บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 424 ความล้ำลึกแห่งการจุติ
บทที่ 424 ความล้ำลึกแห่งการจุติ
สามวันผ่านไป ณ ตำหนักธารสายไหม
มีเพียงจักรพรรดิซ่ง เฉินซี และผู้เข้าแข่งขันเก้าอันดับแรกแห่งการชุมนุมดาวรุ่งที่อยู่ในห้องโถงอันว่างเปล่า ในบรรดาพวกเขา ดวงจิตของซูเฉินได้รับบาดเจ็บสาหัสจนทำให้ไม่สามารถเข้าร่วมได้ จึงมีลู่เซียวเข้ามาแทนที่
สิ่งนี้ทำให้เฉินซีรู้สึกเศร้าใจ เดิมทีเขาคิดจะปราบซูเฉินให้สิ้นทันทีที่พวกเขาเข้าสู่สมรภูมิบรรพกาลเพื่อยุติปัญหาในวันข้างหน้า ทว่าเขาก็ทำได้เพียงแค่พักเรื่องนี้ไว้ชั่วคราว
ขณะที่กำลังบ่มเพาะอยู่ในสระมังกรแปลงก่อนหน้านี้ ซูเฉินก็ไม่ได้เข้าร่วมและถูกลู่เซียวแทนที่ตั้งแต่นั้น ซึ่งเฉินซี ณ ตอนนั้นก็ยังไม่ได้สังเกต
ลู่เซียวเป็นศิษย์แห่งที่ราบตอนกลางของนิกายพฤกษาเทวะ เขาเป็นคนเก็บตัว ไม่เป็นที่รู้จักดีนักในอดีต เขาฝ่าฟันจนกลายเป็นม้ามืดในการชุมนุมดาวรุ่งครั้งนี้เช่นเดียวกับเฉินซี พละกำลังและศักยภาพของเขานั้นไม่อาจมองข้ามได้
“ข้าเรียกพวกเจ้าทั้งหมดมาที่นี่เพื่อสิ่งเดียว นั่นคือสมรภูมิบรรพกาล” สุรเสียงซึ่งแฝงไปด้วยอำนาจของจักรพรรดิซ่งพลันดังกังวานภายในห้องโถง
หัวใจของเฉินซีและคนอื่น ๆ จริงจังขึ้นมาทันใด พวกเขาฟังอย่างใจจดใจจ่อด้วยความเคารพ
สายตาของจักรพรรดิซ่งกวาดไปยังพวกเขาก่อนผงกศีรษะ ยิ้มบางพลางกล่าวว่า “ด้วยพละกำลังของพวกเจ้า จะสามารถผ่านทัณฑ์แห่งการจุติได้ทันทีที่เข้าสู่สมรภูมิบรรพกาลและกลายเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติที่น่าเกรงขาม…”
“เสด็จพ่อ เหตุใดพวกเราจึงต้องไปที่สมรภูมิบรรพกาลเพื่อบรรลุสู่ขอบเขตจุติหรือเพคะ? ตอนนี้ก็ย่อมทำได้อย่างง่ายดาย” จักรพรรดิซ่งยังไม่ทันจะกล่าวเสร็จก็ถูกขัดจังหวะโดยเสียงใสไพเราะของหวงฝู่ฉิงอิง มีเพียงธิดาของจักรพรรดิซ่งเท่านั้นที่กล้าไม่ให้เกียรติเยี่ยงนี้
จักรพรรดิซ่งเหลียวมองลูกสาวของเขาก่อนจะยิ้มและกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าขอถามพวกเจ้าหน่อย การจุติคืออะไร?”
เฉินซีและคนอื่น ๆ พลันครุ่นคิดอย่างฉับไว
ฝ่าบาทกำลังทดสอบพวกเรา!
“ฝ่าบาท จากที่กระหม่อมทราบ การจุติไม่ใช่ทั้งสภาวะของความเป็นและความตาย ไม่ใช่ทั้งมรรตัยหรืออมตะ การจุติเหมือนกับนิพพาน แต่ยังคงเป็นการค้นหาร่องรอยแห่งชีวิตในนิพพานเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงคล้ายกับการกลับชาติมาเกิด การจุตินั้นเหมือนกับการได้รับชีวิตใหม่” หวงฝู่ฉางเทียนก้าวมาด้านหน้าพลางโค้งคำนับก่อนกล่าวด้วยความมั่นใจพร้อมอาการสำรวม
จักรพรรดิซ่งผงกศีรษะ ไม่ได้แสดงความเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยต่อสิ่งนี้ก่อนหันมองคนอื่น ๆ
“ฝ่าบาท เท่าที่กระหม่อมทราบ การจุติคือความก้าวหน้าของแก่นแท้ชีวิต แก่นวิญญาณจะถูกแยกออกจากดวงวิญญาณและปรากฏภายในกงล้อสังสารวัฏ ด้วยเหตุนี้ ตราบเท่าที่แก่นวิญญาณยังคงอยู่ ผู้บ่มเพาะก็ยังสามารถยึดครองร่างอื่นเพื่อกลับชาติมาเกิดได้ ซึ่งนั่นก็คือการจุติ” อวี๋เซวียนเฉินกล่าวครั้งจากไตร่ตรองอยู่ชั่วขณะ
“ไม่ใช่ ไม่ใช่” ทันทีที่สิ้นคำกล่าว หลิงอวี๋ส่ายศีรษะพลันเอ่ยขึ้น “การจุติก็คือการจุติ แก่นวิญญาณก็คือแก่นวิญญาณ ไม่อาจจัดอยู่ในหมวดหมู่เดียวกันได้ เท่าที่ข้าทราบ การจุตินั้นไม่ใช่สิ่งอื่นใดนอกจากความก้าวหน้าของพละกำลัง ไม่มีอะไรลึกซึ้งเกี่ยวกับมันเลย”
“พวกเจ้าพูดเข้าข้างตัวเองเกินไปแล้ว” จ้าวชิงเหอโต้ตอบ “ตัวอย่างเช่นหลังจากที่หนึ่งในทักษะขัดเกลากายาเทพอสูรอย่างข้าบรรลุสู่ขอบเขตจุติ กายหยาบก็จะแปลงเป็นกายาจุติทองคำ ขณะที่แก่นวิญญาณจะฝังอยู่ที่อักขระจ้าววิญญาณ ไม่มีสิ่งที่เรียกว่ากงล้อสังสารวัฏหรือการยึดอีกร่างหนึ่งเพื่อบรรลุการจุติหรอก เพราะตราบเท่าที่แก่นวิญญาณยังคงอยู่ ร่างของเราก็จะอยู่ยงคงกระพัน ในทำนองเดียวกัน หากร่างของพวกเรายังไม่แตกสลาย แก่นวิญญาณก็จะไม่ถูกทำลายเช่นกัน”
เฉินซีพยักหน้าเห็นด้วยเมื่อได้ยินสิ่งนี้
การบ่มเพาะปราณและขัดเกลาร่างกายเป็นดั่งสองเส้นทาง
หลังจากที่ผู้บ่มเพาะปราณแท้บรรลุสู่ขอบเขตจุติ กงล้อสังสารวัฏจะถูกกลั่นเพื่อหล่อเลี้ยงแก่นวิญญาณ ฉะนั้นตราบเท่าที่แก่นวิญญาณยังคงอยู่หลังจากที่ร่างของผู้บ่มเพาะสูญสลาย พวกเขาก็ยังสามารถยึดร่างของอีกคนหนึ่งเพื่อจุติได้
ทว่าหลังจากที่ผู้ขัดเกลากายาบรรลุสู่ขอบเขตจุติ ร่างจะพัฒนาเป็นกายาจุติทองคำและจะถูกใช้เพื่อหล่อเลี้ยงแก่นวิญญาณ ตราบใดที่แก่นวิญญาณยังคงอยู่ ร่างกายจะไม่มีวันถูกทำลาย เพราะในเวลานั้น เพียงแค่หนึ่งเจตจำนงของผู้ขัดเกลากายาก็สามารถสร้างร่างกายที่สมบูรณ์ขึ้นใหม่ได้
เมื่อเทียบกันแล้ว ผู้ขัดเกลากายายังคงแข็งแกร่งกว่าเล็กน้อยเนื่องจากมีอันตรายค่อนข้างมากเมื่อผู้บ่มเพาะปราณแท้ยึดร่างกายของผู้อื่น ในขณะที่ผู้ขัดเกลากายาไม่จำเป็นต้องกังวลถึงอันตรายใด ๆ ที่เกิดขึ้น
“พี่จ้าวก็พูดเข้าข้างตัวเองเกินไปเช่นกัน จะเกิดอะไรขึ้นหากผู้นั้นบ่มเพาะทั้งกายาและปราณแท้เล่า? แก่นวิญญาณจะอยู่ในกงล้อสังสารวัฏหรือจะหล่อเลี้ยงอยู่ในร่างกายกัน?” หลิงอวี๋ตอบกลับด้วยคำถาม
ขณะที่เขากล่าว สายตาก็เหลียวมองไปทางเฉินซี เพราะในบรรดาผู้คน ณ ที่แห่งนี้มีเพียงเฉินซีเท่านั้นที่บรรลุขอบเขตแกนทองคำขั้นสมบูรณ์ในทั้งสองด้าน หากบรรลุสู่ขอบเขตจุติ ทั้งการขัดเกลากายาและบ่มเพาะปราณแท้จะต้องก้าวหน้าขึ้นเป็นแน่ ฉะนั้นหากปัญหาที่ว่าแก่นวิญญาณจะได้รับการหล่อเลี้ยงที่ใดนั้นยังไม่ได้รับการแก้ไข ย่อมเป็นไปได้ที่ปัญหาใหญ่จะตามมา
ทุกคนตะลึงงัน สายตาจับจ้องไปยังเฉินซีเมื่อได้ยินเช่นนี้ พวกเขาไม่อาจหาคำกล่าวได้
พวกเขาบ่มเพาะทั้งปราณแท้และร่างกายมาพอสมควร ทว่าแต่ละคนมีทักษะการบ่มเพาะหนึ่งประเภทเป็นหลัก ในขณะที่อีกประเภทหนึ่งนั้นเป็นทักษะเสริมและไม่จำเป็นมากนัก
ทว่าเฉินซีกลับแตกต่างออกไป เขาได้บ่มเพาะวิชาทั้งสองและมีความโดดเด่นทั้งสองอย่าง ดังนั้นจึงไม่อาจจำแนกได้อย่างแน่ชัดว่าทักษะแปรสภาพร่างกายหรือปราณที่เป็นทักษะหลัก หากชายหนุ่มบรรลุเข้าสู่ขอบเขตจุติแล้ว การเลือกให้แก่นวิญญาณอยู่ในกงล้อสังสารวัฏหรือในร่างกายนั้นเป็นสิ่งที่ยากยิ่งนัก
แม้ทุกคนจะมีความรู้อยู่ท่วมหัว แต่ก็ไม่อาจหาหนทางแก้และถึงกับเงียบกริบไปพร้อมกันเมื่อพบกับคนพิสดารอย่างเฉินซี
“ฝ่าบาทซักถามถึงนิยามของการจุติ พวกเจ้าไม่ออกทะเลไปหน่อยรึ?” เฉินซีเกาจมูกพลางยิ้มกล่าว
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอับอายเมื่อได้ยินเข้า ย่อมใช่ ฝ่าบาทถามหานิยามของการจุติ ทว่าพวกเราทุกคนต่างถกเถียงกันเกี่ยวกับปัญหาการหล่อเลี้ยงแก่นวิญญาณแทนเสียอย่างนั้น
“แล้วตามความเข้าใจของเจ้า การจุติคืออะไรหรือ?” จักรพรรดิซ่งยิ้มขณะมองไปยังเฉินซีพลางถาม
เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนกล่าว “การจุตินั้นไม่อาจแยกจากบทลงทัณฑ์ ตามความเข้าใจของกระหม่อม การจุติคือการตระหนักถึงพลังโดยไม่ใช้สิ่งอื่นหรือพึ่งพาเพียงพละกำลังของตนพ่ะย่ะค่ะ”
บทลงทัณฑ์?
ทุกคนต่างงุนงง สิ่งที่ทำให้การจุติเกี่ยวข้องกับบทลงทัณฑ์คืออะไรกันแน่?
“พูดต่อไปสิ” สายตาของจักรพรรดิซ่งแฝงกำลังใจ
“เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าผู้บ่มเพาะต้องผ่านทัณฑ์แห่งการจุติก่อนก้าวสู่ขอบเขตจุติ นี่คือทัณฑ์ที่ส่งลงมาจากสวรรค์ซึ่งดูจะเป็นการทำลายความหวังของพวกเราในการก้าวไปสู่ขอบเขตที่สูงขึ้นไป ทว่าอันที่จริงแล้วมันไม่ใช่อย่างนั้น ตามความเข้าใจของกระหม่อม บทลงทัณฑ์นี้เป็นกุญแจสู่การพัฒนาพละกำลังของตน” หลังจากได้รับกำลังใจจากจักรพรรดิซ่ง เฉินซีไม่รั้งรออีกต่อไปและเผยทุกสิ่งที่เขาเข้าใจเกี่ยวกับนิยามของการจุติ “สิ่งนี้สามารถสังเกตได้จากตัวอักษร ‘劫’(เจี๋ย) ที่หมายถึงบทลงทัณฑ์ซึ่งแยกออกเป็นตัวอักษรคือ ‘去’(ชวี่) กับ ‘力’(ลี่) ซึ่งแปลว่าการถอดถอนและพละกำลังตามลำดับ พละกำลังที่หมายถึงนั้นคือ พละกำลังของผู้อื่น สิ่งอื่น ของตนเองและของธรรมชาติ หากผู้ใดต้องการได้มาซึ่งการจุติ ผู้นั้นต้องทนรับบทลงทัณฑ์เหล่านี้ ด้วยมีเพียงวิธีนี้ที่จะสามารถรับพลังที่เพิ่มขึ้นมหาศาลได้”
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ เฉินซีก็พักเสียงชั่วขณะและพูดอย่างช้า ๆ ว่า “ฉะนั้น ในความคิดของข้า การจุติคือบทลงทัณฑ์”
ทุกคนพลันตกตะลึงเมื่อได้ยินเช่นนี้ มีหลายสิ่งที่ต้องใส่ใจในการจุติและบทลงทัณฑ์? ทัศนคติที่เฉินซีพูดถึงเป็นเหมือนคำแนะนำที่ทันท่วงที ทำให้ทุกคนต้องไตร่ตรองอย่างหนัก
จักรพรรดิซ่งรู้สึกเห็นด้วยอยู่ในใจ ก่อนจ้องเขม็งไปยังเฉินซีด้วยสายตาอันแผดเผาพลางถาม “หากมีบทลงทัณฑ์ จะต้องฝ่าฟันไปให้ได้ จะเอาชนะมันได้อย่างไร?”
ความเข้าใจของเฉินซีที่มีต่อการจุตินั้นมาจากเต๋าแห่งยันต์อักขระซึ่งเป็นสิ่งที่เขาทำความเข้าใจด้วยตนเอง ฉะนั้นจึงไม่มั่นใจว่าจะถูกต้องหรือไม่ ทว่าเมื่อเห็นจักรพรรดิซ่งสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้จึงอดไม่ได้ที่จะดีใจ เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “หากเกิดบทลงทัณฑ์ขึ้น กระหม่อมก็คงจำต้องสละพละกำลังและต่อกรกับมันโดยไม่มีสิ่งใดเป็นที่พึ่ง”
“แต่หากมีบทลงทัณฑ์ มันก็ย่อมมีวิธี ไม่ว่าจะเป็นการบ่มเพาะปราณแท้หรือการแปรสภาพร่างกาย ทั้งคู่ล้วนเป็นวิธีการผ่านบทลงทัณฑ์ทั้งสิ้น ผู้ใดเคลื่อนไหวตามวิธีการและตามเจตจำนงโดยไม่ฝ่าฝืนกฎ ผู้นั้นย่อมฝ่าฟันบทลงทัณฑ์ได้”
จักรพรรดิซ่งหัวเราะเสียงดังเมื่อได้ยินเข้า เขายกย่องชมเชย “ไม่เลวเลยทีเดียว”
สิ่งนี้ทำให้คนอื่น ๆ ต่างรู้สึกตะลึงพรึงเพริด ดูจะไม่เคยคิดมาก่อนว่าความหมายของการจุติที่เฉินซีพูดถึงจะทำให้จักรพรรดิซ่งปลื้มปีติเยี่ยงนี้ และยิ่งทำให้อดไม่ได้ที่จะชื่นชมเฉินซีเข้าไปใหญ่
แม้ประเด็นนี้แทบจะไม่เกี่ยวข้องกับเต๋า แต่ความเข้าใจเกี่ยวกับมหาเต๋าของเฉินซีนั้นถูกแสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนจากการถกเถียงครั้งนี้ พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากประหลาดใจ
“การจุติคือบทลงทัณฑ์ของตัวบุคคลนั้น ส่วนทัณฑ์แห่งการจุติคือบทลงทัณฑ์แห่งเต๋าสวรรค์ ยิ่งไปกว่านั้นหากต้องการบรรลุสู่ขอบเขตจุติ ผู้นั้นจะต้องผ่านบทลงทัณฑ์ทั้งสองไปให้ได้ หากขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แม้จะก้าวสู่ขอบเขตจุติ พละกำลังที่ได้มานั้นก็จะไม่สมบูรณ์”
“นั่นคือเหตุผลที่ข้าขอให้พวกเจ้าฝึกบ่มเพาะอย่างแข็งขันเพื่อที่จะเข้าสู่สมรภูมิบรรพกาลและผ่านบทลงทัณฑ์ของตนและบทลงทัณฑ์จากเต๋าสวรรค์ไปได้ พวกเจ้าถึงจะเข้าถึงพลังที่แท้จริงของผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติได้” จักรพรรดิซ่งเก็บรอยยิ้มพลางกล่าวโดยไม่ใส่อารมณ์ “มีเพียงกฎแห่งเต๋าสวรรค์ในสมรภูมิบรรพกาลเท่านั้นที่ปล่อยให้บทลงทัณฑ์ปรากฏขึ้นพร้อมกัน ในยามนั้นพวกเจ้าสามารถใช้แก่นแท้ต้นกำเนิดมังกรที่ดูดซับไปเพื่อเอาชนะบทลงทัณฑ์ไปให้ได้และกลายเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติซะ”
เฉินซีและคนอื่น ๆ รู้แจ้งในทันใด แต่ในเวลาเดียวกันก็ยังมีคำถามอยู่ในใจ ครั้งนี้ผู้ซักถามยังคงเป็นหวงฝู่ฉิงอิง “เสด็จพ่อ เป็นไปได้หรือไม่ว่าพละกำลังที่ผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติในแผ่นดินซ่งครอบครองไว้นั้นจะไม่สมบูรณ์?”
จักรพรรดิซ่งผงกศีรษะพลางกล่าว “เป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากพวกเขาผ่านเพียงแค่ทัณฑ์แห่งการจุติจึงยังไม่ได้รับพละกำลังอันน่าเกรงขามที่จำเป็นต่อการจุติของตัวบุคคล”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ร่องรอยของความผิดหวังก็เผยขึ้นมาบนใบหน้าของจักรพรรดิซ่งในขณะที่เขาถอนหายใจ “นี่คือความแตกต่างในกฎแห่งเต๋าสวรรค์ ในโลกซึ่งราชวงศ์ซ่งของพวกเราตั้งอยู่ กฎแห่งเต๋าสวรรค์ภายในนั้นไม่สมบูรณ์จนถึงบัดนี้ ในขณะที่เมื่อมาถึงสมรภูมิบรรพกาล แม้แต่แดนภวังค์ทมิฬก็ยังพบกับที่สุดแห่งความล้ำลึกของเต๋าแห่งสวรรค์ที่สมบูรณ์และแท้จริงได้ นี่เป็นเหตุผลหลักที่ราชวงศ์ซ่งของข้ามีผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีจำนวนมหาศาล ทว่าขอบเขตเซียนสวรรค์นั้นกลับหายากยิ่ง”
เฉินซีและคนอื่น ๆ ต่างตกใจเมื่อได้ยิน นอกจากอาการผวา ใจก็ยังรู้สึกขุ่นมัวอีกด้วย เป็นไม่ได้หรือไม่ว่าเต๋ารู้แจ้งที่ข้าผลาญพลังทั้งหมดเพื่อได้มาในตลอดหลายปีนี้ไม่สมบูรณ์จริง ๆ?
ถ้าอย่างนั้น… ความลึกล้ำของเต๋าแห่งสวรรค์แบบใดกันที่สมบูรณ์ไร้ที่ติ?
ผู้คนต่างอดไม่ได้ที่จะครุ่นคิดในใจ ‘มีเพียงแค่การเข้าสู่สมรภูมิบรรพกาลหรือแดนภวังค์ทมิฬเท่านั้นหรือที่จะทำให้ข้าเข้าใจแจ่มแจ้งถึงความแตกต่างได้?’
“บัดนี้ ทุกคนน่าจะเข้าใจถึงความสำคัญของการเข้าสู่สมรภูมิบรรพกาลแล้ว เหตุบังเอิญในครั้งนี้เป็นสิ่งที่ผู้บ่มเพาะทุกคนใฝ่ฝัน พวกเจ้าทั้งสิบคนเป็นศิษย์รุ่นเยาว์ที่โดดเด่นที่สุดในแผ่นดินราชวงศ์ซ่งของข้า หลังจากที่เข้าสู่สมรภูมิบรรพกาลแล้ว ข้าหวังว่าพวกเจ้าทุกคนจะสามารถเอาชีวิตรอดจนกว่าจะเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬได้” ท่าทางของจักรพรรดิซ่งกลับมาสงบก่อนหันมองหนุ่มสาวทั้งสิบคนที่อยู่ด้านล่างพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ฉะนั้นตราบใดที่พวกเจ้าเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬ ก็จะกลายเป็นผู้รับใช้ราชวงศ์ซ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่เพียงแต่จะได้มอบสิทธิประโยชน์อันมหาศาลให้แก่ตระกูลหรือนิกายของเจ้า แต่ยังนำมาซึ่งเกียรติยศอันสูงส่งต่อทั้งราชวงศ์ซ่งของพวกเราอีกด้วย!”
หัวใจของเฉินซีและคนอื่น ๆ ตกไปที่ตาตุ่ม ความรู้สึกว่ามันเป็นภารกิจของพวกเขาถูกกระตุ้นขึ้นมา เป็นภารกิจของตน ของตระกูลหรือนิกายเบื้องหลัง และยังเกี่ยวข้องกับโลกการบ่มเพาะแห่งราชวงศ์ซ่งทั้งใบ
“เอาล่ะ ข้าได้แนะนำเกี่ยวกับทุกสิ่งที่ควรทราบเรียบร้อยแล้ว สำหรับเงื่อนไขเฉพาะในการเข้าสู่สมรภูมิบรรพกาลนั้น มหาเสนาบดีจะอธิบายให้ทราบเป็นการส่วนตัวในอีกหนึ่งปีนับจากนี้” จักรพรรดิซ่งโบกมืออย่างไม่แยแส “เฉินซีคอยอยู่ข้างหลังไว้ ส่วนคนอื่นออกไปได้ หนึ่งปีต่อจากนี้จะมีคนแจ้งเตือนให้พวกเจ้าไปสมรภูมิบรรพกาล”
“รับทราบพ่ะย่ะค่ะ/เพคะ!” ทุกคนตอบเสียงเดียวกันก่อนโค้งคำนับและจากไป มีเพียงเฉินซีที่ยังคงอยู่