บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 460 เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์กระดูกขาว
บทที่ 460 เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์กระดูกขาว
ตู้ม!
ไท่ชูฮวาหรงเพิ่งล้มตายไปเมื่อเครื่องประดับหยกสีขาวพลันปะทุขึ้น แสงสีขาวน้ำนมสาดส่องก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความผันผวนที่ระเบิดหุบเขาให้แหลกเป็นจุณ หลังจากนั้นลำแสงทะยานขึ้นสู่เวหาพร้อมกับปล่อยทะเลแสงที่ทำให้โลกาสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
“บัดซบ ดูเหมือนสมบัติชิ้นนี้จะโกรธเข้าแล้ว!” เสียงร้องตกใจดังขึ้นจากระยะไกล เมื่อเหล่าสหายของไท่ซูฮวาหรงเห็นเฉินซีหยิบสมบัติกึ่งอมตะออกมา พวกเขาสังเกตเห็นว่าสถานการณ์ไม่เป็นไปด้วยดีจึงหันกลับและเผ่นหนีไป
“ข้าจะลองอีกสักตั้ง ถ้าไม่ได้ผล ข้าจะออกไปทันที” ในขณะเดียวกัน เฉินซีก็คร้านเกินกว่าจะสังหารคนทั้งสอง เขาปลดปล่อยพลังบ่มเพาะทั้งหมดที่มีเพื่อควบแน่นวังวนอัสนีจำนวนมหาศาลที่ปกคลุมเครื่องประดับหยกไว้ สมบัติชิ้นนี้ชาญฉลาดยิ่ง น่าเกรงขาม และเขาคงไม่พอใจแน่หากปราบมันไม่ได้!
โอม!
เครื่องประดับหยกสั่นคลอนพลางฉายประกายแสง เผยทั้งชิ้นส่วนที่เป็นผลึกและเกือบจะโปร่งแสงของมัน ในยามเดียวกัน ความผันผวนที่รุนแรงจนหัวใจสัมผัสได้พลันแผ่ออกมาจากเครื่องประดับ
เมื่อเฉินซีเห็นเข้า เขาพลันกลายร่างเป็นลำแสงและหนีไปเพราะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่อันตรายยิ่ง
โครม!
เมื่อเฉินซีจากไปนั้นเอง ก็เกิดแรงระเบิดขึ้นด้านหลังในทันใด เครื่องประดับหยกเปล่งประกายเจิดจรัส ทำให้มันดูเหมือนดาวหางที่ตกลงมา ถล่มภูเขาและทลายท้องนภาอย่างน่าตกใจ พลังที่น่าสะพรึงกลัวกวาดออกไปรอบ ๆ หักร้างถางพงพื้นที่จนโล่งเตียนกลายเป็นสถานที่แห่งความตาย
“ช่างเป็นสมบัติที่น่าเกรงขามยิ่งนัก ไม่ใช่ว่านี่เป็นสิ่งที่ได้รับการเสริมความแข็งแกร่งจากทวยเทพในยุคโบราณหรอกหรือ?” เฉินซีหนีไปอย่างรวดเร็วพลางรู้สึกเสียดายอย่างสุดซึ้ง สมบัติชิ้นนี้ทรงพลังเกินไปจริง ๆ แม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพียังเกิดอาการโลภเมื่อเห็นมัน
ฟิ้ว!
เสียงท้องนภาฉีกขาดดังทะลุแก้วหูแว่วอยู่ไกลห่าง เครื่องประดับหยกเปลี่ยนเป็นลำแสงที่ส่องประกายไปในระยะไกล ทำให้หุบเขาที่พังทลายกลับสู่สภาพที่เงียบสงบ
“หืม? สมบัติชิ้นนั้นน่าเกรงขามยิ่ง แต่เหตุใดจึงเลือกซ่อนตัวอย่างนั้นเล่า?” เฉินซีหันกลับมาก็อดไม่ได้ที่จะงงเป็นไก่ตาแตกเมื่อเห็นสมบัติชิ้นนั้นกำลังจากไปโดยเร็ว
“ไหนดูซิว่ามันจะไปที่ใด” เฉินซีตามไปโดยไม่ลังเล เขาไล่ตามสมบัติตลอดทาง
อย่างไรก็ตาม ความเร็วของเครื่องประดับหยกนั้นมากเกินรับไหว ซ้ำยังเร็วกว่าการเคลื่อนย้ายข้ามมิติเสียอีก แม้เฉินซีจะเปิดใช้ปีกนภาดารกะด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี เขาก็ไม่อาจไล่ตามและจนใจ ทำได้เพียงมองดูสมบัติหายลับขอบฟ้าไป
ทว่าเฉินซีไม่ยอมแพ้และพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างสุดกำลัง ทำให้ทิวทัศน์ภูเขาและแม่น้ำผ่านสายตาไปอย่างรวดเร็ว เขาได้เข้าสู่ส่วนที่ลึกที่สุดของซากปรักหักพังอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้แล้วโดยไม่รู้ตัว
ผ่านไปครึ่งวัน ในที่สุดเฉินซีก็สัมผัสถึงความผันผวนของเครื่องประดับหยก
แท้จริงแล้วมีแม่น้ำที่กว้างใหญ่และไหลต่อเนื่องอยู่ไกลห่าง ที่น่าตกใจคือแม่น้ำสายนี้เต็มไปด้วยกระดูกจำนวนนับไม่ถ้วน
เฉินซียืนอยู่ริมแม่น้ำในขณะที่ลมหนาวหวีดหวิวพัดเข้าใส่โครงกระดูกภายในแม่น้ำกระดูกนี้ ทำให้ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดซึ่งฟังดูเหมือนเสียงคร่ำครวญของผีที่ชวนน่าขนหัวลุก
ใจกลางแม่น้ำกระดูก มีเปลวเพลิงสีขาวน้ำนมลุกโชนราวกับหินหลอมเหลวสีขาวสดพวยพุ่งและไหลออกมา มันเป็นฉากที่แปลกประหลาดซึ่งดูแล้วน่ากลัวอย่างยิ่ง
“เป็นเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์กระดูกขาว!” เฉินซีรู้สึกตกใจเมื่อจดจำเปลวไฟชนิดนี้ได้ มันทำให้หัวใจของเขาเต้นแรง
ว่ากันว่าหลังจากทวยเทพในสมัยโบราณล้มตาย ความศักดิ์สิทธิ์ที่สถิตอยู่ในกระดูกของเหล่าทวยเทพจะไม่ถูกทำลาย หลังจากผ่านมาหลายปีนับไม่ถ้วนก็จะก่อตัวเป็นเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์กระดูกขาว ซึ่งทำให้ทั้งโลกต้องตกตะลึงและเป็นเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่ดีที่สุดในการขัดเกลาสมบัติอมตะ!
ที่ใจกลางของแม่น้ำกระดูกสายนี้มีดวงไฟที่พร่างพรายเจิดจ้าพุ่งกระโจนไปมา มีร่องรอยแห่งความศักดิ์สิทธิ์ไหลอยู่ภายในนั้น ยิ่งกว่านั้น มันได้เปล่งท่วงทำนองแห่งมหาเต๋า เป็นปรากฏการณ์ที่น่าตกใจอย่างยิ่ง
เฉินซีจ้องมองอย่างลึกล้ำในขณะที่เฝ้าอย่างระมัดระวังอยู่ไกลห่าง หากนั่นคือเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์กระดูกขาวจริง ๆ ก็หมายความว่าซากของทวยเทพโบราณถูกฝังอยู่ใต้แม่น้ำแห่งกระดูกนี้ไม่ใช่หรือ?
ซากศพของทวยเทพถูกปกคลุมด้วยมหาเต๋าและมีความศักดิ์สิทธิ์ ทำให้เจตจำนงของพวกมันเป็นนิรันดร์ ยิ่งกว่านั้น ยังครอบครองความศักดิ์สิทธิ์อันไร้ขอบเขต ทำให้มูลค่ายิ่งใหญ่จนแม้แต่เซียนสวรรค์ยังต่อสู้จนตัวตายเพื่อสิ่งนี้
นี่เป็นเหมือนรอยกระดูกของสัตว์ร้ายไร้เทียมทานบางตัวซึ่งมีความล้ำลึกแห่งมหาเต๋ามากมาย ซ้ำยังมีความรู้แจ้งและปัญญาแห่งเทพสำหรับกฎแห่งมหาเต๋า หากมีใครเข้าใจร่องรอยของแก่นแท้ที่อยู่ภายในนั้นได้ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อผู้นั้นอย่างแน่นอน
“มีเครื่องประดับหยกอยู่ในไฟเหล่านั้น!” ในจังหวะถัดมา เฉินซีตกตะลึงเมื่อพบว่าเครื่องประดับหยกขาวใสบริสุทธิ์ซึ่งทนต่อเพลิงอันร้อนแรงกำลังลอยอยู่ภายในเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์กระดูกขาว
หรือว่าเครื่องประดับหยกชิ้นนี้จะได้รับบาดเจ็บจึงใช้เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์กระดูกขาวในการซ่อมแซมตนเอง ไม่ก็อาจจะต้องการแปลงกาย? หากเป็นเช่นนั้นสติปัญญาที่สมบัติชิ้นนี้ครองอยู่นั้นคงมากเกินจะหยั่งถึง
“มีเพียงวิญญาณสมบัติแห่งสมบัติอมตะเท่านั้นที่สามารถมีสติปัญญาเช่นนั้นได้ใช่หรือไม่?” ในขณะนี้เฉินซียังสงสัยว่าเครื่องประดับหยกชิ้นนี้เป็นเพียงสมบัติอมตะจริง ๆ หรือ และแม้ว่าจะไม่ใช่สมบัติอมตะ มันก็ไม่ได้ด้อยไปกว่านั้นเลย
แม่น้ำกระดูกคดเคี้ยวในขณะที่ปกคลุมด้วยซากศพ เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ใจกลางแม่น้ำก็ลุกโชนด้วยเปลวไฟสีขาวน้ำนมหลั่งไหลราวกับหินหลอมเหลวที่กำลังจะปะทุ กลิ่นอายที่แผ่ออกมานั้นน่าสะพรึงกลัวและอันตรายยิ่ง ทำให้เฉินซีไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหลบเลี่ยงชั่วคราว
เขายังคงอยู่ที่แม่น้ำกระดูกอีกสองสามวันและเฝ้ารอให้เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์กระดูกขาวดับลงอยู่เสมอ อย่างไรก็ตาม มันยังคงสว่างไสวโชติช่วงในขณะที่เปล่งแสงพลุ่งพล่าน ไม่แสดงสัญญาณของการดับแต่อย่างใด
ผ่านไปอีกเจ็ดวัน การเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นในเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์กระดูกขาวในที่สุด มันลุกโชนและจมลงไปในแม่น้ำ ในขณะที่เครื่องประดับหยกจมลงไปในแม่น้ำพร้อมกับเปลวเพลิง หากเฉินซีไม่เฝ้าดูอย่างต่อเนื่อง เขาคงคิดว่ามันหายไปแล้ว
ฉับ!
บัดนี้ ขณะที่เฉินซีกำลังจ้องมองเครื่องประดับหยกจากริมแม่น้ำ จู่ ๆ แสงกระบี่ก็วาบขึ้นมา ชายหนุ่มที่สวมชุดขาวปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับกระบี่ในมือพุ่งทะยานขึ้นกลางอากาศ เขาพุ่งเข้าหาเฉินซีขณะที่มองลงมาจากด้านบน
เงาร่างปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่องในบริเวณโดยรอบ ที่น่าตกใจก็คือร่างเหล่านั้นเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์อัจฉริยะแห่งราชวงศ์เสวี่ยหง และชายหนุ่มในชุดขาวก็เป็นหนึ่งในสหายสองคนของไท่ชูฮวาหรง
เฉินซีหลบเลี่ยงแสงกระบี่ สายตาจับจ้องไปยังกลุ่มคนเหล่านี้ เขาตกใจเมื่อพบว่ากลุ่มคนทั้งสิบห้ากลุ่มนี้ไม่ได้มีเพียงผู้เยี่ยมยุทธ์อัจฉริยะแห่งราชวงศ์เสวี่ยหงเท่านั้น ยังมีสมาชิกแห่งราชวงศ์ตงเซี่ย ราชวงศ์เทียนหลาง และราชวงศ์ต้าฉินด้วย
“พวกเจ้านี่เหมือนตัวเสนียดที่สะบัดไม่หลุดจริง ๆ” ขณะที่เฉินซีกล่าว นัยน์ตาแนวตั้งได้ปรากฏขึ้นที่หว่างคิ้วของเขาก่อนจะกวาดมองผ่านทุกคนที่อยู่ตรงนั้น ก่อนที่ชายหนุ่มจะรู้สึกสบายใจอย่างยิ่งเมื่อไม่เห็นรัศมีของขอบเขตจุติ
บนหุบเขาในวันนั้น เขารู้สึกลำบากใจอย่างยิ่งเมื่อไท่ชูฮวาหรงเผยการบ่มเพาะขอบเขตจุติระดับสี่ออกมา หากเฉินซีไม่ได้ครอบครองสมบัติกึ่งอมตะอย่างพัดนกยูงเพลิงละก็ เขาคงไม่อาจสังหารไท่ชูฮวาหรงลงได้อย่างง่ายดาย
อันที่จริงจักรพรรดิซ่งได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนแล้วก่อนที่พวกเขาจะเข้าสู่สมรภูมิบรรพกาลว่า ควรบรรลุสู่ขอบเขตจุติหลังเข้าสู่สมรภูมิบรรพกาล
ทว่าสภาพแวดล้อมในสมรภูมิบรรพกาลนั้นเลวร้ายเกินคาด การจะหาสถานที่สงบสุขเพื่อบ่มเพาะและทะลุขอบเขตนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย ผนวกกับการที่เฉินซีอยู่อย่างสันโดษและไม่มีใครคอยคุ้มกัน เขาจึงไม่มีเวลาบรรลุสู่ขอบเขตจุติตลอดเวลาที่ผ่านมา
ทว่าเขาตัดสินใจตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้วว่าจะทะลวงขอบเขตจุติหลังออกจากเกาะสมบัติที่ร่วงหล่น เพราะมีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่เขาจะมีคุณสมบัติพอที่จะต่อกรกับผู้เยี่ยมยุทธ์ที่แท้จริงในสมรภูมิบรรพกาล
“เหอะ! แน่นอนว่าความเกลียดชังควรได้รับการแก้ไขด้วยการใช้กำลัง มันเป็นความผิดของเจ้าที่เป็นคนของราชวงศ์ซ่ง!” ชายหนุ่มที่เป็นผู้นำกลุ่มสวมเสื้อคลุมอันหรูหรามีนามว่าเกิ่งหลัว เขาเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์อัจฉริยะแห่งราชวงศ์ต้าเฉียน เห็นได้ชัดว่าคนกลุ่มนี้อยู่ใต้บังคับบัญชาเขา
เฉินซียิ้มเมื่อได้ยินสิ่งนี้ จากนั้นก็พูดพลางส่ายหัว “ไม่ใช่ว่าผู้เยี่ยมยุทธ์อัจฉริยะในราชวงศ์ต่าง ๆ ของพวกเจ้าล้มตายกันไม่น้อยในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาหรือ? ยังกล้าไล่ตามข้าอีก? เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกเจ้าไม่กลัวที่จะตายคาซากปรักหักพังเหล่านี้?”
เขากำลังกล่าวความจริง นับตั้งแต่ฝูงสัตว์ร้ายปะทุขึ้นครั้งแรกจนถึงวันนี้ เวลาก็ผ่านไปกว่าสองเดือนแล้ว ระหว่างช่วงเวลานี้ เขาประสบกับการซุ่มโจมตีนับครั้งไม่ถ้วน ทำให้จำนวนผู้เยี่ยมยุทธ์อัจฉริยะที่ถูกปลิดชีพด้วยน้ำมือของชายหนุ่มนั้นมากจนน่าหวาดผวา
ทว่าเมื่อคำพูดเหล่านี้ลอยมาเข้าหูกลุ่มคนที่อยู่ตรงนั้น มันก็เหมือนกับการดูถูกและเยาะเย้ยอย่างไม่ปิดบัง ทำให้ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความโกรธและกลายเป็นสิ่งที่ไม่น่าดูอย่างยิ่ง
“เจ้าคิดว่าเจ้าจะมีชีวิตต่อไปได้หลังจากวันนี้จริงหรือ? เพื่อที่จะปลิดชีพเจ้า ผู้เยี่ยมยุทธ์อัจฉริยะจากราชวงศ์ต่าง ๆ จึงได้รวมตัวกันในครั้งนี้ และไม่ว่าจะเคลื่อนไหวรวดเร็วเพียงใด เจ้าก็ไม่สามารถหนีความตายในครั้งนี้ได้!” เกิ่งหลัวตะโกนเสียงดังก่อนที่จะโจมตีซึ่ง ๆ หน้า
เนื่องจากได้รับเลือกให้เป็นผู้นำของทุกคน พละกำลังของเขาย่อมไม่อ่อนแอ และก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เกิ่งหลัวเป็นผู้มีพรสวรรค์อันดับหนึ่งของราชวงศ์ต้าเฉียน ไม่มีผู้ใดในรุ่นเดียวกันที่สามารถต่อต้านได้ เขาซุ่มโจมตีเฉินซีอยู่ในซากปรักหักพังเหล่านี้มาหลายครั้งแล้ว ทว่ามันไม่เคยสำเร็จเลยสักครั้ง นับเป็นความอัปยศอดสูอย่างแท้จริง
เขารวบรวมผู้คนจำนวนมากในช่วงเวลานี้เพื่อปิดทางหนีทั้งหมดของเฉินซีก่อนที่จะกำจัดเขา
หวืด!
ดาบของเกิ่งหลัวพุ่งทะลุท้องนภาในขณะที่เปล่งแสงอันแหลมคมสว่างจ้า ซึ่งครอบคลุมและสั่นสะเทือนเวหา มันเฉือนลงมาทางเฉินซี
นี่เป็นการซุ่มโจมตีซึ่งหลบหนีได้ยาก ทว่าเฉินซีก็ไม่คิดจะหนีอีกแล้ว เขายื่นมือออกไปคว้ายันต์ศัสตราก่อนที่ปราณกระบี่จะพวยพุ่งราวกับคลื่นยักษ์ มันพุ่งไปข้างหน้าและทำลายการโจมตีของเกิ่งหลัวจนหมดสิ้น
“ทุกคน โจมตีร่วมกันและทำลายอสูรร้ายตัวนี้กันเถิด!” ชายหนุ่มคนหนึ่งเคลื่อนไปข้างหน้าและโจมตีพร้อมกับเกิ่งหลัว
ในยามเดียวกัน ทุกคนต่างกระจายตัวไปรอบ ๆ ปิดล้อมทุกทิศทาง ก่อนจะโจมตีไปยังเฉินซีซึ่งยืนอยู่ริมแม่น้ำด้วยกำลังเต็มเปี่ยมอย่างต่อเนื่อง
ตู้ม!
การต่อสู้ปะทุขึ้น เฉินซีปะทะเข้ากับคนสองสามคนอย่างต่อเนื่อง ทำให้พลังชีวิตและโลหิตของเขาเดือดพล่าน การโจมตีรูปแบบต่าง ๆ ที่ปกคลุมท้องฟ้ากดทับเขาจนเกือบหายใจไม่ออก
ไม่ใช่เพียงหนึ่งหรือสองคน มันคือสิบห้าคน!
ทั้งสิบห้าคนเป็นสุดยอดอัจฉริยะของคนรุ่นเยาว์ที่มาจากหลากหลายราชวงศ์ กระบวนยุทธ์ที่พวกเขาฝึกฝนนั้นเป็นกระบวนยุทธ์เต๋าขั้นสมบูรณ์ และสมบัติวิเศษที่พวกเขาครอบครองนั้นล้วนเป็นสมบัติวิเศษระดับสวรรค์ขั้นสุดยอดทั้งนั้น ในขณะนี้ เมื่อพวกเขาโจมตีพร้อมกันด้วยความตั้งใจที่จะกำจัดเฉินซี พลังที่แสดงออกมานั้นเป็นสิ่งที่แม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตจุติยังต้องเผ่นหนี
หัวใจของเฉินซีเย็นยะเยือกขึ้นเมื่อเขารู้ว่าไม่อาจต่อกรกับพวกของอีกฝ่ายได้ทั้งหมด เพราะหากถูกขังไว้อย่างนี้ ชายหนุ่มจะต้องตายอย่างแน่นอน!
เขาไม่ได้ถูกขังอยู่ในวงต่อสู้ ทว่าต่อสู้ในขณะที่กำลังล่าถอย
“เฉินซี พละกำลังของเจ้าช่างน่าเกรงขามเสียจริง และก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้เยี่ยมยุทธ์รุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งที่สุดในราชวงศ์ต้าเฉียนของข้า แต่วันนี้เจ้าต้องตายอย่างแน่นอน ยิ่งกว่านั้นไม่ใช่แค่เจ้าเท่านั้น อัจฉริยะทั้งหมดแห่งราชวงศ์ซ่งของเจ้าก็จะประสบกับความพินาศในสมรภูมิบรรพกาลนี้!” เกิ่งหลัวตะโกนออกมาเสียงดังในขณะที่การโจมตีของเขารุนแรงยิ่งขึ้นราวกับพายุ
เฉินซีสั่นคลอนจากการโจมตีเหล่านี้จนถึงจุดที่พลังชีวิตและเลือดลมพลุ่งพล่าน เขาใช้ปีกนภาดารกะซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อหลบการโจมตี ทว่าสีหน้าของชายหนุ่มไม่ได้ตื่นตระหนก และในที่สุดเขาก็พุ่งออกไปยังแม่น้ำกระดูก!
เขามีความคิดที่กล้าหาญอยู่ในใจ และไม่เพียงแต่ต้องการเอาชีวิตรอดเท่านั้น ชายหนุ่มยังต้องการที่จะทำลายล้างผู้คนทั้งหมดที่ปิดล้อมในครั้งนี้ให้สิ้นซากด้วย!