บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 4 ศัตรูผู้อยู่เบื้องหลัง
บทที่ 4 ศัตรูผู้อยู่เบื้องหลัง
มันยังไม่ถึงครึ่งวันเสียด้วยซ้ำ ท่านปู่และน้องชายของข้าก็ประสบอุบัติเหตุอย่างนั้นหรือ?
เป็นไปไม่ได้!
ถึงแม้ว่าชาวบ้านทั้งหลายจะเกลียดข้า และกล่าวหาว่าข้าเป็นตัวนำความโชคร้ายตั้งแต่เกิด แต่แค่เห็นหน้าข้าพวกเขาก็ยังรีบหนีไปให้ห่าง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่น่าใช่คนที่ทำให้ปู่และน้องชายของข้าเดือดร้อนเป็นแน่!
เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเป็นศัตรู?
เป็นพวกคนที่สังหารหมู่คนของตระกูลเฉินของข้าไปมากกว่าหนึ่งพันชีวิตในปีนั้นหรือไม่?
แต่มันก็ผ่านมาหลายปีแล้ว เหตุใดพวกมันถึงไม่สังหารพวกเราไปก่อนหน้านี้? แล้วไยพวกมันจึงต้องรอจนวันนี้?
เฉินซีรู้สึกว่าเลือดลมในร่างกำลังเดือดพล่าน เขาตึงเครียดจนศีรษะแทบระเบิด!
จากนั้นราวกับสัตว์ร้ายคลุ้มคลั่ง เฉินซีพุ่งตัววิ่งห้อสุดฝีเท้ามุ่งไปยังทิศทางประตูเมือง
“ท่านปู่และน้องชายของข้าจะต้องไม่เป็นอะไร… พวกเขาจะต้องไม่เป็น…!!!”
เฉินซีวิ่งไปตะโกนกรีดร้องไปตามถนนโดยไม่สนใจต่อสายตาของผู้ใด
แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาตอนกลางดึก แต่ในเมืองหมอกสนยังคงดูสว่างไสว โคมไฟหลากหลายชนิดถูกติดอยู่ทั่วเมือง
บนถนนนั้นยังคงเต็มไปด้วยผู้คน ทว่าบริเวณที่มีฝูงชนหนาแน่นที่สุดขณะนี้คือบริเวณนอกประตูเมือง
ที่นอกประตูเมืองขณะนี้มีสองร่างดึงดูดความสนใจของผู้คน หนึ่งคือชายชราร่างกายผอมแห้งเหมือนกิ่งไม้นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เสื้อผ้าที่สวมอยู่อาบโชกไปด้วยเลือด ดวงตาคู่นั้นปิดสนิทลงไร้การตอบสนอง ประหนึ่งราวกับว่าเขาได้ตายมาเป็นเวลานานแล้ว
อีกหนึ่งคือที่ข้างกายของชายชรามีเด็กหนุ่มที่อายุราว ๆ สิบสองปีนั่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้นโดยสภาพไร้แขนขวา เด็กหนุ่มไร้ซึ่งคำพูดใด ๆ ไม่มีน้ำตาให้เห็นบนใบหน้านั้น แต่ใบหน้าของเด็กหนุ่มกลับซีดขาวและว่างเปล่าราวกับว่าตัวเขานั้นถูกขโมยวิญญาณออกไปแล้ว
“ข้ารู้จักเด็กคนนี้! เขาคือศิษย์ของสำนักดาบดารานภาเฉินฮ่าว! พวกเราอยู่ในสำนักเดียวกัน!”
“หา! ถ้างั้นเขาก็คือน้องชายของตัวซวยผู้นั้นน่ะสิ! ว่าแต่ชายชราที่นอนอยู่ตรงนั้นใช่ปู่ของเขาหรือไม่?”
“ใช่แล้วเป็นเขา เขาคือผู้นำตระกูลเฉินผู้ซึ่งเคยโด่งดังอย่างมากในเมืองหมอกสนของเรา แต่ในปีนั้นเขาถูกลอบทำร้ายที่นอกเมือง ช่างน่าเวทนายิ่งนัก! ช่างน่าเห็นใจอย่างแท้จริง!”
…
ฝูงชนสนทนากันเซ็งแซ่แต่ไม่มีผู้ใดยินดีจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือเพราะว่าหนึ่งในนั้นคือน้องชายของตัวซวยและอีกหนึ่งคือปู่ของตัวซวย พวกเขาไม่ต้องการที่จะพบเจอกับความโชคร้าย
“ท…ทุกคนรีบหลีกเร็ว! ตัวซวยมาถึงแล้ว!” เสียงตะโกนแหลมเสียดหูดังขึ้น หลังจากนั้นกลุ่มฝูงชนขนาดใหญ่ได้เปิดทางให้เหมือนกับว่าพวกเขากำลังหลบหนีจากโรคระบาดบางอย่าง
ภายใต้สายตาที่แปลกประหลาดของกลุ่มฝูงชน ร่างผอมแห้งหนึ่งวิ่งปรี่เข้ามาอย่างบ้าคลั่ง แน่นอนว่าทุกคนจำได้ว่าเป็นเฉินซี
“ท่านปู่!!!!!!!!!!”
เฉินซีดวงใจแหลกสลายขณะที่เห็นร่างอันคุ้นเคยนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น มันราวกับมีมีดนับพันเล่มกรีดที่ดวงใจของเขาซ้ำ ๆ ร่างกายของเขาสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุม
เฉินซีหยุดวิ่งเมื่อใกล้ถึงร่างของเฉินเทียนลี่ผู้เป็นปู่ของเขาที่กำลังนอนแน่นิ่งไร้ซึ่งสัญญาณชีพ เขาค่อย ๆ เดินมาหยุดที่ด้านหน้าของศพ ใบหน้าที่เย็นชาของเขายังมิได้แปรเปลี่ยนไป ทว่าดวงตาของเขานั้นแดงก่ำ
“ท่านพี่…” เสียงแหบแห้งและต่ำดังขึ้น ทว่าเฉินซีคุ้นเคยกับเสียงนี้เป็นที่สุด หากเปรียบว่าภาพที่ปู่ของตนเองนอนแน่นิ่งทำให้จิตใจเฉินซีเจ็บปวดราวกับถูดมีดนับพันกรีดแทง เสียงนี้ก็คงไม่ต่างจากค้อนซึ่งทุบซ้ำที่ใจอันแหลกสลายของเฉินซี สายตาของเขาเคลื่อนไปยังน้องชายซึ่งกำลังมองมาที่เขาด้วยดวงตาซึ่งไม่ต่างกับหุ่นเชิดที่ปราศจากจิตวิญญาณ!
ผู้ใดกัน!?
ผู้ใดทำเช่นนี้!?
เฉินซีแทบกระอักเลือดจากความรู้สึกเจ็บปวดอันเหนือบรรยาย เขากำหมัดแน่นจนเล็บจิกลงไปในเนื้อฝ่ามือ มีเลือดไหลรินออกมาไม่ขาดสาย ทว่าเขากลับไม่ได้รู้ตัวเลย
เขาเกลียดตนเองที่อ่อนแอ และชังตนเองเมื่อต้องเผชิญกับการเย้ยหยันและเยาะเย้ยจากผู้คนรอบข้าง แต่เขากลับไม่มีพลังมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงมัน…
สวรรค์บัดซบ!
ถ้าเจ้าต้องการจะลงโทษข้าก็ควรลงโทษข้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น! ทำไม! ทำไมเจ้าจึงไม่ยอมปล่อยตระกูลเฉินหรือปู่ของข้าไปสักที!?
ทำไม! ทำไม! ทำไม! ทำไม!!!
โทสะซึ่งอัดแน่นอยู่ในอกของเฉินซีมากมายเสียจนเขาเกือบจะทนไม่ไหวและไม่สามารถควบคุมตนเองได้
พลั่ก!
ทันใดนั้นก่อนที่เฉินซีจะคลุ้มคลั่งเสียสติ เฉินฮ่าวไม่สามารถทนต่อความเจ็บปวดทางจิตใจและกายได้อีกต่อไป ดวงตาของเด็กหนุ่มเหลือกขาว ก่อนเปลือกตาจะปิดลงและทั้งร่างล้มลงไปที่อ้อมแขนของเฉินซี
เฉินซีมองไปที่น้องชายของเขาซึ่งทั้งร่างพาดอยู่ที่แขนอย่างไร้กำลัง เขาเห็นได้ถึงความเหนื่อยล้าและเจ็บปวดอย่างสุดแสนบนใบหน้าของน้องชาย ภาพนี้ทำให้เฉินซีฟื้นคืนสติจากโทสะที่สุมอยู่ในอกทันที
ท่านปู่ได้ตายไปแล้ว ข้าจะไม่ปล่อยให้มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับน้องชายของข้าอีก!
เขาแบกน้องชายของเขาไว้บนบ่าและศพของปู่ของเขาไว้ในอ้อมแขน ขณะที่เดินอย่างโซซัดโซเซเข้าไปในเมืองและเดินกลับบ้าน
“ในที่สุดไอ้ตัวซวยก็ไปสักที เฮ้อ! ดูสิ หลังจากผ่านไปหลายปีเชื้อซวยของมันยังคงไม่เสื่อมเลย! มันยังสามารถทำให้ปู่ของมันตายได้อยู่!”
“ชู่วว… พูดเบา ๆ หน่อย เจ้าอยากตายรึไง? ถ้ามันได้ยินเข้าแล้วโกรธขึ้นมาระวังเจ้าจะถูกมันสาปแช่งให้พบเจอแต่ความโชคร้ายไม่หยุดหย่อนนะโว้ย!”
“ถุย! ว่าแต่ข้าเจ้าเองก็เรียกมันว่าตัวซวยเหมือนกันไม่ใช่รึไง?”
“ฮึ่ม! ใช่ซะที่ไหน!”
“เหอะ! ยังปากแข็งอีก ข้ารู้นะว่าในใจของเจ้าก็กำลังคิดอยู่ว่าถัดไปไอ้ตัวซวยนั่นมันจะต้องทำให้น้องชายของมันตายอย่างแน่นอนถูกไหมล่ะ?”
…
ระหว่างเดินกลับบ้าน เสียงการสนทนาของฝูงชนดังถึงหูของเฉินซีเช่นกัน เสียงสนทนาเหล่านี้เหมือนเข็มเหล็กคมที่ทิ่มแทงลึกลงไปในดวงใจของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แต่เฉินซีก็ยังคงสงบเสงี่ยม และเดินต่อไปข้างหน้าเหมือนแผ่นศิลาหน้าหลุมฝังศพที่ผ่านลมฝนมานับไม่ถ้วนแต่ยังคงยืนหยัดอยู่ได้ แม้ความเจ็บปวดทั้งหลายจะมากมายเสียจนไม่อาจบรรยาย แต่เขาไม่อาจล้มได้!
ดูถูกข้าเข้าไป! เหยียดหยามข้าเข้าไป! รังเกียจข้าเข้าไป!
ข้าจะจดจำช่วงเวลาเหล่านี้ไว้ตลอดกาล!
ถ้าข้าไม่ตกตายไปซะก่อน สักวันหนึ่งข้าจะก้าวขึ้นไปอยู่เทียมเมฆ ข้าจะสยบสวรรค์ทั้งเก้าด้วยสองมือของข้า! ข้าจะต้องกลายเป็นผู้ที่อยู่บนจุดสูงสุด!
ส่วนพวกเจ้าทั้งหมดนั้น…
ข้าจะทำให้พวกเจ้าทุกคนแหงนมองและกราบกรานข้า!
…
หลายวันถัดมา
วันนี้ฝนตกกระหน่ำลงมาอย่างต่อเนื่อง
เบื้องหน้าหลุมฝังศพอันเดียวดาย เฉินซียืนอยู่เบื้องหน้าและกล่าวว่า “ท่านปู่โปรดหลับให้สบาย” น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำและเยือกเย็น
ก่อนหน้านี้เฉินซีคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าหลุมศพเป็นเวลาสามวันโดยไม่ดื่มหรือกิน เขาไม่สะทกสะท้านใด ๆ แม้อยู่ภายใต้แสงของดวงอาทิตย์หรือความหนาวเย็นของสายลมในยามราตรี ทว่าขณะนี้ใบหน้าของเขาซีดขาวอย่างชัดเจน
เมื่อเห็นว่าเฉินซีกลับมาเป็นปกติแล้ว ไป๋หว่านฉิงที่ยืนอยู่ไม่ไกลลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะกล่าวว่า “กลับบ้านเถอะเฉินซี เฉินฮ่าว น้องของเจ้าฟื้นขึ้นมาเมื่อคืนที่แล้ว”
เฉินซีพยักหน้า
“ขอบคุณขอรับ ท่านน้าไป๋” เมื่อพวกเขาใกล้เดินถึงบ้าน เฉินซีก็หยุดและกล่าวขอบคุณไป๋หว่านฉิงด้วยสีหน้าจริงจัง สามวันที่ผ่านมาไป๋หว่านฉิงกระทำตนไม่ต่างจากญาติสนิทของเฉินซี นางอยู่ที่บ้านของเฉินซีตลอดเวลาเพื่อดูแลเฉินฮ่าว สิ่งนี้ทำให้เฉินซีรู้สึกขอบคุณจากก้นบึ้งหัวใจ
ที่ผ่านมาทุกคนเอาแต่ล้อเลียนเยาะเย้ยดูถูกเขา ดังนั้นเมื่อมีคนผู้หนึ่งก้าวออกมาช่วยเหลือคอยเป็นห่วงเป็นใยเขาเช่นนี้ มีหรือที่เฉินซีจะไม่รู้สึกซาบซึ้งและจดจำบุญคุณนี้เอาไว้ชั่วชีวิต?
ไป๋หว่านฉิงไม่ได้ต้องการให้เฉินซีขอบคุณนางอย่างจริงจัง นางจึงส่ายศีรษะก่อนที่จะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตราบใดที่เจ้าสัญญาว่าจะใช้ชีวิตอยู่บนความถูกต้องและหมายมั่นจะมีชีวิตอยู่ให้ดีกว่าผู้ใด นั่นจึงจะถือเป็นคำขอบคุณที่ดีที่สุดสำหรับข้า”
เฉินซีพยักหน้าอย่างจริงจัง
ไป๋หว่านฉิงหัวเราะและไม่ได้กล่าวสิ่งใดมากกว่านี้ จากนั้นนางจึงจากไป
ร่องรอยแห่งความอบอุ่นที่มิอาจอธิบายได้ปรากฏขึ้นในหัวใจของเฉินซี ขณะที่เขามองไปที่ร่างกายอันสง่างามของนางค่อย ๆ ห่างไกลออกไป การสนทนากันสั้น ๆ นี้ทำให้จิตใจของเฉินซีรู้สึกสดชื่นและความโศกเศร้าที่ปรากฏอยู่บนหว่างคิ้วของเขาก็คลายลง
ขณะเดียวกันประตูถูกเปิดออกและเฉินฮ่าวมองไปที่เฉินซีพร้อมกับส่งเสียงเรียก “ท่านพี่”
เฉินซีก้าวเดินเข้าหาและโอบกอดน้องชายของเขา “มันไม่สำคัญแม้ว่าตอนนี้จะไร้ซึ่งแขนขวา แต่ตราบใดที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ความหวังย่อมมีเสมอ”
ในคืนนั้นปู่ของเฉินซีได้ถูกลอบทำร้ายและตายจากไป ขณะที่แขนขวาของเฉินฮ่าวได้ถูกสะบั้นขาด เมื่อแขนขวาของคน ๆ หนึ่งถูกตัดขาดไป หากไม่ใช่หมอเทวะที่มีความสามารถในการรักษาอันมหัศจรรย์ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะรักษา
เฉินซีรู้ดีว่าน้องชายของเขารู้สึกเจ็บปวดอย่างมากกับการเสียแขนขวาซึ่งเป็นข้างที่ถนัดไป ตั้งแต่ยังเล็กเฉินฮ่าวฝึกกระบี่โดยใช้แขนขวามาตลอด ดังนั้นตอนนี้การเสียแขนขวาไปจึงไม่ต่างจากความฝันของน้องชายเขาถูกดับ
“ท่านพี่ ข้าได้ตัดสินใจแล้ว นับจากนี้ข้าจะเริ่มฝึกฝนใหม่โดยใช้กระบี่ด้วยมือซ้าย!” เฉินฮ่าวยืดหลังของเขา พลางจ้องมองเฉินซีอย่างแน่วแน่ แววตากระจ่างราวกับว่าเกิดใหม่อีกครั้ง “เสียแขนขวาไปไม่นับว่าเลวร้าย หนึ่งแขนหนึ่งกระบี่มันจะช่วยให้ข้าได้มุ่งทุ่มเทมากขึ้น ข้าคิดว่าทักษะการใช้กระบี่ของข้าจะต้องดียิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน!”
เฉินซีมองไปที่น้องชายของเขาซึ่งดูราวกับว่าเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในชั่วข้ามคืน ในช่วงเวลานั้นหัวใจของเฉินซีรู้สึกราวกับเป็นระลอกคลื่นและเขาแทบจะไม่สามารถยับยั้งอารมณ์ของตนเองได้
“ดี! ดี! ดี!”
การกล่าวคำว่าดีสามครั้งถือเป็นการแสดงออกถึงความชื่นชมอย่างถึงที่สุดจากก้นบึ้งหัวใจของเฉินซีแล้ว
…
“ท่านปู่และข้าถูกลอบทำร้ายโดยบุคคลสวมหน้ากากสามคน ก่อนที่ท่านปู่จะตาย เขากล่าวว่าพวกมันทั้งหมดอยู่ในขอบเขตตำหนักอินทนิล”
หลังจากมื้ออาหารเฉินซีเริ่มถามเกี่ยวกับสิ่งที่น้องชายและปู่ของเขาพบเจอหลังจากออกไปนอกเมือง เขาอยากรู้ว่าผู้ใดเป็นคนที่ฆ่าปู่ของเขา
ทว่าเมื่อเฉินซีได้ยินน้องชายของเขาเอ่ยว่าผู้โจมตีทั้งสามคือผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักม่วงชาด หัวใจของเฉินซีก็กระตุกวูบ
เส้นทางของการบ่มเพาะถูกแบ่งออกเป็นเช่นนี้: ขอบเขตสร้างรากฐาน ขอบเขตก่อกำเนิด ขอบเขตตำหนักอินทนิล ขอบเขตเคหาทองคำ ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ขอบเขตจุติ ขอบเขตสถิตกายาและขอบเขตเซียนปฐพี
ขอบเขตสร้างรากฐานถูกแบ่งออกเป็นเก้าระดับขั้น ซึ่งเป็นการบ่มเพาะปราณแท้ภายในร่างกายเพื่อชำระล้างเส้นโลหิตแดงและเส้นโลหิตดำ ทำให้อายุขัยเพิ่มขึ้นอีกหกสิบปี หลังจากที่ได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตนี้คนผู้หนึ่งจะแข็งแรงเหนือกว่าปุถุชนธรรมดาและปราศจากโรคภัยใด ๆ
ขอบเขตก่อกำเนิดถูกแบ่งออกเป็นเก้าระดับขั้นเช่นกัน ในขอบเขตนี้ ผู้บ่มเพาะจะใช้ปราณฟ้าดินเพื่อบ่มเพาะหัวใจและขัดเกลาสำนึกคิดให้มีความมั่นคง อายุขัยเพิ่มขึ้นไปอีกหนึ่งร้อยปี เมื่อก้าวเข้าสู่ขอบเขตนี้คนผู้หนึ่งจะชำระล้างและหลุดจากเปลือกกายดั้งเดิมเปลี่ยนไปสู่กายาอันเปี่ยมล้นด้วยจิตวิญญาณ ทว่าท่ามกลางผู้คนมากมายมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดได้สำเร็จ!
ขอบเขตตำหนักอินทนิลคือผู้ที่สามารถหยิบยืมพลังจากฟ้าดินมาพัฒนาตำหนักอินทนิลภายในตันเถียน ทุกครั้งที่ระดับการบ่มเพาะสูงขึ้นปราณแท้ดวงดาราจะปรากฏขึ้นภายในตำหนักอินทนิล และเมื่อใดที่ดวงดาราทั้งเก้าปรากฏขึ้นครบ คนผู้นั้นจึงจะถูกเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ
ขอบเขตนี้มักจะถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าขอบเขตสัมผัสดารา เมื่อก้าวเข้าสู่ขอบเขตนี้อายุขัยของผู้บ่มเพาะจะเพิ่มขึ้นถึงห้าร้อยปี มีเพียงหลังจากบ่มเพาะมาถึงขอบเขตนี้เท่านั้นถึงจะสามารถกล่าวได้ว่าเป็นผู้บ่มเพาะที่เข้าสู่มรรคาแห่งความเป็นอมตะอย่างแท้จริง
ตามความเข้าใจของเฉินซี น้อยกว่าหนึ่งหมื่นคนที่อยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสูงสุดที่ประสบความสำเร็จในการก้าวเข้าสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิล ในเมืองหมอกสนผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลคือตัวตนระดับสูงสุด ดังนั้นแล้วเมื่อเฉินซีรู้ว่าบุคคลที่ฆ่าปู่ของเขาเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลถึงสามคน เขาจึงอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง
ขณะนี้เขาติดอยู่ที่ขอบเขตก่อกำเนิดขั้นที่สาม ซึ่งการที่เขาบ่มเพาะมาจนถึงจุดนี้ได้ แท้จริงแล้วต้องขอบคุณสิ่งที่ปู่ของเขาสั่งสอนมาเมื่อตอนที่เขายังเด็ก
ในตอนนั้นตระกูลเฉินทรงอิทธิพลอย่างมาก เป็นตระกูลที่ร่ำรวยและยิ่งใหญ่ที่สุดในเมืองหมอกสน ในฐานะที่เป็นผู้นำตระกูลเฉินตัวของเฉินเทียนลี่นั้นมีระดับการบ่มเพาะอยู่ในขอบเขตตำหนักอินทนิลซึ่งมีดวงดาราทั้งเจ็ดอยู่ภายใน ดังนั้นแม้ว่าหลังจากที่ถูกทำให้พิการ เฉินเทียนลี่ก็ยังมีความรู้และประสบการณ์ที่มากพอจะชี้แนะให้เฉินซีเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดได้อย่างสบาย ๆ
ทว่าความหวังในการก้าวเข้าสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลของเฉินซีนั้นมีเพียงน้อยนิด ยิ่งไปกว่านั้นระดับการบ่มเพาะของเขานิ่งค้างอยู่กับที่เป็นเวลานานแล้วถึงห้าปี ดังนั้นมันเป็นเรื่องยากที่จะสามารถบอกได้ว่าเขาจะสามารถก้าวหน้าได้อีกหรือไม่
“ใช่แล้วข้าพกยันต์เสียงสงัดเอาไว้ตลอด มันบันทึกเกี่ยวกับการสนทนาสั้น ๆ ระหว่างทั้งสามคนนั้นได้!” เฉินฮ่าวตบหน้าผากตัวเองอย่างฉับพลัน ขณะที่เขากล่าว เจ้าตัวก็หยิบยันต์สีฟ้าออกมาส่งให้กับเฉินซี
ยันต์เสียงสงัดเป็นหนึ่งในยันต์จำพวกอำนวยความสะดวก ในโลกแห่งการบ่มเพาะ ผู้บ่มเพาะมักจะทิ้งยันต์เสียงสงัดนี้เอาไว้เมื่อไปเยี่ยมสหายของตนเองแล้วสหายไม่อยู่ เพื่อฝากข้อความหลังจากที่ตนจากไป
ยันต์เสียงสงัดนี้เป็นหนึ่งในสิ่งที่เฉินซีสร้างขึ้นมาให้เฉินฮ่าวเพื่อเอาไว้ใช้สอยยามจำเป็น ทว่าไม่คาดคิดเลยว่ามันจะมีประโยชน์อย่างยิ่งในตอนนี้ หัวใจเฉินซีปะทุด้วยโทสะอีกครั้งเมื่อเขาคิดถึงเกี่ยวกับการที่เขาจะได้ยินเสียงของเหล่าฆาตรกรที่ฆ่าปู่ของเขา
หลังจากถ่ายเทปราณแท้ลงไป แสงสว่างสีฟ้าก็เปล่งประกายขึ้นจากยันต์เสียงสงัด
“นายน้อยสั่งว่าเขาต้องการให้พวกมันมีชีวิตอยู่ในเมืองหมอกสน เขาต้องการให้พวกมันมีชีวิตอยู่ท่ามกลางเสียงเยาะเย้ยของผู้คน เขาต้องการให้พวกมันขาดใจตายทีละน้อย…”
“ล้อมและคร่ากุมพวกมันและนำพวกมันกลับเข้าไปในเมือง อย่าให้พวกมันออกไปได้! นี่เป็นเรื่องสำคัญซึ่งเกี่ยวข้องกับการแต่งงานระหว่างนายน้อยและคนผู้นั้นของเมืองทะเลสาบมังกร แต่ถ้าหากพวกมันกล้าขัดขืน ฆ่าไม่มีละเว้น!”
เสียงที่แหลมและโหดเหี้ยมราวกับอสรพิษดังออกจากยันต์เสียงสงัด
ฟู่!
หลังฟังเสร็จ ยันต์เสียงสงัดไหม้ก็กลายเป็นเศษขี้เถ้าล่องลอยไปในอากาศและหายไปอย่างไร้ร่องรอย
สีหน้าของเฉินซีได้กลายเป็นซีดขาวเรียบร้อยแล้ว…