บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 456 สยบเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์
บทที่ 456 สยบเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์
ในสมรภูมิบรรพกาลแห่งนี้ เนื่องจากความแตกต่างทางกฎของเต๋าแห่งสวรรค์ ผู้บ่มเพาะจึงไม่ถูกจำกัดการบ่มเพาะเมื่อใช้สมบัติวิเศษไม่ว่าระดับใดก็ตาม
ตัวอย่างเช่น พัดนกยูงเพลิง ซึ่งเป็นสมบัติกึ่งอมตะของซวีเหลิ่งเยี่ย และกระบี่โศกนภา ซึ่งเป็นสมบัติกึ่งอมตะของเผยอวี่ ล้วนเป็นเช่นนี้ทั้งสิ้น
แม้ว่ากระบี่บินสีแดงสดที่โม่หลิงครอบครองอยู่จะไม่ใช่สมบัติกึ่งอมตะ แต่มันเป็นสมบัติวิเศษระดับสวรรค์ขั้นสุดยอดที่ได้รับการขัดเกลาด้วยเหล็กผลึกอัคคีจากแกนกลางของโลก และถูกห่อหุ้มด้วยอักขระยันต์ที่ความลึกล้ำหลากหลาย ทำให้มันดูน่าอัศจรรย์อย่างหาที่เปรียบมิได้
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ กระบี่บินเล่มนี้กลับแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยหมัดเดียวของเฉินซี และกลายเป็นฝนโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าก่อนที่จะหายไปราวกับดอกไม้ไฟ ถึงแม้ฉากนั้นจะงดงาม แต่กลับทำให้ใจของผู้คนสั่นไหวได้
ทุกคนตกตะลึงและไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่า พลังอันน่าสะพรึงกลัวที่อยู่ในการโจมตีเมื่อครู่ของเฉินซี จะสามารถทำลายสมบัติวิเศษระดับสวรรค์ขั้นสุดยอดได้ง่ายดาย
พรวด!
กระบี่บินของเขาถูกทำลาย ทำให้จิตใจของโม่หลิงได้รับบาดเจ็บสาหัส เขากระอักเลือดออกมาเต็มปากทันที ก่อนที่สีหน้าของชายหนุ่มจะซีดเซียวและเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
เดิมทีเขาคิดว่า หากอาศัยกระบี่บินระดับสวรรค์ขั้นสุดยอดที่ไร้สุ้มเสียงนี้ เขาจะสามารถฆ่าเฉินซีด้วยการลอบจู่โจมได้ แต่ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเฉินซีจะแข็งแกร่งอย่างน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้!
ความแข็งแกร่งที่เปิดเผยออกมาของเฉินซีน่าสะพรึงกลัวยิ่ง!!
เหมือนสุภาษิตที่ว่า ‘การพูดนั้นง่าย แต่ลงมือทำนั้นยาก’ มีเพียงผู้เคยต่อสู้กับเฉินซีเท่านั้นที่จะสามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ว่า ชายหนุ่มนั้นน่าสะพรึงกลัวเพียงใด
ฟุ่บ!
ในขณะนี้ เฉินซีพุ่งเข้าใส่อีกครั้ง ฝ่ามือขวาของเขาพลันกดลงเบื้องหน้า ทำให้พายุสายฟ้าควบแน่นอยู่บนฝ่ามือ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นสายฟ้าที่คดเคี้ยวไปมาและแหลมคม
พรวด!
ประกายสีแดงเลือดปรากฏขึ้นบนแขนขวาที่เกือบจะถูกตัดขาดของโม่หลิง และเลือดสด ๆ ก็ไหลออกมาเป็นทาง
ตู้ม!
ต่อจากนั้น เฉินซีก็ฟันพายุฝนฟ้าคะนองที่สว่างไสวและเปล่งประกายออกไปอีกครั้ง คราวนี้มันพุ่งเข้าใส่ร่างของโม่หลิงที่บาดเจ็บสาหัส และอีกฝ่ายไม่มีทางที่จะป้องกันมันได้
“อ๊าก!!” โม่หลิงส่งเสียงร้องโหยหวน ร่างกายของเขาไหม้เกรียมและถูกระเบิดกระเด็นปลิวดั่งว่าวที่สายป่านขาด จึงไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้อีก
ตั้งแต่เยี่ยนอวี๋เอ๋อร์หมดสติหลังได้รับบาดเจ็บสาหัส จนกระทั่งเฉินซีออกหมัดอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าเพื่อระเบิดโม่หลิงให้กระเด็นออกไป การโจมตีอย่างต่อเนื่องได้เสร็จสิ้นอย่างราบรื่นในคราวเดียว ซึ่งเกิดขึ้นในเวลาไม่กี่อึดลมหายเท่านั้น อีกทั้งยังรวดเร็วเสียจนทุกคนไม่อาจตอบสนองทัน
ตุบ! ตุบ!
เยี่ยนอวี๋เอ๋อร์และโม่หลิงถูกเฉินซีโยนไปทางด้านข้าง ซึ่งนอนเคียงข้างอยู่กับหลีจวิ้นและตี๋ว่านโหลวที่บาดเจ็บสาหัสและหมดสติอยู่
ภาพนี้ทำให้ทุกคนตัวสั่นด้วยความกลัว เวลาผ่านไปเพียงช่วงสั้น ๆ แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ทรงพลังทั้งสี่คนกลับพ่ายแพ้ด้วยเงื้อมมือของเฉินซี และพวกเขาก็ไม่คู่ควรกับชายหนุ่มอย่างสิ้นเชิง รูปลักษณ์ที่น่าสังเวชของพวกเขาทำให้ทุกคนไม่อาจทนดูได้
เผยอวี่ ฉินเซียว และคนอื่น ๆ ล้วนมีสีหน้าตกใจ ซึ่งดูเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่
“เขาแข็งแกร่งจริง ๆ ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีคนเช่นนี้อยู่ด้วย เพียงแค่การขัดเกลากายาของเขาก็เพียงพอที่จะเทียบกับลูกหลานของเทพอสูรโบราณได้แล้ว!!” ดวงตาที่ใสกระจ่างของปี้หลิงอวิ้นดูลึกซึ้งขึ้นมา ขณะพึมพำกับตัวเองด้วยเสียงอันแผ่วเบา และผลึกสีเขียวระหว่างคิ้วของนางก็เปล่งประกายแวววาว
เฉินซีกวาดสายตามองทุกคนที่อยู่โดยรอบ จึงได้เห็นว่าคนส่วนใหญ่มีสีหน้าหวาดกลัว โดยเฉพาะผู้เยี่ยมยุทธ์อัจฉริยะของราชวงศ์เสวี่ยหงและราชวงศ์เทียนหลาง แม้ว่าจะจ้องมองมายังเขาอย่างเกลียดชัง แต่พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะเคลื่อนไหวอย่างผลีผลาม ส่วนผู้เยี่ยมยุทธ์อัจฉริยะจากราชวงศ์ตงเซี่ยที่อยู่อีกด้านหนึ่ง ยังคงเฝ้าดูอย่างเย็นชาตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่ได้กระทำการอุกอาจ
ตั้งแต่มาถึงเกาะสมบัติที่ร่วงหล่น สถานการณ์ของหวงฝู่ฉิงอิง นายน้อยโจวและตัวเขาก็ยังห่างไกลจากคำว่าดี เนื่องจากมีศัตรูจำนวนมากจ้องมองพวกเขาอย่างคุกคามจากบริเวณใกล้เคียงและพันธมิตรที่ซ่อนเจตนาร้ายอยู่เคียงข้าง ทำให้สถานการณ์ของพวกเขาน่าเป็นห่วง
หากต้องการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ชั่วคราว เขาก็ทำได้เพียงแต่เผยเขี้ยวอันแหลมคมและความแข็งแกร่งออกมาเพื่อคุกคามทุกคน ด้วยวิธีนี้ จึงจะกระตุ้นความหวาดกลัวในใจของศัตรูจนไม่กล้าผลีผลามลงมือ
ดังนั้นจึงเกิดเหตุการณ์เช่นก่อนหน้านี้
อาจกล่าวได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เอาชนะตี๋ว่านโหลวและหลีจวิ้น หรือทำให้เยี่ยนอวี๋เอ๋อร์กับโม่หลิงได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาก็แทบไม่มีการยั้งมือ ชายหนุ่มได้ใช้พลังทั้งหมดเพื่อบดขยี้ศัตรูของเขาในช่วงเวลาที่สั้นที่สุด เพื่อสร้างความตกใจและส่งผลกระทบอย่างรุนแรงในหัวใจของผู้บ่มเพาะที่เฝ้าดูอยู่ทั้งหมด
เมื่อราชาแห่งสัตว์ร้ายคำราม มันสามารถสยบสัตว์ร้ายได้นับร้อยตัวและสามารถสั่งการสัตว์ร้ายอีกนับหมื่นได้ ดังนั้นไม่ต้องกล่าวถึงเฉินซีที่บดขยี้ผู้เยี่ยมยุทธ์อัจฉริยะทั้งสี่คนด้วยตัวคนเดียว
สิ่งนี้เรียกว่าอำนาจสยบฟ้า!
…
“ถึงแม้ชิงซิ่วอี้แห่งราชวงศ์ซ่งจะไม่ได้มา แต่เฉินซีก็มาแทน และความแข็งแกร่งของเขาก็น่าตกใจเช่นกัน หากคนผู้นี้ไม่ถูกกำจัดโดยเร็วที่สุด เขาจะต้องเติบโตเป็นบุคคลชั้นนำที่สามารถควบคุมกองกำลังอันยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน” ภายในฝูงชนที่อยู่ห่างไกล ชายหนุ่มสองสามคนกำลังสนทนากันผ่านกระแสปราณอย่างลับ ๆ
“ช่างน่าเสียดายที่ผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับสูงของราชวงศ์ต้าเสวียนของเราไม่ปรากฏตัว และแม้แต่องค์รัชทายาทก็ยังมุ่งหน้าไปยังพื้นที่หวงห้ามอีกแห่งของสมรภูมิบรรพกาลเพื่อค้นหาดินแดนเร้นลับ ตอนนี้มีเพียงเราสี่คนเท่านั้นที่อยู่ที่นี่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากสำหรับเราที่จะฆ่าคนจากราชวงศ์ซ่ง”
“ฮึ่ม! เฉินซีได้สร้างศัตรูมากมายแล้ว ดังนั้นเราจึงไม่แตกต่างมากนัก หลังจากเข้าไปในซากปรักหักพัง เราจะหาโอกาสลงมือ ข้าไม่เชื่อว่าเราจะไม่สามารถทำลายล้างเฉินซีได้”
รูปลักษณ์ของทุกคนที่สนทนากันอยู่นั้นยังอ่อนเยาว์มาก และพวกเขาเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์อัจฉริยะจากราชวงศ์ต้าเสวียนซึ่งเป็นราชวงศ์ระดับสูง แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะปกปิดตัวตนเอาไว้ เพราะจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครสังเกตว่าพวกเขาสังกัดราชวงศ์ใด
“ฮึ่ม! พวกราชวงศ์ต้าเสวียนก็มาด้วยเช่นกัน เมื่อรวมกับราชวงศ์ต้าเฉียน ศัตรูทั้งหมดของราชวงศ์ซ่งเกือบจะรวมตัวกันที่นี่ ช่างเป็นภาพที่งดงามจริง ๆ” ในอีกด้านหนึ่ง ก็มีกลุ่มคนที่มีลักษณะคล้ายกันอยู่เช่นกัน ดวงตาของพวกเขาเยียบเย็น ซึ่งเผยให้เห็นร่องรอยความเกลียดชัง ขณะกำลังสนทนาผ่านกระแสปราณเพื่อหารือเกี่ยวกับวิธีการจัดการกับกลุ่มของเฉินซี หลังจากเข้าสู่ซากปรักหักพัง
หากพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ตั้งแต่เฉินซีเข้ามายังเกาะสมบัติที่ร่วงหล่น ศัตรูจำนวนมากก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราวกับหน่อไม้ที่งอกขึ้นมาหลังฝนตก ทั้งราชวงศ์ต้าเสวียน ราชวงศ์ต้าเฉียน ราชวงศ์เสวี่ยหง ราชวงศ์เทียนหลาง ราชวงศ์ตงเซี่ย ประกอบกับเผยอวี่แห่งราชวงศ์ต้าจิ้นและฉินเซียวแห่งราชวงศ์ต้าฉินที่มีเจตนาร้ายต่องชายหนุ่ม… จำนวนเพียงเท่านี้ก็น่ากลัวยิ่ง
ยิ่งไปกว่านั้น เหตุการณ์ดังกล่าวก็สามารถอธิบายได้ว่า หายนะแห่งการเข่นฆ่ากำลังจะมาถึงและคลื่นใต้นำกำลังพัดพาอย่างลับ ๆ
…
ส่วนสาเหตุที่เฉินซีไม่ได้ฆ่าหลีจวิ้นและคนอื่น ๆ เหตุผลก็ง่ายดายมาก หากเขาฆ่าคนทั้งสี่ต่อหน้าทุกคน จะทำให้ผู้มีอำนาจที่อยู่เบื้องหลังคนเหล่านี้ไม่อาจทนได้อย่างแน่นอน ในเวลานั้น การต่อสู้ที่ดุเดือดจะปรากฏขึ้นและไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
แต่ตราบใดที่คนทั้งสี่นี้ไม่ตาย เรื่องนี้ยังมีโอกาสเล็กน้อยสำหรับการไกล่เกลี่ย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อสถานการณ์ของเฉินซีและคนอื่น ๆ อย่างมาก
โดยสรุปแล้ว เฉินซีมีเจตนาฆ่าตั้งแต่ก่อนที่จะเอาชนะทั้งสี่คนนี้ แต่หลังจากไตร่ตรองข้อดีและข้อเสีย เฉินซีจึงตั้งใจที่จะปล่อยพวกเขาไป ทั้งนี้ก็เพื่อสยบทุกคน ไม่ใช่การยั่วยุพวกเขา
“เฉินซี เจ้าช่างน่าทึ่งยิ่งนัก!” เมื่อเห็นเฉินซีเดินเข้ามาหา นายน้อยโจวก็กล่าวชมอย่างจริงใจ
“เป็นเรื่องดีที่เจ้าปลอดภัย ขอบคุณมากสำหรับเรื่องนี้” หวงฝู่ฉิงอิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม นางเป็นคนเฉลียวฉลาดและคาดเดาจุดประสงค์ของเฉินซีที่แสดงพลังก่อนหน้านี้ได้ ซึ่งเขาทำเช่นนี้ก็เพื่อเปลี่ยนสถานการณ์ปัจจุบบัน ดังนั้นนางจึงรู้สึกประทับใจกับสิ่งนี้อย่างมาก
“แม้ตอนนี้เราจะปลอดภัยแต่ก็ยังประมาทไม่ได้ ก่อนหน้านี้ข้าได้สังเกตบริเวณโดยรอบ ที่นี่มีศัตรูของราชวงศ์ซ่งซ่อนตัวอยู่ในเงามืด ดังนั้นเรายังต้องระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงเหตุไม่คาดคิดที่อาจเกิดขึ้น” เฉินซียิ้มในขณะที่กล่าวเป็นนัยไปยังคนทั้งสองกลุ่มที่อยู่ห่างออกไป ซึ่งคนทั้งสองกลุ่มที่ว่าก็คือผู้เยี่ยมยุทธ์อัจฉริยะของราชวงศ์ต้าเสวียนและราชวงศ์ต้าเฉียน
นายน้อยโจวและหวงฝู่ฉิงอิงพยักหน้ารับอย่างจริงจัง พวกเขารู้สึกเชื่อมั่นในพลังของเฉินซีที่แสดงออกมาก่อนหน้านี้อย่างสุดหัวใจ ดังนั้นพวกเขาจึงทำตามคำแนะนำและความคิดเห็นของชายหนุ่มไปโดยปริยาย
“ช่างแปลกนัก ประกายแสงสมบัติได้ส่องแสงวาบอยู่ภายในประตูขุนเขาเป็นครั้งคราว ซึ่งเหมือนว่าจะเป็นสมบัติที่ถูกเหลือทิ้งไว้จากการต่อสู้ของทวยเทพในสมัยก่อน แล้วเหตุใดทุกคนถึงไม่เข้าไปแย่งชิงสมบัติเหล่านี้ล่ะ?” เฉินซียิ้มขณะที่มองไปที่ประตูขุนเขาที่สูงตระหง่านและอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“เมื่อครู่ ข้าได้รู้เรื่องทั้งหมดอย่างชัดเจนแล้ว มีคนกลุ่มหนึ่งที่เข้ามาตั้งแต่เช้าตรู่ก่อนที่เราจะมาถึงเกาะสมบัติที่ร่วงหล่น แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเสียชีวิตไปแล้ว สมบัติเหล่านั้นดูจะมีความเฉลียวฉลาดและจับต้องได้ยาก ยิ่งไปกว่านั้น บางครั้งสมบัติจะมาพร้อมกับวิญญาณโบราณ เมื่อเข้าใกล้มัน คนคนนั้นจะต้องทนทุกข์ทรมานจากการโจมตีที่น่าสะพรึงกลัว” หวงฝู่ฉิงอิงอธิบาย
“พวกเขาตายหมดเลยหรือ?” ดวงตาของเฉินซีหรี่ลง
ตึง!
ในขณะนี้ มีเงาสีดำได้ทะลวงเข้าไปในหมอกหนาที่อยู่ภายในประตูขุนเขาอันสูงตระหง่าน ก่อนที่จะกระเด็นออกมาข้างนอกประตูพร้อมกับเสียงดังก้อง ร่างนั้นเต็มไปด้วยบาดแผลที่อาบไปด้วยเลือด และผิวหนังก็ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำที่ทำให้หัวใจต้องสั่นสะท้าน
“ม่ายยยย!!” บุคคลนั้นสะดุดล้มและตั้งใจที่จะยืนขึ้น แต่จู่ ๆ หมอกสีดำก็ลอยขึ้นจากผิวกายและกลืนกินร่างเขาจนหมดสิ้น เพียงชั่วพริบตาเดียว ตัวคนก็หายไปอย่างสิ้นเชิง มีเพียงเสียงร้องโหยหวนอย่างน่าสมเพชที่ดังก้องไปทั่วทั้งฟ้าดินเท่านั้น
“ตายไปอีกคนแล้ว” เมื่อเห็นฉากนี้ ดวงตาของทุกคนพลันหรี่ลง และสีหน้าของพวกเขาก็หนักอึ้งขึ้นมาก ทว่าก็ไม่ได้ตื่นตระหนกและดูจะคุ้นเคยกับเรื่องราวเช่นนี้แล้ว
“ซากปรักหักพังนั้นอันตรายมาก ไม่แปลกใจเลยที่ไม่มีใครกล้าก้าวเข้าไป” เฉินซีมองไปยังหมอกหนาทึบที่อยู่ภายในซากปรักหักพัง ซึ่งมีสมบัติล้ำค่ามากมายที่เปล่งประกายอยู่ภายในหมอก แต่ความระแวดระวังอย่างสุดขีดผุดขึ้นในใจของเขาอย่างฉับพลัน
แม้ว่าเกาะสมบัติที่ร่วงหล่นจะเป็นคลังสมบัติที่ทำให้ใครหลายคนต้องน้ำลายไหล แต่มันก็เป็นเหมือนรังของสัตว์อสูร ซึ่งมีทั้งความมั่งคั่งและภยันตรายอยู่ร่วมกัน ด้วยเหตุนี้เอง หากใครอยากได้โชคก้อนโต ก็ต้องจ่ายในราคาที่สูงมาก
แต่เฉินซียังสังเกตเห็นว่า แม้ทุกคนจะไม่ได้ก้าวเข้าไปในซากปรักหักพัง แต่ดูเหมือนพวกเขาจะไม่กระวนกระวายและกำลังรออะไรบางอย่างอยู่
ครืนนน!
ทันทีที่ความคิดนี้ผุดขึ้นในใจของเฉินซี ทันใดนั้น ดวงอาทิตย์ที่ร้อนแรงและเจิดจ้าก็ปรากฏขึ้นภายในประตูขุนเขาของซากปรักหักพัง
แสงสีทองที่เปล่งออกมาดูจะแผดเผาและส่องสว่างไปทั่วฟ้าดิน ชั้นหมอกที่ปกคลุมซากปรักหักพังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและจากนั้นมันก็สลายไปอย่างต่อเนื่อง
ในเวลาไม่กี่อึดใจ ชั้นหมอกมากกว่าครึ่งก็สลายไป แต่ยังไม่หายไปทั้งหมด เพียงกลายเป็นหมอกที่เบาบางและมองเห็นได้อย่างราง ๆ ซึ่งทำให้ทุกคนสามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ภายในซากปรักหักพังได้อย่างชัดเจน
“ในที่สุดเวลาก็มาถึง! หมอกหนาแน่นได้สลายไปและซากปรักหักพังก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง อันตรายที่อยู่ภายในก็ลดลงไปอย่างมาก!” ฝูงชนอยู่ในความโกลาหล พวกเขาตื่นเต้นและดีใจอย่างมากราวกับว่ารอเหตุการณ์นี้มานานแล้ว
“ไปกันเถอะ!” ทันใดนั้น ร่างของปี้หลิงอวิ้นก็สว่างวาบและเผยให้เห็นร่างที่แท้จริงของนาง ปีกสีเขียวกระพืออยู่บนท้องฟ้าขณะที่นางส่งเสียงร้องอย่างชัดเจน จากนั้นก็นำผู้บ่มเพาะอสูรอีกสองสามคนจากราชวงศ์ไป่เจ๋อพุ่งเข้าไปยังซากปรักหักพังอย่างรวดเร็ว
“ฮ่า ๆๆ! เมื่ออีกาทองคำโบยบินอยู่บนท้องฟ้า ซากปรักหักพังก็จะได้รับแสงแห่งวันอีกครั้ง! เราควรเคลื่อนไหวเช่นกัน” ฉินเซียว ผู้เป็นองค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์ต้าฉินหัวเราะเสียงดัง จากนั้นเขาก็พุ่งตรงไปยังซากปรักหักพังโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ที่ข้างหลังเขา มีเหวยคง เฉิงเฟิงและผู้เยี่ยมยุทธ์อัจฉริยะคนอื่น ๆ ของราชวงศ์เทียนหลางตามมาติด ๆ
เมื่อเห็นเช่นนี้ คนอื่น ๆ ก็เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พวกเขากลายเป็นเงาสีดำจำนวนมากที่ทะยานออกไปอย่างกับระเบิด ราวกับพวกเขาเกรงว่าจะล่าช้าและพลาดโอกาสที่จะได้รับสมบัติไป
ในทางกลับกัน เฉินซีและคนอื่น ๆ ก็เข้าร่วมกลุ่มเหล่านี้เช่นกัน พวกเขากลายเป็นลำแสงสามสายพุ่งเข้าไปในซากปรักหักพังลึกลับ ซึ่งว่ากันว่ามีสมบัติที่เทพเจ้าในสมัยโบราณเหลือทิ้งไว้จากการสู้รบ
ในชั่วพริบตา พื้นที่นอกประตูขุนเขาก็เงียบสงัด และไม่มีใครเหลือแม้แต่คนเดียว