บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 478 ศัตรูอยู่ทั่วทุกสารทิศ
บทที่ 478 ศัตรูอยู่ทั่วทุกสารทิศ
“เร็วเข้า! หากช้าไปเราจะไม่ได้อันใดเลย!”
“พวกเจ้าจะยอมให้คนอื่นไปถึงก่อนอย่างนั้นหรือ? ถ้าไม่ยอมงั้นรีบตามข้ามา ข้าได้ยินว่าเฉินซีครอบครองสมบัติเอาไว้มากมายนัก ดังนั้นขออย่าให้ถึงจุดที่แม้แต่เศษเสี้ยวก็ไม่อาจคว้าไว้ได้ ไม่งั้นพวกเราคงตรอมใจตายเป็นแน่”
“รีบเร็ว! ไปข้างหน้าต่อ!”
ด้านนอกบึงหนอง กลุ่มคนรุดฝีเท้าเข้ามาด้วยความเร็วสูงในขณะที่ปราณภายในร่างกายของพวกเขาพลุ่งพล่าน ตัวคนก็พุ่งทะยานเข้าหาหนองน้ำ
พวกเขาคือผู้เยี่ยมยุทธ์อัจฉริยะแห่งราชวงศ์ต้าเสวียนและราชวงศ์ต้าเฉียน ซึ่งล้วนเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่มีเป้าหมายหลักคือการสังหารเฉินซีและแบ่งสมบัติที่อีกฝ่ายมี
พวกเขาเคยได้ยินมาว่าไม่เพียงแต่เฉินซีจะครอบครองสมบัติกึ่งอมตะเช่นพัดนกยูงเพลิงเท่านั้น อีกฝ่ายยังบดขยี้ประกาศิตเซียนสวรรค์อีกด้วย หากชายหนุ่มไม่มีสมบัติชิ้นอื่น พวกเขาก็จะไม่เชื่อไม่ว่าอย่างไรก็ตาม!
มีผู้เยี่ยมยุทธ์อีกกลุ่มปรากฏตัวขึ้นอีกฝั่งหนึ่งเช่นกัน พวกเขาล้วนเปล่งกลิ่นอายอันน่าเกรงขาม สายตาที่จ้องมองมาเหมือนสายฟ้าแลบและเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วราวกับดวงดาราที่พร้อมบดขยี้ห้วงมิติ ซ้ำยังมีแรงผลักดันมหาศาล
ผู้เยี่ยมยุทธ์เหล่านี้มาจากแคว้นเยว่หลุน ผู้นำกลุ่มคือองค์ชายซวีเหลิ่งเยี่ย เพื่อนำพัดนกยูงเพลิงกลับมา อาจกล่าวได้ว่าเขาได้จ่ายเงินไปจำนวนมหาศาลเพื่อเชิญผู้เยี่ยมยุทธ์อัจฉริยะจากหลายราชวงศ์มาช่วย ในขณะนี้ พวกเขาเหาะเหินอยู่บนเวหาเป็นแนวขบวนที่หนาแน่นและมีขนาดใหญ่ถึงห้าสิบหกสิบคน
“กองกำลังนี้มาจากไหนกัน มีผู้เยี่ยมยุทธ์มาเตรียมการมากขนาดนี้เลยหรือ?”
ผู้คนในพื้นที่ใกล้เคียงเงยหน้าขึ้นพลางแสดงสีหน้าตกใจเพราะในแต่ละราชวงศ์จะมีการจำกัดจำนวนคนที่สามารถเข้าสู่สมรภูมิบรรพกาล และแม้แต่ราชวงศ์ระดับสูงสุดก็สามารถส่งคนมาได้เพียงสามสิบคน ทว่าคนกลุ่มนี้กลับมีมากถึงห้าสิบหกสิบคน และนี่ก็ถือได้ว่าเป็นกองกำลังที่น่าสะพรึงกลัวอย่างไม่ต้องสงสัย
โครม!
ซวีเหลิ่งเยี่ยกำลังคึกคัก และไม่ได้คิดซ่อนกองกำลังของเขาแต่อย่างใด พวกเขาพุ่งทะยานท่ามกลางท้องนภามาตลอดทาง กระแสลมที่พัดมาจากคณะนี้ทำให้ก้อนหินนับไม่ถ้วนปลิวออกไป ทรายฟุ้งกระจายไปทั่วอากาศ
“รีบไปกันเถอะ พวกเราไม่ควรตามหลังใคร สมบัติกึ่งอมตะนั้นหาค่าไม่ได้ และมีเพียงคนจากราชวงศ์ระดับสูงเท่านั้นที่ครอบครองมันได้ ถ้าพวกเราได้มันมา พวกเราย่อมจะเข้าสู่บททดสอบสุดท้ายแห่งสมรภูมิบรรพกาลได้อย่างแน่นอน”
กลุ่มของผู้เยี่ยมยุทธ์จากหลายราชวงศ์วิ่งกรูเข้ามาและไม่ยอมถอยหลังแม้จะเห็นทัพของซวีเหลิ่งเยี่ย จากนั้นพวกเขาก็พุ่งเข้าสู่ก้นหนองบึงอย่างรวดเร็ว
เสียงฟ้าแลบและเสียงหวีดหวิวดังขึ้นเป็นช่วง ๆ ส่งเสียงกึกก้องไปทั่วโลกา
“ช่างเป็นกองกำลังที่ใหญ่โตเสียจริง” เฉินซีหยุดขยับ เสื้อผ้าของเขาปลิวไสวด้วยลมภูเขาที่พัดผ่าน ในขณะนั้น ดวงตาที่ล้ำลึกของชายหนุ่มเป็นดั่งอัสนีสองสายที่พร้อมปะทุออกมาเมื่อสัมผัสได้ถึงเจตจำนงสังหารมากมาย
เขาไม่ได้เกรงกลัว ทว่ารู้สึกเจ็บใจเล็กน้อยที่การจู่โจมก่อนหน้านี้ไม่สามารถปลิดชีพเผยอวี่ ฉินเซียว ปี้หลิงอวิ้นและพรรคพวกได้ จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขุ่นเคือง
ทว่าเขาก็ทราบว่าตราบเท่าที่ตนยังมีชีวิตอยู่ เจ้าพวกนี้คงไม่อาจกินนอนได้อย่างสงบสุข และจะต้องปรากฏตัวต่อหน้าเฉินซีอีกครั้งอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องเสียเวลาไล่ตาม
“เจอแล้ว เขาอยู่ที่นี่!”
“ฮ่า ๆ เขายังมีชีวิตอยู่อีก ดูเหมือนว่านี่จะเป็นประโยชน์ต่อพวกเรา!”
ในขณะนี้ กลุ่มเมฆเริ่มปกคลุมทั่วทุกทิศทุกทาง ขณะที่ผู้เยี่ยมยุทธ์อัจฉริยะจากหลากหลายราชวงศ์กรูเข้ามา บางคนสังเกตเห็นเฉินซีพลางหัวเราะอย่างเริงร่า เพราะพวกเขาไม่ได้มาสายเกินไป โชคดีสำหรับพวกเขาที่เฉินซียังไม่ถูกฆ่าตาย
นี่คือกลุ่มของผู้เยี่ยมยุทธ์อัจฉริยะที่ส่วนใหญ่มาจากราชวงศ์อื่น ๆ ที่เคยเผชิญหน้ากันมาก่อนตรงหนองบึง ก่อนที่จะร่วมกันบุกเข้าโจมตี และพวกเขาในขณะนี้ได้สร้างกองกำลังที่น่ายำเกรงเพื่อปิดล้อมเฉินซีเอาไว้ที่นี่
“เจ้าหนุ่ม ทัณฑ์สวรรค์นั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อม รีบมอบสมบัติทั้งหมดที่เจ้าครอบครองมา แล้วข้าจะปล่อยให้เจ้าตายโดยไว” มีคนตะโกนออกมา พวกเขามาเพียงเพื่อคว้าสมบัติที่เฉินซีกำลังครอบครองอยู่
“สังหารเพื่อแย่งชิงสมบัติ?” มุมปากของเฉินซีแฝงความเย็นชา สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยมากเมื่อมีสมบัติเข้ามาเกี่ยวข้อง ตราบใดที่มันยั่วยวนใจมากพอ ก็ทำให้คนคนหนึ่งสามารถทำได้ทุกอย่าง
ทุกคนหัวเราะเยาะเย้ยเมื่อได้ยินสิ่งนี้ นี่ไม่ใช่เรื่องไร้สาระใช่หรือไม่? คิดว่าจะมาชวนคุยเล่น ๆ อย่างนั้นหรือ?
ในมุมมองของพวกเขา ชีวิตของเฉินซีกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้ายและได้สูญเสียพลังต่อสู้ไปนานแล้ว เมื่อรวมกับสายฟ้าลงทัณฑ์ที่พวกเขามองเห็นบนท้องนภา เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายยังไม่ผ่านทัณฑ์สวรรค์ ภายใต้สถานการณ์นี้ อีกฝ่ายก็เป็นเพียงแค่เศษเนื้อบนเขียงที่อยู่ในความปรานีของพวกเขา!
“ข้าแนะนำให้เจ้าส่งสมบัติมาเสียเพื่อหลีกเลี่ยงความทุกข์ทรมาน มิฉะนั้น การมีชีวิตอยู่อาจเจ็บปวดยิ่งกว่าความตายเสียอีก” มีคนหัวเราะอย่างไม่แยแสในขณะที่แสยะยิ้มกว้าง
คนเหล่านี้รู้สึกว่าเฉินซีเป็นดั่งเสือที่ถูกถอนเขี้ยวเล็บ ซึ่งคงไม่แม้แต่จะต้านทานการโจมตีได้ ดังนั้นพวกเขาจึงจงใจกลั่นแกล้ง และหากเป็นเมื่อก่อนคงไม่มีใครกล้าพุ่งเข้าจู่โจม …เพราะเมื่อก่อนนั้นเฉินซีสามารถสังหารผู้เยี่ยมยุทธ์นับไม่ถ้วนได้ด้วยตัวเอง ทั้งยังดุร้ายอย่างไม่อาจหาใครเทียบได้!
“พวกเจ้าก็ลองดูสิ” เฉินซีตอบอย่างสุขุม
“เจ้าปฏิเสธที่จะให้จนกว่าจะตายจริง ๆ! เช่นนั้นก็อย่างโทษพวกข้าละกันหากต้องไร้ความปรานี!” บรรดาผู้คนหัวเราะอย่างน่ากลัว พร้อมกับเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว พวกเขากังวลเช่นกันว่าจะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น หากมีกองกำลังอื่นเข้ามาแทรกแซง พวกเขาคงจะไม่ได้แม้แต่เศษเสี้ยวสมบัติ
ตู้ม!
สมบัติวิเศษพุ่งทะยานสู่เวหา กระบวนยุทธ์มากมายหลั่งไหลดั่งกระแสน้ำเชี่ยวกราก ทันทีที่ผู้คนเหล่านี้ลงมือ พวกเขารีบใช้การโจมตีที่รุนแรงที่สุด ซึ่งปกคลุมทั่วทั้งท้องนภาโดยตรง
พลังอำนาจที่ก่อขึ้นจากผู้คนหลายสิบชีวิตนั้นน่าสะพรึงกลัวยิ่ง มันสร้างพายุที่โหมกระหน่ำในบริเวณนี้ บดขยี้ภูเขาและพัดก้อนหินออกไป พร้อมกับทำให้ต้นไม้โบราณที่สูงตระหง่านถูกโค่นล้มจนไม่เหลือชิ้นดี
แม้ว่าคนกลุ่มนี้จะแสดงท่าทีหยิ่งยโสอย่างมาก ทว่าเมื่อพวกเขาลงมือจริง ๆ ก็ยังใช้พละกำลังทั้งหมดที่มี เพราะกังวลว่าเหตุการณ์ไม่คาดฝันอาจเกิดขึ้นได้
โอม!
แสงโลหิตพุ่งขึ้นสู่เวหา เฉินซีดึงพัดนกยูงเพลิงออกมา พลิกมือก่อนจะคลี่มันออก ส่งทะเลเพลิงอันไร้ขอบเขตให้พวยพุ่งและส่งเสียงคำรามราวกับว่าภูเขาไฟนับไม่ถ้วนได้ปะทุขึ้น มันเปลี่ยนพื้นที่แห่งนี้ให้กลายเป็นทะเลแห่งเปลวเพลิง
“อ๊าก!” ผู้คนหลายสิบชีวิตที่พุ่งไปข้างหน้าส่งเสียงร้องดังลั่น ดวงตาของพวกเขาแสดงความตกใจและหวาดผวา ในเวลาถัดมา ร่างของพวกเขาก็ถูกเปลวเพลิงแผดเผาจนสิ้นซาก ไม่มีเศษเหลือแม้แต่น้อย
ฉากนี้ทำให้คนอื่นพลันชะงักงัน รู้สึกราวกับว่ากำลังตกลงไปในบ่อน้ำแข็ง จากนั้นพวกเขาก็หันกลับและรีบเผ่นหนี
แต่โชคไม่เข้าข้างเพราะมันสายเกินไปแล้ว! ในตอนนี้ เฉินซีได้ใช้พัดนกยูงเพลิงอย่างเต็มกำลัง และพลังของมันก็ได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดมากถึงหนึ่งหรือสองเท่า ทันใดนั้น ทะเลแห่งเปลวเพลิงก็ได้ปกคลุมและปิดกั้นทุกเส้นทางการหนีและคลอกพวกเขาด้วยเปลวอัคคีที่ลุกโชน
เพียงไม่กี่ลมหายใจ ผู้คนที่เหลือก็กลายเป็นเถ้าถ่านท่ามกลางเสียงกรีดร้องโหยหวน พวกเขาเผชิญกับความตายอันน่าสยดสยองจากการถูกเผาจนหมดสิ้น เสียงร้องโหยหวนก่อนสิ้นใจสั่นสะเทือนทั้งสวรรค์และโลก ทำให้ใครก็ตามที่ได้ยินรู้สึกกลัวจนตัวสั่น
นอกจากนี้พื้นที่ในรัศมีพันลี้ยังกลายเป็นเถ้าถ่านโดยสิ้นเชิง ไม่มีสัญญาณของพลังชีวิตอีกต่อไป กลายเป็นพื้นที่โล่งเตียนที่ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของเลือดและเศษกระดูก
เฉินซีออกเดินทางอีกครั้ง ร่างของเขานั้นพลิ้วไหวทว่าไม่ว่องไวหรือเชื่องช้า ราวกับสายลมบางเบาที่พัดผ่าน ราวกับใบไม้ที่เริงระบำในสายลม ท่าทางของเขาดูอัศจรรย์ยิ่งกว่าเดิม ทำให้ชายหนุ่มดูไม่เหมือนผู้ที่เพิ่งกวาดล้างกลุ่มผู้เยี่ยมยุทธ์ไป
“เขาอยู่ตรงนั้น อย่าปล่อยให้เขาหนีไป!”
“เฉินซี ส่งพัดนกยูงเพลิงคืนมาให้ข้า!” ในที่สุดก็มีผู้คนกรูเข้ามาอีกครั้ง ทว่าแยกออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งคือผู้เยี่ยมยุทธ์อัจฉริยะแห่งราชวงศ์ต้าเสวียนและราชวงศ์ต้าเฉียน ในขณะที่อีกกลุ่มเป็นกองกำลังที่ซวีเหลิ่งเยี่ยส่งมา
มีผู้คนมากมายที่นี่ เสียงที่ดังจนฉีกท้องนภาของพวกเขาแว่วมาจากระยะไกล เห็นได้ชัดว่าผู้เยี่ยมยุทธ์จากราชวงศ์อื่น ๆ กำลังรีบรุดมาจากทุกทิศทุกทาง
บัดนี้ อาจกล่าวได้ว่ามีศัตรูอยู่ทั่วทุกแห่งหน
อย่างไรก็ตาม เฉินซีเพียงแค่เงยหน้าขึ้นมองท้องนภา ภายในสายฟ้าลงทัณฑ์ที่ดังสนั่น เขามองเห็นสายอัสนีที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ปรากฏขึ้นให้เห็นอย่างชัดเจน เหมือนกับวิญญาณแห่งอัสนีที่ถืออาวุธขณะลอยอยู่กลางอากาศ!