งสีหน้ายังเคร่งขรึมขึ้น ขณะเดินตามชายชราไปอย่างใกล้ชิด
มีเพียงหวงฝู่ฉิงอิงเท่านั้นที่มีสีหน้าเฉยเมย ในฐานะที่เป็นธิดาที่จักรพรรดิฉู่รักมากที่สุด นางมักจะไปมาที่พระราชวังธารสายไหมอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นนางจึงไม่ได้เคารพที่แห่งนี้ ซึ่งเป็นตัวแทนแห่งอำนาจสูงสุดแห่งราชวงศ์ซ่งมากนัก
มีผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีอยู่เยอะจริง! ทันทีที่เข้าสู่ห้องโถง เฉินซีก็สังเกตเห็นได้ว่าทั้งสองฟากห้องโถงล้วนเต็มไปด้วยผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีมีมากกว่าร้อยคน!?!
ท่านพี่เป็นเพียงผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีคนเดียวในดินแดนทางใต้ แต่ข้ากลับได้มาเห็นอีกมากมายหลายคนที่นี่ ไม่แน่ว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีกว่าครึ่งของราชวงศ์ซ่งคงจะมารวมกันอยู่ที่นี่กระมัง?
เฉินซีตกตะลึงยิ่งนัก เขาสังเกตเห็นได้ชัดเจนว่าความผันผวนของพลังจำนวนมากปกคลุมทุกพื้นที่ภายในห้องโถง เป็นพลังอำนาจที่เผยจากกายผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพี แม้ว่ามันจะถูกปล่อยออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็ยังทำให้เฉินซีซึ่งยังคงอยู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางรู้สึกถึงแรงกดดันได้
“ฮึ่ม!” หวงฝู่จิ่งเทียนนั่งอยู่ในหมู่พวกเขาด้วย เมื่อเขาสังเกตเห็นเฉินซีเดินผ่านหน้าไป ประกายเย็นเยียบก็วาดผ่านนัยน์ตา พลางส่งเสียงคำรามเสียงออกมาอย่างเย็นชา เขาไม่คิดปกปิดความเป็นศัตรูต่อเฉินซีแม้แต่น้อย
ไม่ห่างกันนักคือโม่หลานไห่ นักพรตเต๋าหลงเหอ ท่านหลิวเสี่ยว ชงซวี่ ผู้ไร้การจองจำ และจ้าวจื๋อเหม่ยเองก็คำรามเสียงออกมาเช่นกัน
เฉินซีรู้ทันทีว่าสหายทั้งหกนี้เป็นคนในกลุ่มของหวงฝู่จิ่งเทียน
พร้อมกันนั้น เขาก็สังเกตเห็นว่าพี่ใหญ่เป่ยเหิงที่เขาไม่ได้เห็นมานานหลายปีพยักหน้าให้พร้อมรอยยิ้มจากไกล ๆ ซึ่งชายหนุ่มก็พยักหน้าเล็กน้อยตอบกลับ
“เอ๊ะ ทำไมเจ้าถึงพาสหายน้อยเหล่านี้มาที่นี่เล่า?” ขุนนางฝ่ายปกครองถามด้วยความประหลาดใจ
“ข้าอนุญาตให้พวกเขาเข้ามาเอง” ก่อนที่ชายชราจะพูดจบ จู่ ๆ ชายชุดดำที่ดูแข็งแกร่งและสง่างามก็แหวกมิติปรากฎกาย เขาเดินมาถึงบัลลังก์ที่ตั้งอยู่จุดศูนย์กลาง ซึ่งมีมังกรเก้าตัวประดับอยู่ รูปร่างของเขาดูธรรมดาทว่าหล่อเหลา ปลดปล่อยกลิ่นอายทรงอำนาสะท้านฟ้าสะเทือนดิน มองต่ำลงมาจากบนบัลลังก์
เขาคือจักรพรรดิฉู่องค์ปัจจุบัน ผู้ทรงอำนาจที่สุดแห่งราชวงศ์ซ่ง!
ฟึ่บ!
ผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีและขุนนางฝ่ายบุ๋นบู๊ทั้งหลายลุกขึ้นยืนอย่างพร้อมเพรียงกัน ก่อนจะโค้งถวายคำนับพลางเอ่ยว่า “คารวะฝ่าบาท!”
พริบตานั้น ภายใต้สัญญาณของชายชราที่สวมมงกุฎทรงสูง เฉินซีและคนอื่น ๆ ก็โค้งคำนับด้วยความเคารพเช่นกัน
“สหายเต๋า ได้โปรดนั่งลงเถอะ การชุมนุมดาวรุ่งเป็นงานใหญ่ที่เกิดขึ้นทุกหนึ่งร้อยปีของราชวงศ์ซ่งของข้า ไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตองเช่นนั้นหรอก คิดเสียว่าเป็นการรวมตัวกันพูดคุยเรื่องเต๋าก็พอ ส่วนสหายน้อยทั้งหลาย พวกเจ้าจงลุกขึ้นเถิด” จักรพรรดิฉู่โบกมือและไม่สนใจเรื่องพิธีการเหล่านี้เลย
ผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีทั้งหมดนั่งลงทันที ทว่าไม่กล้าส่งเสียงดังอีกต่อไป
ส่วนเฉินซีและคนอื่น ๆ ล้วนระมัดระวังกิริยาและสงวนท่าที พวกเขาย่อมไม่กล้าผ่อนคลายแม้แต่น้อย ในหัวก็กำลังคาดเดาไปต่าง ๆ นานา เหตุใดจักรพรรดิฉู่ถึงอยากพบพวกเรา?
หรือจะเกี่ยวข้องกับ… การแข่งรอบสุดท้ายของการชุมนุมดาวรุ่ง?