บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 439 เกาะสมบัติที่ร่วงหล่น
บทที่ 439 เกาะสมบัติที่ร่วงหล่น
ไท่ชูฮวาหรง!
เฉินซีจดจำคนผู้นี้ได้ทันที อีกฝ่ายคือไท่ชูฮวาหรงจากราชวงศ์เสวี่ยหง ผู้มีพรสวรรค์และมีวิชากระบี่ที่ไม่มีใครเทียบได้ ทำให้เขาเป็นอันดับหนึ่งของผู้เยี่ยมยุทธ์รุ่นเยาว์ของราชวงศ์เสวี่ยหงโดยไร้คำโต้แย้ง
วิชากระบี่ของคนคนนี้เรียนรู้มาจากสวรรค์และโลก ซึ่งเขาได้เปลี่ยนจักรวาลให้เป็นกระบี่ ทำให้มันทรงพลังและยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขต จนขึ้นชื่อว่าเป็นอัจฉริยะเต๋าแห่งกระบี่ของราชวงศ์เสวี่ยหงที่หาได้ยาก ทำให้เขาโดดเด่นอย่างไม่มีใครเทียบได้
ด้วยเหตุนี้ เฉินซีจะกล้าเมินเฉยต่อผู้ทรงพลังเช่นนี้ได้อย่างไร?
เพราะไท่ชูฮวาหรงมาจากราชวงศ์เสวี่ยหง ซึ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจของราชวงศ์ซ่ง และเขาก็เป็นผู้บ่มเพาะกระบี่ด้วยความเข้าใจที่มีต่อเต๋าแห่งกระบี่อันน่าทึ่ง ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่ดึงดูดความสนใจของเฉินซี
“เป็นเขาจริง ๆ ว่ากันว่าคนผู้นี้ไม่ได้สังกัดนิกายใด ทว่านับตั้งแต่เขาอายุยังน้อย ก็หมกมุ่นอยู่กับกระบี่อย่างบ้าคลั่ง ทำให้เขาพเนจรไปทั่วโดยมีกระบี่อยู่ในอ้อมแขน เนื่องจากเขาไม่มีนิกาย จึงยึดสวรรค์และโลกเป็นอาจารย์ และเนื่องจากไม่มีคู่ต่อสู้ ดังนั้นเขาจึงถือท้องฟ้าและผืนดินเป็นศัตรู จนกระทั่งถึงวันนี้ ก็ยังไม่มีผู้เยี่ยมยุทธ์รุ่นเยาว์สักคนที่คู่ควรเป็นคู่มือของเขา เขาเป็นผู้ทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง จึงทำให้คนอื่น ๆ ตั้งฉายาให้เขาว่าคลั่งกระบี่น้อย!”
นายน้อยโจวดูจะจำบางสิ่งเกี่ยวกับไท่ชูฮวาหรงได้ และถึงกับอุทานออกมาด้วยความชื่นชมซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากนั้นสีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมในขณะที่กล่าวพร้อมกับขมวดคิ้วว่า “เจ้าคลั่งกระบี่น้อยคนนี้ ได้ทุ่มเทบ่มเพาะกระบี่อย่างสุดใจและไม่สนใจเรื่องทางโลก ข้าไม่รู้ว่าเขาจะสู้กับเราหรือไม่ เพราะถ้าเราไปสู้กับเขา ก็คงมีเพียงพี่เฉินเท่านั้นที่จะสู้ได้”
เฉินซีลูบจมูกและหัวเราะเบา ๆ “เจ้านี่คาดหวังในตัวข้าไว้สูงเกินไปจริง ๆ”
ทว่าสิ่งที่เฉินซีไม่เคยคาดหวังก็คือ หวงฝู่ฉิงอิงกลับเห็นด้วยกับมุมมองของนายน้อยโจว นางจึงพยักหน้าและกล่าวว่า “ใช่แล้ว เฉินซีก็เป็นผู้บ่มเพาะกระบี่ และเขาได้บรรลุถึงระดับแนวทางใจหลอมรวมกระบี่ เมื่อเราเกิดความขัดแย้งกับคลั่งกระบี่น้อย มีเพียงเจ้าที่สามารถสยบเขาได้เท่านั้น”
ตอนนี้เฉินซีเริ่มจริงจังแล้ว เขามองไปที่ไท่ชูฮวาหรง ซึ่งยังอยู่ด้านนอกของทางเดินก่อนหน้านี้ ก่อนที่เจตจำนงกระบี่บนร่างกายจะพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความตั้งใจ เพราะนี่คือความรู้สึกระหว่างผู้บ่มเพาะกระบี่ที่ชักนำทั้งสองคน และเมื่อพวกเขาปะทะกัน ก็จะมีแต่มิตรหรือศัตรู ไม่มีทางที่สามให้เลือก
ฟิ้ว!
เมื่อเรือมังกรพันขนนกพุ่งออกมาจากทางเดินและเข้าสู่มหาสมุทรที่ไร้ขอบเขต ขอบเขตการมองเห็นของพวกเขาก็สว่างขึ้นทันที
ทันทีที่เข้ามาที่นี่ เฉินซีสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของสวรรค์และโลก คล้ายกับชายหนุ่มได้มาถึงยุคที่รกร้างวุ่นวาย และกลิ่นอายเก่าแก่ได้จู่โจมไปที่ใบหน้าของเขา กลิ่นอายทุกส่วนมีพลังดาราจักรแห่งความตายที่ไม่บริสุทธิ์และดุร้าย ทำให้ปราณแท้ไหลเวียนเชื่องช้าและความเร็วในการโคจรก็ลดลงถึงครึ่งหนึ่ง
ครืนนน!
ทะเลบรรพกาลเต็มไปด้วยพายุที่โหมกระหน่ำตลอดทั้งปี ซึ่งมีคลื่นยักษ์จำนวนมากที่เกิดขึ้นจากทะเลและสูงถึงสองลี้ คลื่นยักษ์อันน่าตกตะลึงเป็นดั่งมวลน้ำเชี่ยวกรากที่บดขยี้ท้องฟ้า ซึ่งแสดงให้เห็นถึงสภาวะที่รุนแรงและเกรี้ยวกราด ราวกับบรรดาวิญญาณร้ายกำลังสร้างสายลมและคลื่นจากที่ก้นมหาสมุทร ทำให้มันเกิดฉากที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง
เมื่อกวาดสายตาไปยังทะเลบรรพกาลที่กว้างใหญ่ไพศาล นอกจากพายุที่โหมกระหน่ำ คลื่นที่ซัดสาด และพลังดาราจักรที่ปกคลุมอากาศเหมือนหมอก กลายเป็นว่าไม่มีสถานที่เงียบสงบเลยแม้แต่แห่งเดียว!
“นี่คือทะเลบรรพกาล มันแตกต่างจากโลกภายนอกจริง ๆ อีกทั้งยังแตกต่างจากพื้นที่หวงห้ามส่วนใหญ่ที่อยู่ในสมรภูมิบรรพกาล ถ้าเขตหวงห้ามเป็นดั่งอสรพิษร้าย ทะเลบรรพกาลแห่งนี้ก็เป็นดั่งสัตว์ร้าย และขนาดของมันก็อาจบดขยี้ทุกสิ่งได้!” นายน้อยโจวกวาดสายตาไปรอบ ๆ อดไม่ได้ที่จะกล่าวด้วยความประหลาดใจ
“แม้ว่าพื้นที่หวงห้ามบางแห่งในสมรภูมิบรรพกาลจะตั้งอยู่ในมิติที่พังทลาย แต่ก็ไม่กว้างใหญ่เท่ากับทะเลบรรพกาล ดังนั้นกลิ่นอายอันน่าประทับใจของพวกมันย่อมด้อยกว่าอย่างแน่นอน” หวงฝู่ฉิงอิงกล่าว
“ช่างเป็นพลังดาราจักรแห่งความตายที่ร้ายกาจ มันได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดินแล้วจริง ๆ” เฉินซียกมือขวาขึ้น และดูเหมือนว่าเขาจะสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ที่ไร้รูปร่าง
“เจ้าสัมผัสพลังดาราจักรแห่งความตายได้จริง ๆ หรือ?” นายน้อยโจวและหวงฝู่ฉิงอิงต่างประหลาดใจ เนื่องจากคนส่วนใหญ่ต่างก็รู้ว่า พลังดาราจักรแห่งความตายนั้นมีอยู่จริงในทะเลบรรพกาล แต่หลังจากที่เข้าไปในนั้น คนทั้งหลายกลับไม่สามารถสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของมัน
พลังดาราจักรแห่งความตายนี้เป็นเหมือนกับยาพิษที่ออกฤทธิ์ช้า ๆ ซึ่งคอยกัดกร่อนจิตใจและร่างกายของผู้บ่มเพาะโดยไม่อาจหยั่งถึงได้ และเมื่อสังเกตเห็นมัน พวกเขาก็ได้รับพิษเรียบร้อยแล้ว
“ข้าแทบไม่รู้สึกตัวเลย” เฉินซีไม่ได้ปิดบัง ความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณของเขาเทียบได้กับผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายา ดังนั้นชายหนุ่มจึงไวต่อกลิ่นอายต่าง ๆ ที่กระจายอยู่ในฟ้าดิน แม้ว่าพลังดาราจักรแห่งความตายจะรวมเข้ากับท้องฟ้า ผืนดิน และทะเลที่นี่ แต่มันจะหลุดจากการรับรู้ของเขาได้อย่างไร?
หากจิตวิญญาณของเขาได้บรรลุไปอีกขั้น เขาก็จะแยกแยะความหนาแน่นของพลังดาราจักรแห่งความตายได้!
“ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก บางทีอาจไม่มีใครในรุ่นของเราที่มีการบ่มเพาะจิตวิญญาณเทียบเคียงกับเจ้าได้เลย” นายน้อยโจวรู้สึกอับอายในความต่ำต้อยของตัวเอง เขาไม่เคยเชื่อในความแข็งแกร่งของใครเลยตั้งแต่ยังเด็ก แต่หลังจากที่ได้รู้จักกับเฉินซีเป็นเวลานาน เขาก็สังเกตเห็นว่าความสามารถที่เฉินซีเผยออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจนั้น ทำให้ต้องมองเฉินซีราวกับจ้องมองดวงอาทิตย์อยู่เสมอ ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะชื่นชมอีกฝ่าย
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ไท่ชูฮวาหรงกับคนอื่น ๆ พากันพุ่งเข้ามาจากบริเวณใกล้เคียงเช่นกัน
เฉินซีกับคนอื่น ๆ จึงมองกลับไป
ในกลุ่มนี้มีทั้งหมดสี่คน และคนที่เป็นผู้นำคือไท่ชูฮวาหรง ซึ่งเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์รุ่นเยาว์อันดับหนึ่งของราชวงศ์เสวี่ยหง อีกทั้งยังได้รับฉายาว่า ‘คลั่งกระบี่น้อย’ คนคนนี้สวมเสื้อผ้าฝ้ายเนื้อหยาบ มีรูปร่างกำยำ องอาจและมีหลังที่ตั้งตรงดั่งกระบี่เหล็กกล้า แม้ว่ารูปร่างหน้าตาจะดูธรรมดา แต่ดวงตาของเขาก็ลึกล้ำและใสกระจ่างมาก ขณะที่เคลื่อนไหว เขาเป็นดั่งกระบี่ที่แหลมคมแทงทะลุท้องฟ้า ทำให้กระแสลมรอบตัวเขารุนแรงและเฉียบคม
นอกจากไท่ชูฮวาหรงที่เป็นผู้นำแล้ว อีกสามคนก็มีข้อดีของตัวเอง กลิ่นอายของพวกเขาหนักหน่วงเหมือนภูเขา มีชีวิตชีวาเหมือนสายน้ำ บางเบาเหมือนสายลม และยังเผยให้เห็นความแข็งแกร่งอันทรงพลัง ซึ่งมีเพียงผู้เยี่ยมยุทธ์เท่านั้นที่จะครอบครองได้
ในเวลาเดียวกันกับที่กลุ่มของเฉินซีมองมา พวกเขาก็จ้องมองกลับมาเช่นกัน สีหน้าของคนเหล่านั้นเย็นชาและไม่แยแส กระทั่งถึงกับเผยร่องรอยความเกลียดชังออกมา
“ไปที่เกาะสมบัติที่ร่วงหล่นกันก่อน” ไท่ชูฮวาหรงชำเลืองมองไปยังกลุ่มของเฉินซี จากนั้นก็ออกคำสั่งและทะยานออกไปก่อน
“ดูท่าทางของมันสิ! ช่างจองหองยิ่งนัก!” หลังจากที่ไท่ชูฮวาหรงและคนอื่น ๆ จากไปไกลแล้ว นายน้อยโจวก็บ่นพึมพำออกมา
หวงฝู่ฉิงอิงกล่าวด้วยโทสะเช่นกัน “หรือว่าเจ้าอยากจะสู้กับเขาในตอนนี้?”
“เกาะสมบัติที่ร่วงหล่น? อาจเป็นเกาะในทะเลบรรพกาล?” เฉินซีให้ความสนใจกับเนื้อหาในคำพูดของไท่ชูฮวาหรงแทน
หวงฝู่ฉิงอิงพลันตกตะลึง และนางก็กล่าวด้วยความตกใจว่า “ไม่ได้การ พวกเขามาเพื่อเกาะสมบัติที่ร่วงหล่นเหมือนกัน!”
เมื่อเห็นเฉินซีกับนายน้อยโจวมีสีหน้างุนงง นางจึงรีบอธิบายว่า “พวกเจ้าทั้งคู่คงไม่รู้ว่าสมรภูมิบรรพกาลเป็นสถานที่ที่เทพเจ้าในสมัยโบราณได้ออกเดินทาง ตัวตนที่ทรงพลังนับไม่ถ้วนได้ร่วงหล่นลงมาที่นี่ ทำให้มันกลายเป็นสถานที่ที่เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างก็ค้นหาสมบัติอยู่เรื่อยมา”
“เกาะสมบัติที่ร่วงหล่นจึงเป็นสถานที่ที่ฝังสมบัติของเทพเจ้าเอาไว้ หลังจากที่พวกเขาล้มตายในระหว่างสำรวจ ไม่เพียงแต่มีสมบัติล้ำค่าโบราณที่ทรงพลังจนถึงขั้นท้าทายสวรรค์เท่านั้น แต่ยังมีสมบัติล้ำค่าที่หายากอยู่บางชิ้นอีกด้วย ซึ่งทุกชิ้นล้วนมีมูลค่ามหาศาล!”
“แน่นอนว่าตำนานที่เกี่ยวข้องกับเกาะสมบัติที่ร่วงหล่นอาจจะเกินจริงเล็กน้อย แต่สมบัติล้ำค่ามากมายที่หลงเหลือจากสมัยโบราณก็มีอยู่จริงบนเกาะแห่งนั้น และเป้าหมายของเราในการเข้าสู่ทะเลบรรพกาลในครั้งนี้ ก็เพื่อค้นหาเกาะสมบัติลึกลับนี้เช่นกัน”
เมื่อพวกเขาได้ยินคำอธิบายของหวงฝู่ฉิงอิง ทั้งเฉินซีและนายน้อยโจวก็เข้าใจในทันที และตกตะลึงเป็นอย่างมากอยู่ในใจ “มีเกาะแห่งสมบัติมากมายในทะเลบรรพกาลแห่งนี้ แต่เรากลับไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วยซ้ำ”
ความสำคัญของข้อมูลนั้นเห็นได้ชัดเจนจากสิ่งนี้
ในฐานะบุตรสาวคนสุดท้องของจักรพรรดิซ่ง หวงฝู่ฉิงอิงย่อมไม่ขาดแคลนข้อมูล แต่เฉินซีและนายน้อยโจวนั้นแตกต่างกัน นอกจากความรู้ทั่วไปแล้ว ทั้งคู่ไม่รู้อะไรเลยเมื่อเข้าสู่สมรภูมิบรรพกาล ถ้าไม่ใช่เพราะหญิงสาวบอกเรื่องทั้งหมดแก่พวกเขา ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะเคยได้ยินชื่อเกาะสมบัติที่ร่วงหล่นในตลอดชีวิตของพวกเขา แล้วนับประสาอะไรกับการออกค้นหาสมบัติ
“บัดซบ ในเมื่อไท่ชูฮวาหรงรู้ถึงการมีอยู่ของเกาะสมบัติที่ร่วงหล่น แล้วผู้บ่มเพาะคนอื่นที่เข้าสู่ทะเลบรรพกาลจะมาที่นี่ด้วยหรือไม่? หากเป็นเช่นนั้น การต่อสู้เพื่อแย่งชิงสมบัติก็คงจะเป็นเรื่องที่น่าสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง…” นายน้อยโจวขมวดคิ้ว
ในช่วงสามวันที่รอจนกระทั่งเฉินซีมาถึง เขาได้เห็นผู้บ่มเพาะอัจฉริยะหลายร้อยคนจากราชวงศ์ต่าง ๆ ที่มาเพื่อเข้าสู่ทะเลบรรพกาลเช่นกัน หากคนเหล่านี้มุ่งจะไปยังเกาะสมบัติที่ร่วงหล่น เพื่อยึดสมบัติที่อยู่บนเกาะนั้นละก็ การต่อสู้อันโกลาหลครั้งใหญ่จะปะทุขึ้นอย่างแน่นอน และสภาพการต่อสู้ที่โหดเหี้ยมเช่นนั้น เพียงแค่จินตนาการถึงก็ทำให้คนต้องหัวหดด้วยความกลัว
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเช่นกัน
“หากอยากได้สมบัติ แล้วเจ้าจะไม่จ่ายในราคาที่สมน้ำสมเนื้อได้อย่างไร? แม้ว่าครั้งนี้จะอันตรายเป็นอย่างมาก แต่มูลค่าของมันก็มากโขเช่นกัน เพราะมันเป็นถึงสมบัติที่ผู้เยี่ยมยุทธ์ในสมัยโบราณเหลือทิ้งไว้ และคงไม่มีใครที่จะปฏิเสธสิ่งล่อใจเช่นนี้ได้” ดวงตาที่ใสกระจ่างของหวงฝู่ฉิงอิงเป็นประกาย ในขณะที่นางกล่าวอย่างมั่นใจว่า “ไม่ต้องกล่าวถึงว่าข้าได้ติดต่อกับท่านพี่เผยอวี่แห่งราชวงศ์ต้าจิ้นแล้ว ดังนั้นเราไม่ต้องกังวลว่าจะไม่ได้รับผลประโยชน์ หลังจากที่เราร่วมมือกับเขาเพื่อค้นหาสมบัติ”