บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 431 หนึ่งปีต่อมา
บทที่ 431 หนึ่งปีต่อมา
‘ก่ออัสนีผสานดารา’ เป็นพลังอิทธิฤทธิ์อันทรงพลังที่เกิดจากกระดูกของคุนเผิง ซึ่งแฝงไปด้วยความลึกซึ้งของมหาเต๋าแห่งวารี มหาเต๋าแห่งอัสนี และเต๋าแห่งการกลืนกิน
ในบรรดามหาเต๋าเหล่านี้ มหาเต๋าแห่งวารีกับอัสนีเป็นแก่นแท้ของมหาเต๋า ในขณะที่เต๋ารู้แจ้งแห่งการกลืนกินนั้นเป็นเคล็ดวิชาการใช้เต๋ารู้แจ้งรูปแบบหนึ่ง เช่นเดียวกับเต๋าแห่งกระบี่และเต๋าแห่งดาบ
การฝึกฝนก่ออัสนีผสานดาราคือ การใช้เคล็ดวิชาของเต๋ารู้แจ้งแห่งการกลืนกิน เพื่อควบคุมและสำแดงพลังของมหาเต๋าแห่งวารีกับมหาเต๋าแห่งอัสนี
ตัวอย่างเช่น เคล็ดวิชาที่ศิษย์พี่สามของเขาได้แสดงออกมานั้นคือ การใช้พลังที่น่าสะพรึงกลัวของมหาเต๋าแห่งวารีและอัสนีผ่านเต๋ารู้แจ้งแห่งการกลืนกิน
“ศิษย์น้องเล็ก หากเจ้าได้บ่มเพาะเคล็ดก่ออัสนีผสานดาราจนถึงระดับสูงแล้ว ก็จะสามารถควบแน่นกระแสวังวนแห่งดวงดาว ซึ่งก่อตัวขึ้นจากดวงดาวจำนวนมหาศาลที่อยู่นอกร่างกาย ทำให้เกิดฟ้าร้องดังกึกก้อง อีกทั้งยังกลืนกินฟ้าดินและศัตรูของเจ้าทั้งหมดได้ด้วย”
หลังจากที่เขาได้อธิบายความลึกล้ำของก่ออัสนีผสานดาราแล้ว สีหน้าของศิษย์พี่สามก็เคร่งขรึมขึ้นและกล่าวตักเตือนด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “แต่เจ้าต้องระวังเอาไว้ หากศัตรูแข็งแกร่งเกินไป เจ้าห้ามใช้พลังอิทธิฤทธิ์นี้เป็นอันขาด มิฉะนั้น อาจมีโอกาสที่จะเกิดผลกระทบที่จะเผาผลาญวิญญาณของเจ้า!”
เฉินซีพยักหน้าและจดจำคำตักเตือนไว้ขึ้นใจ
“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าจะบ่มเพาะพลังอิทธิฤทธิ์นี้ได้ ก็หลังจากที่เจ้าเข้าใจเต๋ารู้แจ้งแห่งการกลืนกินที่อยู่ภายในกระดูกของคุนเผิง เอาล่ะ ข้าได้สอนทุกอย่างให้เจ้าแล้ว ข้าควรจะจากไปได้แล้ว” ศิษย์พี่สามยิ้ม
“ศิษย์พี่…” เฉินซีดูไม่เต็มใจเล็กน้อย
“ฮ่า ๆๆ ศิษย์น้องเล็ก เจ้าไม่ต้องเสียใจไป พวกเราพี่น้องจะต้องกลับมาพบกันอีกในสักวันหนึ่งอย่างแน่นอน” ศิษย์พี่สามหัวเราะเสียงดังและตบไหล่เฉินซี ก่อนจะฉีกมิติออกจากกันและก้าวเข้าไป จากนั้นก็หายไปในพริบตา
เขามาและไปโดยไม่มีใครสังเกตเห็น ไร้ซึ่งร่องรอยเหมือนความลับของมหาเต๋าที่ทุกคนไม่อาจล่วงรู้
เฉินซีมองไปยังท้องฟ้าซึ่งห่างไกลออกไป จู่ ๆ ความเศร้าโศกก็ผุดขึ้นในใจของเขา เนื่องจากเขาไม่ใช่ก้อนหินและไม่อาจไร้หัวใจได้ แม้ว่าการพบปะกับศิษย์พี่สามจะสั้นมาก แต่นิสัยเป็นกันเองของศิษย์พี่สามก็ทำให้เขารู้สึกชื่นชอบไม่น้อย และรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้พบกับศิษย์พี่สามก่อนหน้านี้ เมื่อศิษย์พี่สามของเขาได้จากไปอย่างกะทันหันในเวลานี้ เขาจึงรู้สึกไม่ค่อยเต็มใจนัก
“เขาจากไปแล้วหรือ?” จี้อวี๋เดินมาพร้อมกับเด็กน้อยทั้งสองคน
“ใช่ เขาจากไปแล้ว” เฉินซีพยักหน้า จากนั้นจึงเอ่ยถามว่า “ผู้อาวุโสจี้อวี๋ขอรับ ตอนนี้ตัวข้าถือว่าเป็นศิษย์ของเขาเทพพยากรณ์แล้วหรือไม่”
จี้อวี๋กล่าวโดยไม่ต้องคิดว่า “แน่นอน มีเพียงศิษย์ของเขาเทพพยากรณ์เท่านั้นที่จะสามารถบ่มเพาะเคล็ดวิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพและสืบทอดเสื้อคลุมของนายท่านของข้าได้ คนอื่นไม่อาจปลอมตัวเป็นศิษย์ของเขาเทพพยากรณ์ได้ แม้ว่าพวกเขาจะต้องการก็ตาม”
“แท้จริงแล้วตัวข้าก็มีนิกายสังกัดมาตั้งนานแล้ว…” เฉินซีเริ่มหัวเราะโดยไม่มีเหตุผล เสียงนั้นดังก้องจนสะเทือนไปถึงสวรรค์ทั้งเก้าชั้น ซึ่งเผยให้เห็นถึงความห้าวหาญ
…
นอกจากเฉินซี จี้อวี๋และเด็กน้อยทั้งสองคนที่รู้ถึงการมาเยือนของศิษย์พี่สามแล้ว คนอื่น ๆ ก็ไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งใด
หลังจากที่ศิษย์พี่สามจากไป จี้อวี๋ก็หายเข้าไปในเคหาบ่มเพาะเช่นกัน แล้วชีวิตของเฉินซีก็กลับมาสงบอีกครั้ง เขาบ่มเพาะ ทำสมาธิ และได้สั่งสอนเด็กน้อยทั้งสอง วันเวลาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ดอกไม้ผลิบานและร่วงโรย เวลาผ่านไปหลายเดือนโดยไม่รู้ตัว เหลืออีกเพียงเดือนเดียว ก็จะถึงเวลาที่ต้องเข้าสู่สมรภูมิบรรพกาลแล้ว
ในช่วงที่ผ่านมานี้ มีผู้คนแวะเวียนมาที่เกาะกลางทะเลสาบมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็เพื่อเยี่ยมเยียนเฉินซี และดูจะรู้ว่าชายหนุ่มกำลังจะจากไป ดังนั้นพวกเขาจึงมาก่อนล่วงหน้า
ในวันนี้ สายลมสดชื่นพัดโชยอย่างอ่อนโยน น้ำในทะเลสาบก็ส่องประกายระยิบระยับ เฉินซีกำลังจิบสุราและพูดคุยกับเฉินฮ่าว ตวนมู่เจ๋อ ซ่งหลินอยู่บนเกาะกลางทะเลสาบ ในขณะที่ย่าชิง อวิ๋นน่า มู่เหยา เจิ้นหลิวชิง ฟ่านอวิ๋นหลาน และหญิงสาวคนอื่น ๆ กำลังหยอกล้อกับเด็กน้อยทั้งสองที่ริมทะเลสาบ ซึ่งมักจะส่งเสียงหัวเราะฟังดูสดใสออกมา
บรรยากาศอันเงียบสงบเผยให้เห็นถึงคลื่นแห่งความสุข
“หลังจากที่ข้าจากไป ข้าคงต้องฝากตระกูลเฉินไว้กับเจ้า” เฉินซีเงยหน้าขึ้นเพื่อดื่มสุราในถ้วยให้หมด จากนั้นจึงกล่าวกับเฉินฮ่าวที่อยู่ใกล้เคียง
เฉินฮ่าวพลันตกตะลึง จากนั้นจึงข่มความเศร้าโศกและความไม่เต็มใจที่พรั่งพรูออกมาจากใจของเขาอย่างแข็งขัน ก่อนจะเผยสีหน้าเคร่งขรึมและกล่าวอย่างจริงจังว่า “พี่ใหญ่ ท่านไม่ต้องกังวล เมื่อท่านกลับมาจากแดนภวังค์ทมิฬ ข้ารับประกันได้ว่า ท่านจะได้เห็นตระกูลเฉินที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง”
เฉินซีตบไหล่ของเฉินฮ่าว เขานิ่งเงียบอยู่สักพัก ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “เจ้าอย่าฝืนตัวเองจนเหนื่อยเกินไปเสียเล่า”
ในตอนนี้ เฉินฮ่าวเป็นผู้นำของตระกูลเฉินแล้ว เขาไม่ใช่เด็กน้อยโง่เขลาอีกต่อไปแล้ว ในสายตาของคนนอก เขาเป็นคนที่มั่นคง สง่าผ่าเผย และเป็นคนรักษาคำพูด แต่ในขณะนี้ ดวงตาของเขากลับแดงก่ำ แทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
เขารู้ว่าพี่ชายของเขากำลังจะจากไปและมุ่งหน้าสู่โลกกว้างใหญ่ ซึ่งอนาคตและความปลอดภัยของเฉินซีก็ไม่อาจทราบได้ ถึงขั้นที่เจ้าตัวเองก็ไม่อาจยืนยันได้ว่า เฉินซีจะกลับมาเมื่อใด
และเขายังรู้อีกด้วยว่า หากไม่ใช่เพื่อออกตามหาบิดามารดาของพวกเขาที่หายสาบสูญ และเพื่อแก้แค้นให้กับสมาชิกตระกูลเฉินที่ล่วงลับไปแล้ว เฉินซีก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องเสี่ยงชีวิตเช่นนี้ และชายหนุ่มย่อมมีวันคืนอันมั่นคงและผาสุกอยู่ตลอดไป
“ท่านพี่ ดูแลตัวเองด้วยนะขอรับ!” เฉินฮ่าวสูดหายใจเข้าลึก ๆ อีกครั้ง ก่อนจะยกจอกสุราขึ้น แล้วส่งต่อให้แก่เฉินซีที่คอยปกป้องเขามาตลอดหลายปี
เฉินซีรับจอกสุราแล้วดื่มรวดเดียวหมด
สองพี่น้องต่างมองหน้ากันและกันแล้วจึงยิ้มให้กัน
…
สิบวันต่อมา ยามรุ่งสาง
เฉินซีตื่นจากการทำสมาธิมาตั้งนานแล้ว หลังจากที่เขาล้างเนื้อล้างตัวเสร็จ เขาก็เริ่มลงมือทำอาหาร
เมื่อเฉินอวี่กับเฉินอันตื่นแล้ว เขาก็ได้เตรียมสำรับที่เต็มไปด้วยอาหารเลิศรสมากมายเอาไว้แล้ว
“ท่านจะไปแล้วหรือ?” เฉินอันนั่งอยู่ที่ข้างโต๊ะ มองดูอาหารเลิศรสที่ยังคงร้อนและส่งกลิ่นหอมอันเย้ายวนใจอยู่บนโต๊ะ ทว่ากลับยังไม่แตะตะเกียบเหมือนที่เคยทำ เขายกศีรษะเล็ก ๆ ขึ้นแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจนและไพเราะ ในขณะที่ดวงตาที่ดำสนิทและใสกระจ่างกำลังจ้องมองมาที่เฉินซี
เมื่อเฉินอวี่น้อยเห็นสิ่งนี้ เขาก็วางตะเกียบในมือลงและเงยหน้าขึ้นมองเฉินซีเช่นกัน
เด็กน้อยทั้งสองนั้นมีความเฉลียวฉลาดอย่างมาก เพียงแค่โต๊ะที่มีจานอาหารเลิศรสที่มากผิดปกติวางอยู่ ก็ทำให้พวกเขาสามารถคาดเดาบางสิ่งได้
ในช่วงเวลาเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา เฉินซีและเด็กน้อยทั้งสองคนอยู่ด้วยกันตลอดทั้งเช้าเย็น ซึ่งชายหนุ่มได้รับบทเป็นทั้งบิดา อาจารย์ พ่อครัว เพื่อนเล่น และอื่น ๆ อีกมากมาย ยิ่งไปกว่านั้นคือ พวกเขาต่างมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน หลังจากที่รู้ว่าเฉินซีกำลังจะจากไปในอีกไม่นาน อารมณ์ของเด็กน้อยทั้งสองก็ดูจะหดหู่ลงอย่างมาก แต่เพื่อไม่ให้เฉินซีต้องไขว้เขว พวกเขาได้พูดคุยกันเมื่อมานานมาแล้วว่า จะไม่แสดงท่าทางสลดใจและจะส่งเฉินซีด้วยความยินดี
แต่ในขณะนี้ เฉินอันไม่อาจยั้บยั้งตัวเองและเอ่ยถามออกไป
“อืม” ในขณะที่เฉินซีมองไปยังดวงตาที่ใสกระจ่างของเด็กน้อยที่จ้องมองมาทางเขา เฉินซีก็ตกตะลึง ก่อนจะพยักหน้า จากนั้นก็กล่าวขึ้นว่า “อันเอ๋อร์ อาฮ่าวของเจ้าจะช่วยดูแลเจ้า หลังจากที่ข้าจากไป และพวกเจ้าก็ควรจะกลับไปยังเมืองหมอกสน เพราะที่นี่เป็นถิ่นทุรกันดาร ซึ่งไม่เหมาะกับการรั้งอยู่อีกต่อไป”
“แต่ข้าอยากอยู่กับท่าน” ดวงตาที่ใสบริสุทธ์ของเฉินอันพลันเบิกกว้างและเขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า “ท่าน… ท่านไม่ไปไม่ได้หรือ”
เมื่อเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความหวังและความปรารถนาของเฉินอันในตอนนี้ เฉินซีก็เกิดความปรารถนาอันแรงกล้าที่ต้องการอยู่เคียงข้างเด็กน้อย เพื่อเฝ้าดูเขาเติบโตขึ้นทีละนิด
…
แต่ในที่สุด เหตุผลก็มีชัยเหนือความปรารถนาของเขา เนื่องจากเขาไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ เพราะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ชายหนุ่มแบกไว้อยู่บนบ่า และเขาอยู่บนเส้นทางที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงด้วยความตั้งใจของตัวเองได้
โอม!
ในขณะที่เฉินซีกำลังครุ่นคิดว่าควรปลอบเฉินอันอย่างไรดี คลื่นมิติที่ผันผวนอย่างรุนแรงก็เกิดขึ้นอย่างกะทันหันบนท้องฟ้าเหนือทะเลสาบถ้ำวิญญาณ และปรากฏทางเดินขึ้น
มหาเสนาบดีที่สวมเสื้อคลุมสีขาวเดินออกมา เมื่อเขาเห็นเฉินซี เจ้าตัวก็อดยิ้มไม่ได้และกล่าวว่า“เฉินซี สมรภูมิบรรพกาลจะเปิดในอีกเจ็ดวันข้างหน้า จงตามข้ามาซะ”
“ใต้เท้าโปรดรอสักครู่ ข้าจะไปทันทีเมื่อสงบสติอารมณ์ของลูกชายได้แล้ว” เฉินซียืนขึ้นทันทีและโค้งคำนับขณะที่เขากล่าว
“ตกลง” มหาเสนาบดีพยักหน้า
ในขณะเดียวกัน เฉินฮ่าว เฟยเหลิ่งชุ่ย ย่าชิง อวิ๋นน่า ตู้ชิงซี มู่เหยา ตวนมู่เจ๋อ และคนอื่น ๆ ก็มาถึงเกาะกลางทะเลสาบ และต่างก็เงียบสนิท
การพรากจากกันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าเสมอ แม้แต่ผู้บ่มเพาะก็ไม่มีข้อยกเว้น
เฉินซียิ้ม จากนั้นร่างของเขาก็ทะยานไปยังทางที่มหาเสนาบดีอยู่
เฉินซีหันกลับมา และกวาดสายตามองใบหน้าของทุกคนอีกครั้ง จากนั้นก็หยุดที่เฉินอันผู้เป็นลูกชายของเขา ชายหนุ่มเงียบไปนานก่อนจะประสานมือแล้วกล่าวว่า “ทุกคน ดูแลตัวเองด้วย!”
มหาเสนาบดีที่อยู่ข้าง ๆ เขา ก็พยักหน้าให้แก่ทุกคนเช่นกัน จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อทันที ทำให้มิติถูกแยกออกจากกัน ก่อนที่จะพาเฉินซีเดินไปตามทางเดินมิติ
“ท่านพ่อ อันเอ๋อร์จะรอคอยการกลับมาของท่านเสมอ!” ทันทีที่เฉินซีเดินเข้าไปในทางเดินมิติ เสียงที่ใสและไพเราะของเฉินอันได้ดังก้องออกมาจากทางด้านหลัง โดยในขณะนั้นเอง พลันเกิดคลื่นลูกใหญ่ที่ถาโถมและโหมกระหน่ำในใจของเฉินซี เพราะหลังจากผ่านไปหนึ่งปี นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินอันเรียกเขาว่าท่านพ่อ!!!