บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 45 คำตอบ
บทที่ 45 คำตอบ
หมัดเปล่า?
หลี่ไฮว่รู้สึกขบขัน การต่อสู้มาถึงจุดนี้แล้วแต่เจ้าขยะที่อยู่ตรงหน้าเขายังคงหยิ่งผยองราวกับไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาสักนิด!
“เฮ้ พวกเจ้าได้ยินเหมือนข้าหรือไม่? เฉินซีต้องการใช้หมัดเพื่อเอาชนะหลี่ไฮว่?”
“เอ่อ… ดูเหมือนว่าเขาจะพูดอย่างนั้นจริง ๆ”
“เป็นการดิ้นรนสุดท้ายก่อนปราชัยหรือไม่? แต่ข้ารู้สึกว่าเฉินซีไม่ใช่คนประเภทที่ชอบโอ้อวด…”
…
ทุกคนต่างงุนงงและตกตะลึงเมื่อเห็นเฉินซีโยนกระบี่ที่หักในมือทิ้งไปและเอ่ยว่าจะเอาชนะหลี่ไฮว่ด้วยกำปั้นเท่านั้น ไม่ว่าหมัดจะหนักแค่ไหน มันจะสามารถต้านทานอำนาจของศัสตราวิเศษได้อย่างไร?
เว้นแต่…
บางคนที่มีสติปัญญาเฉียบแหลมคิดถึงความเป็นไปได้ และดวงตาของพวกเขารีบจับจ้องไปที่เฉินซีอย่างรวดเร็ว
การหลบหลีกปราณกระบี่ของหลี่ไฮว่ก่อนหน้านี้ทำให้เสื้อของเฉินซีถูกเฉือนฉีกจนตอนนี้ร่างกายส่วนบนนั้นเปลือยเปล่าอย่างสมบูรณ์ ด้วยการเพ่งพินิจอย่างละเอียด ทุกคนจึงสังเกตได้ว่ามัดกล้ามของเฉินซีนั้นสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ เขาเป็นเหมือนรูปแกะสลักที่ถูกสร้างมาอย่างวิจิตรบรรจงเปี่ยมล้นไปด้วยพละกำลังมหาศาลที่สามารถระเบิดออกได้ทุกเมื่อ
ผู้ขัดเกลากายาเทพ?
ฟุ่บ!
ก่อนที่ทุกคนจะทันได้คาดเดาไปไกล ทันใดนั้นร่างของเฉินซีก็หายวับไปราวกับเล่นกล และพริบตาถัดมาหลี่ไฮว่รู้สึกได้ถึงบางสิ่งแวบวาบปรากฏต่อหน้าเขาพร้อมกับหมัดสว่างไปด้วยแสงพร่างพราวพุ่งเข้าใส่อย่างไม่ทันตั้งตัว
ฮะ?
ดวงตาของหลี่ไฮว่เบิกกว้างทันที หมัดของเฉินซีเร็วดั่งสายฟ้าฟาดมันส่งเสียงระเบิดยามทะลวงผ่านอากาศ ซึ่งบ่งบอกถึงความรุนแรงของหมัดนี้ว่าน่าสะพรึงกลัวสุดขีด!
หลี่ไฮว่ไม่กล้ารอช้า เขารีบยกกระบี่สนกระเพื่อมแทงสวนไปที่หมัดซึ่งพุ่งเข้ามาหาเขาอย่างเร่งร้อน
เคร้ง!
กระบี่และหมัดปะทะกันอย่างรุนแรง ฉากที่คาดว่าจะมีเลือดและเนื้อกระเซ็นไม่เกิดขึ้นเนื่องจากหมัดของเฉินซีนั้นแข็งแกร่งไม่ต่างจากเหล็กกล้า มันจึงกลายเป็นเสียงคล้ายการปะทะกันของโลหะ
ตึง! ตึง! ตึง!
หลี่ไฮว่เซถอยหลังไปสามก้าวอย่างต่อเนื่องหนักหน่วง สีหน้าของเขาผันผวนระหว่างซีดขาวและอัปลักษณ์
ผู้ขัดเกลากายาเทพ!
ก่อนหน้านี้หลี่ไฮว่ถูกทำให้ถอยร่นมากกว่าสิบจั้งโดยการโจมตีด้วยกระบี่ของเฉินซี มาตอนนี้เขายังถูกทำให้ถอยอีกครั้งด้วยหมัดของอีกฝ่ายถึงสามก้าว!
เมื่อเหล่าผู้ชมเห็นฉากนี้ นอกจากพวกเขาจะตกตะลึงอย่างมากแล้ว จิตใจของพวกเขายังปั่นป่วนอย่างรุนแรง เฉินซีผู้นี้ปกปิดความแข็งแกร่งไว้อย่างมิดชิดจริง ๆ ความเชี่ยวชาญในเคล็ดวิชากระบี่และทักษะการเคลื่อนไหวบรรลุถึงขั้นสูงแล้ว และไม่เพียงแต่การบ่มเพาะปราณภายในจะไม่ธรรมดาเท่านั้น ชายคนนี้ยังบรรลุการบ่มเพาะร่างกายถึงระดับที่ไม่ธรรมดาขนาดนี้อีกอย่างนั้นหรือ? เขา… เขายังคงเป็นตัวกาลกิณีที่ทุกคนเย้ยหยันอยู่อีกหรือไม่? มีไพ่ลับกี่ใบกันที่ชายหนุ่มผู้นี้ซ่อนไว้?
‘ไอ้สารเลวผู้นี้ร่างกายของมันสามารถป้องกันกระบี่สนกระเพื่อมของข้าได้ ร่างกายของมันแข็งแกร่งกว่าที่คิด… แต่ขอข้าดูหน่อยเถอะว่าหมัดของเจ้าหรือกระบี่ของข้าอะไรที่แข็งกว่ากัน!’
หลี่ไฮว่ลอบกัดฟันกรอด จากนั้นเขาก็พุ่งเข้าใส่เฉินซีราวอัสนีบาต พลังกระบี่ของเขาเปรียบเสมือนแม่น้ำสายใหญ่ถาโถมเข้าใส่เฉินซีอย่างไม่ปรานี
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!
เสียงปะทะคล้ายโลหะกระทบกันดังก้องอย่างต่อเนื่อง หมัดและกระบี่ชนกันจนเกิดเป็นประกายไฟแลบวูบวาบไปทั่ว แต่ทว่าปราณกระบี่ที่สามารถทิ้งรอยเฉือนลึกบนพื้นดินและก้อนหินผาได้กลับไม่สามารถทิ้งสร้างรอยแผลให้แก่ร่างกายที่น่าเกรงขามของเฉินซีได้แม้แต่น้อย
ยามนี้เฉินซีราวกับเป็นคนเสียสติ หมัดทั้งสองของเขาถูกชกออกอย่างไม่หยุดยั้งราวกับฝนดาวตก การโจมตีของเขาดุดันบ้าคลั่งขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับไม่กลัวความตายและพร้อมแลกชีวิตกับอีกฝ่าย!
ร่างกายที่น่าเกรงขามซึ่งเทียบได้กับสมบัติวิเศษ เจตจำนงการต่อสู้ที่ไม่มั่นคงและทักษะหมัดที่เหมือนพายุโหมกระหน่ำทำให้ทุกคนที่รับชมต่างตกตะลึง จิตใจของพวกเขาสั่นไหวอย่างรุนแรง
วิชาหมัดของเฉินซีก็น่าเกรงขามเช่นกัน? เขาใช้มือเปล่าเท่านั้น! ยิ่งไปกว่านั้นมีผู้บ่มเพาะกายาคนไหนบ้างที่มีร่างกายคงกระพันไม่ได้รับบาดเจ็บจากศัสตราระดับลึกล้ำเหมือนอย่างชายหนุ่มผู้นี้บ้าง? ไม่มีเลย!
เมื่อเห็นหมัดที่ชกออกอย่างไม่ขาดสายของเฉินซี หลี่ไฮว่ก็รู้สึกเดือดดาลจนอกแทบระเบิด เมื่อต้องเผชิญกับหมัดที่หนักหน่วงเหล่านี้เขาก็ทำได้เพียงสกัดกั้นปกป้องตัวเอง แม้ว่าเขาจะพยายามตอบโต้ การโจมตีของเขาก็จะถูกหมัดของเฉินซีทำลายและยังโดนโต้กลับทันทีอีกต่างหาก
“บัดซบ!!! ข้าเองก็มีไพ่ตายเหมือนกันนะโว้ย! มาดูกันว่าหลังจากนี้เจ้าจะรับมือข้าอย่างไร ข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นว่าเจ้ากับข้ามันห่างชั้นกันขนาดไหน!!”
หลังจากทนรับหมัดของเฉินซีได้พักหนึ่ง หลี่ไฮว่จึงรู้สึกทนไม่ไหวอีกต่อไป แขนของเขากางออกเหมือนกับนกกระเรียนมงกุฎแดงสยายปีก จากนั้นร่างกายของเขาก็ดูเบาราวกับขนนก และเคลื่อนหลบหมัดของเฉินซีไปทางข้างหลัง
‘เขาจะใช้ไพ่ตายสุดท้ายแล้วอย่างนั้นหรือ?’ หัวใจของทุกคนสั่นไหวเมื่อได้ยินคำพูดหลี่ไฮว่
“สายไปแล้ว!”
ทว่าในขณะเดียวกัน แสงเย็นวาบปรากฏขึ้นในดวงตาที่ไม่แยแสของเฉินซี ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะพุ่งไปข้างนอกราวกับมังกรที่โผทะยาน แค่เพียงพริบตาเดียว เฉินซีก็ย่นระยะได้หลายสิบก้าวและไปปรากฏกายตรงหน้าหลี่ไฮว่ โดยไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายตอบสนองแม้เพียงเล็กน้อย
อึดใจต่อมา หลี่ไฮว่รู้สึกว่าอากาศโดยรอบถูกบีบอัดเข้าหาเขาอย่างรุนแรง จากนั้นหมัดที่ส่องแสงแวววาวราวกับหยกของเฉินซีก็พุ่งเข้าหาลำคอของเขา แต่ก่อนที่มันจะทะลวงคอของเขา ชายหนุ่มก็กางนิ้วออกเปลี่ยนท่าเป็นกรงเล็บและคว้าหมับเข้าที่คอของเขาอย่างฉับพลัน!
ขวับ!
แค่ก! แค่ก!
ท่ามกลางสายตาของเหล่าผู้ชม ลำคอของหลี่ไฮว่ถูกคร่ากุมด้วยมืออันแข็งแกร่งของเฉินซี สีหน้าของเขากลายเป็นสีม่วงเข้มจากการสำลัก หน้าอกยุบพองรุนแรงคล้ายกับว่าใกล้จะระเบิดจนแม้แต่การหายใจก็กลายเป็นเรื่องยากมาก และเขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะอ้าปากยอมรับความพ่ายแพ้
หลี่ไฮว่จบสิ้นแล้ว!
ทุกสายตาเบิกกว้างมองไปที่หลี่ไฮว่ซึ่งไม่มีอำนาจพอจะต่อสู้พละกำลังของเฉินซี แล้วก็ต่างพูดไม่ออก
คนที่ไม่ว่าใครต่างก็ดูถูกไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง ในวลานี้กลับแสดงความสามารถอันเหนือล้ำทำให้ทุกคนประหลาดใจจนแทบอ้าปากค้าง หากพวกเขาไม่เห็นด้วยสองตาของตนเองก็คงไม่เชื่อแน่ว่าเรื่องราวนี้คือความจริง
“เขา… เขาเอาชนะหลี่ไฮว่ได้?” บนประตูเมือง สีหน้าของซูเจียวแข็งค้าง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความสับสน แต่ความรู้สึกของนางที่มีมากกว่าคือความผิดหวังและความโกรธที่มีต่อหลี่ไฮว่
นางต้องการทำให้เฉินซีอับอายต่อหน้าทุกคน และต้องการให้อีกฝ่ายทำลายการบ่มเพาะของตัวเอง รวมไปถึงคุกเข่าขอโทษนาง… ทว่าตอนนี้กลับกลายเป็นนางต้องยืนมองหลี่ไฮว่ถูกเฉินซีกุมคอราวกับไก่ที่รอถูกเชือด ฉากนี้มันไม่ต่างจากนางถูกตบที่ใบหน้าต่อหน้าธารกำนัลเลยสักนิด!
“อ่อนด้อยประสบการณ์อีกทั้งยังหุนหันพลันแล่น หลี่ไฮว่ผู้นี้มีแต่ชื่อความแข็งแกร่งแท้จริงนั้นน่าดูถูกยิ่ง!” ฉางปินส่ายหัว ใบหน้าเต็มไปด้วยความรังเกียจ เขาไม่เห็นใจหลี่ไฮว่เลยแม้แต่น้อย
“พวกเจ้าเห็นมันชัดเจนหรือไม่? นั่นคือหมัดถล่มทลายซึ่งเชี่ยวชาญถึงระดับเอกภาพ” ซ่งหลินกลับไม่ตื่นเต้นเหมือนผู้อื่นเมื่อเห็นเฉินซีได้รับชัยชนะ ท่าทางของเขากลับไปเป็นเกียจคร้านอีกครั้ง
“ข้าคิดว่าหลังจากนี้ข้าจะปรับปรุงความสัมพันธ์ของข้ากับเฉินซีอย่างเหมาะสม ผู้ที่บรรลุเต๋าแห่งการต่อสู้ได้ถึงขั้นนี้แม้แต่ในเมืองทะเลสาบมังกรก็ยังนับว่าหายาก!” สายตาต้วนมู่เจ๋อที่มองเฉินซีเปลี่ยนเป็นความชื่นชมเช่นกัน
ตู้ชิงซีไม่ได้พูดอะไร แต่มีรอยยิ้มที่อธิบายไม่ได้ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของนาง เห็นได้ชัดว่านางมีความสุขมากเช่นกันที่เห็นชายหนุ่มชนะ
“เขาชนะ!”
“ผู้อาวุโสเฉินซีชนะแล้ว!”
“ข้ารู้ว่าผู้อาวุโสเฉินซีสามารถทำได้!”
ลู่เส้าฉงและคนอื่น ๆ จากสำนักพฤกษ์ชาดอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น จากนั้นพวกเขาก็ส่งเสียงโห่ร้องดีใจพร้อมกัน
เฉินซีไม่สนใจบทสนทนาและเสียงโห่ร้องโดยรอบ มือขวาของเขายังคงกุมคอของหลี่ไฮว่ไว้แน่น ขณะคอยระแวดระวังไม่ให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันใด ๆ ขึ้นก่อนจะมองขึ้นไปบนกำแพงเมืองและพูดอย่างเฉยเมยว่า “ข้าชนะแล้ว”
แน่นอน! ภายใต้การจ้องมองของทุกคน แม้ว่าสถานะของซูเจียวจะสูงส่งเพียงใด แต่นางก็ไม่สามารถบิดเบือนข้อเท็จจริงนี้ได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อนางได้ยินคำพูดที่ไม่แยแสออกมาจากปากของเฉินซี ซูเจียวยิ่งรู้สึกพูดไม่ออกและอับอาย นางต้องใช้เวลาอยู่พักหนึ่งเพื่อสงบอารมณ์ก่อนจะเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ความแข็งแกร่งของเจ้าเกินความคาดหมายของข้าจริง ๆ เดิมทีข้าคิดว่าหลังจากที่ตระกูลเน่า ๆ ของเจ้าถูกทำลายไป ขยะเช่นเจ้าอย่างมากที่สุดคงรู้แค่วิธีเขียนยันต์หาเลี้ยงชีพไปวัน ๆ จนแก่ตายไปอย่างไร้คนเหลียวแล ไม่เคยคิดเลยว่าวันนี้เจ้าจะทำให้ข้ารู้สึก ‘ประหลาดใจยิ่งยวด’ ขนาดนี้ได้!”
คำว่า ‘ประหลาดใจยิ่งยวด’ ถูกพูดด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มหนัก ซึ่งเห็นชัดว่ามันคือคำประชดด้วยโทสะและเผยให้เห็นถึงความไม่เต็มใจและการคุกคามอย่างยิ่งยวด
เฉินซีไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม ดวงตาของเขายังคงเย็นชาเหมือนอย่างเคย
ต่อให้เขาไม่จัดการกับหลี่ไฮว่วันนี้ เขาก็เป็นศัตรูกับตระกูลหลี่และตระกูลซูอยู่ดี มันไม่มีที่ว่างสำหรับการประนีประนอมหรือถอยอีกต่อไป นอกจากนี้เฉินฮ่าวได้ติดตามเมิ่งคงไปยังดินแดนทางใต้แล้ว และหากทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางไว้ เฉินฮ่าวคงจะเข้าสู่นิกายกระบี่เมฆาพเนจรแล้วในตอนนี้ ในเวลานี้เขาอยู่คนเดียวและไม่มีอะไรต้องกังวลอีกต่อไป เหตุใดเขาจึงต้องกลัวการคุกคามจากซูเจียวด้วย?
ซูเจียวรู้สึกโกรธยิ่งขึ้นเมื่อเห็นท่าทีที่ไม่แยแสของเฉินซี จากนั้นนางก็เอ่ยด้วยเสียงเย็นชาว่า “เอ่ยคำถามสามข้อของเจ้ามาซะก่อนที่ข้าจะอดรนทนไม่ไหวฆ่าเจ้าทิ้ง!”
ทุกคนที่อยู่ในที่นี้หุบปากและเงี่ยหูฟังเมื่อได้ยินเรื่องนี้ แม้แต่พวกตู้ชิงซีก็มองไปที่เฉินซี ขณะที่พวกเขาก็ต้องการฟังคำถามที่เฉินซีจะถาม
“การตายของปู่ข้าเป็นการวางแผนโดยตระกูลซูของเจ้าใช่หรือไม่?” เฉินซีพูดย้ำคำชัดราวกับว่าคำถามนี้สำคัญพอ ๆ กับชีวิตของเขา
เริ่มแล้ว!
ซูเจียวลอบถอนหายใจ นางเดามานานแล้วว่าเฉินซีจะถามเรื่องนี้ แต่นางต้องตอบตามความจริงเพราะนางได้เอ่ยคำปฏิญาณต่อหลักเต๋าแห่งสวรรค์ไปแล้ว
ต่อให้เป็นผู้บ่มเพาะที่ก้าวข้ามไปสู่ความเป็นอมตะ หากผิดคำปฏิญาณต่อหลักเต๋าแห่งสวรรค์ พวกเขาก็ยังต้องเผชิญกับการลงทัณฑ์ที่รุนแรงของเต๋าแห่งสวรรค์ น้อยที่สุดคือการบ่มเพาะของพวกเขาจะพิการ ส่วนโทษสถานหนักคือความตาย!
ซูเจียวไม่กล้าที่จะท้าทายอำนาจของเต๋าแห่งสวรรค์ นางเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์ “ถูกต้องแล้ว”
ตึง!
หัวใจของผู้คนที่รับฟังคำตอบนี้สั่นสะท้าน เรื่องราวที่ตระกูลซูฉีกสัญญาการหมั้นหมายของเฉินซีนั้นเป็นที่รับรู้กันทั่วไปอยู่แล้ว แต่การที่ยังคงกดดันเฉินซีอย่างต่อเนื่องและฆ่าพี่น้องของเขาทั้งหมด มัน… ไม่โหดเหี้ยมไปหน่อยหรือ?
แม้ว่าเฉินซีจะเดาคำตอบนี้ได้มานานแล้วแต่เมื่อเขาได้ยินซูเจียวออกปากยอมรับเช่นนี้ เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเดือดดาลจนแทบคลั่ง
“ตระกูลซูของเจ้าได้ให้สัญญากับตระกูลหลี่หรือไม่ว่าตราบใดที่พวกเขากักขังข้า น้องชายหรือปู่ของข้าให้ตายในเมืองหมอกสน และทำให้ตระกูลของเราอยู่อย่างเจ็บปวดภายใต้การถูกเหยียดหยามเยาะเย้ยจนถึงจุดที่เราฆ่าตัวตายได้สำเร็จ พวกเจ้าตระกูลซูจะตอบแทนตระกูลหลี่โดยการตกลงแต่งงานกับหลี่ไฮว่ใช่หรือไม่?” เฉินซีสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะเปล่งเสียงถามคำถามที่สองของเขา
คำถามนี้เป็นเหมือนหนามพิษที่ปักคาหัวใจของเขามาโดยตลอด ในวันที่ปู่ของเขาถูกซุ่มโจมตี เฉินฮ่าวได้ใช้ยันต์สดับเสียงเพื่อบันทึกเสียงพูดคุยของผู้โจมตี หากไม่ใช่เพราะสิ่งนั้นเฉินซีคงไม่นึกระแวงตระกูลหลี่และตระกูลซูสักนิด
เหล่าผู้รับชมเหตุการณ์บังเกิดความโกลาหลทันที!
ทุกคนที่อยู่โดยรอบแทบไม่เชื่อหูตัวเองเมื่อได้ยินคำถามนี้ หากความจริงเป็นอย่างที่เฉินซีกล่าว ชื่อ ‘ตัวซวย’ จะไม่เป็นสิ่งที่ตระกูลซูและตระกูลหลี่ร่วมมือกันสร้างขึ้นหรอกหรือ?
“ใช่!” สีหน้าของซูเจียวเริ่มบิดเบี้ยว การยอมรับในสิ่งที่ตระกูลของนางทำต่อหน้าสาธารณะชนทำให้นางรู้สึกอับอายอย่างหาที่เปรียบมิได้
มันเป็นเรื่องจริง!
เมื่อผู้บ่มเพาะจากเมืองหมอกสนนึกถึงการเยาะเย้ยเหยียดหยันที่พวกเขาทำต่อเฉินซีมาโดยตลอดหลายปีที่ผ่านมา พวกเขาต่างรู้สึกชาหนึบในหัวใจ การฆ่าว่าโหดเหี้ยมแล้ว แต่การใช้วิธีการเช่นนี้เพื่อทรมานใครบางคนจนตายมันน่ารังเกียจเกินทน!
สีหน้าของซูเจียวยิ่งเย็นชาและไม่น่ามองเมื่อนางเห็นสายตาที่เหยียดหยามและประหลาดใจของฝูงชนโดยรอบ
ฟู่~!
เฉินซีเกือบจะไม่สามารถยับยั้งความเกลียดชังในหัวใจของเขาได้ ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก ระงับความอยากที่จะกระโจนเข้าใส่คนแซ่ซูที่อยู่ห่างออกไป จากนั้นเขาก็ถามคำถามสุดท้าย “เหตุใดพวกเจ้าถึงทำเช่นนี้?”
“ทั้งหมดเป็นการตัดสินใจอย่างเป็นเอกฉันท์ของเหล่าผู้อาวุโสตระกูลซูของข้า ส่วนเหตุผลเบื้องหลังนั้นข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน”
ซูเจียวอดทนต่อความอับอายในใจขณะที่นางตอบคำถามสามข้อเสร็จ จากนั้นนางจ้องเขม็งไปที่เฉินซีด้วยความเกลียดชัง “ข้าตอบคำถามสามข้อเสร็จแล้ว! คนแซ่เฉินข้าขอเตือนเจ้าไว้หลังจากนี้จงระวังตัวให้ดี ในดินแดนรกร้างใต้พิภพความตายเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ!”
หลังจากที่พูดจบ ซูเจียวก็จากไปทันทีราวกับไม่อยากจะรั้งอยู่ที่นี่ต่ออีกแม้เพียงอึดใจ นางหันหลังจากไปพร้อมกับฉางปินที่เดินตามไปติด ๆ และดูเหมือนว่าทั้งสองคนจะลืมหลี่ไฮว่ที่อยู่ในมือของเฉินซีไป
“ไสหัวไปให้พ้น!” เฉินซีโยนหลี่ไฮว่ออกไปราวกับโยนขยะทิ้ง ร่างของหลี่ไฮว่ร่วงกระแทกพื้นห่างไปประมาณสิบจั้งอย่างน่าอนาถ
“จ…เจ้า…ฝากไว้ก่อนเถอะ!” หลี่ไฮว่ที่อยู่ในสภาพน่าเวทนารีบคลุกคลานขึ้นจากพื้น ก่อนจะจ้องเฉินซีด้วยสายตาที่อาฆาตแค้นและวิ่งเข้าไปในเมืองอาบโลหิต
ต้วนมู่เจ๋อเดินไปหาเฉินซี จากนั้นเขาก็ส่ายหัวและถอนหายใจ “ยอมเป็นทาสรับใช้คนอื่นยังไม่พอกลับยังมีสันดานน่าสมเพชขนาดนี้ ช่างน่ารังเกียจจริง ๆ”
ตู้ชิงซีเข้ามาหาเฉินซีและเอ่ยถามอย่างสงสัย ตอนนี้ทัศนคติที่นางมีต่อชายหนุ่มตรงหน้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว “เหตุใดเจ้าจึงไม่ฆ่าเขาล่ะ?”
“ด้วยความผิดของตระกูลหลี่ การฆ่ามันตอนนี้จะเป็นการปรานีจนเกินไป”
เฉินซีนำเสื้อผ้าชุดใหม่ออกจากแหวนมิติและสวมใส่ขณะตอบอย่างเฉยเมย แต่ในใจของเขาลอบกล่าวเสริมว่า ‘วันหนึ่ง! ข้าจะทำลายล้างตระกูลหลี่ทั้งหมดต่อหน้าไอ้แซ่หลี่ผู้นี้ให้มันได้เจ็บปวดกับการเห็นตระกูลของมันล่มสลายลงต่อหน้า เพื่อแก้แค้นให้ปู่และทุกคนในตระกูลข้า!’
“อืม เข้าเมืองไปพักผ่อนกันก่อนก็แล้วกัน” ตู้ชิงซีไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติม เพียงแต่เงยหน้าขึ้นมองดูสีของท้องฟ้าก่อนจะนำทางไปยังประตูเมืองอาบโลหิต
ท้องฟ้าสีโลหิตค่อย ๆ จางลงเมื่อยามราตรีกำลังมาเยือน ในช่วงยามค่ำคืนบริเวณหุบเขาสีเลือดนั้นจะเป็นสถานที่อันตรายอย่างสุดแสน
ไม่มีใครกล้าอยู่ในสถานที่แห่งนี้ในตอนกลางคืน เหล่าผู้บ่มเพาะนอกประตูเมืองต่างเร่งฝีเท้าเข้าสู่เมืองอาบโลหิต
แกร๊ง! แกร๊ง! แกร๊ง!
เมื่อความมืดมิดแห่งราตรีปกคลุมท้องฟ้า ประตูเหล็กหนาหนักของเมืองอาบโลหิตก็ปิดลงด้วยเสียงดังปัง ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจวบจนรุ่งสาง ประตูเมืองนี้จะไม่มีทางเปิดอีก
บรู๋ว! บรู๋ว! บรู๋ว!
ไกลออกไป เสียงหอนแหลมสูงดังก้องไปทั่วฟ้าดิน เมื่อรวมกับความมืดของยามค่ำคืนมันจึงยิ่งทำให้บรรยากาศน่ากลัวยิ่งขึ้นเป็นเท่าทวี