บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 485 สังหารกลับ
บทที่ 485 สังหารกลับ
เสียงของเฉินซีนั้นแผ่วเบาและดูสบายอารมณ์ยิ่ง แต่เมื่อมันเข้าหูของทุกคนที่อยู่ตรงนั้น กลับดูจะสั่นสะท้านและบางคนถึงกับไม่อยากจะเชื่อหูตนเอง
“หึ คนผู้นี้คิดเข่นฆ่าพวกเราทั้งหมดเพียงลำพังหรือ? นี่ข้าได้ยินผิดไปหรือมันเสียสติไปแล้ว”
“ฮ่า ๆ! คนผู้นี้ช่างหยิ่งผยองยิ่งนัก นี่มันคิดว่าตัวเองจะอยู่ยงคงกระพัน เพียงเพราะมันสามารถพิชิตทัณฑ์สวรรค์วิหคอมตะแห่งการจุติได้ ไม่ไร้เดียงสาไปหน่อยหรือ ถึงได้กล้ากล่าวเช่นนี้ออกมา?”
“ข้าคิดว่าสมองของมันคงฟั่นเฟือน เพราะถูกสายฟ้าแห่งทัณฑ์สวรรค์ฟาดใส่อย่างไม่รู้จบ!”
ก่อนหน้านี้ ผู้เยี่ยมยุทธ์ทุกคนรู้สึกตกใจเป็นอย่างมากเมื่อเห็นเฉินซีรอดชีวิตจากทัณฑ์สวรรค์ แต่หลังจากได้ยินคำกล่าวเหล่านี้ พวกเขาก็ตกตะลึง จากนั้นสีหน้าของพวกเขาก็กลายเป็นดูถูก เย้ยหยัน โกรธเกรี้ยว และอื่น ๆ อีกมากมาย
พวกเขาเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์อัจฉริยะจากราชวงศ์ต่าง ๆ คนกลุ่มนี้จึงทรงพลัง หยิ่งยโส และมีความภาคภูมิใจ เนื่องจากพวกเขาสามารถเข้าสู่สมรภูมิบรรพกาลเพื่อเข้าร่วมการทดสอบได้ พวกเขาจึงไม่ใช่ผู้ไร้ชื่อเสียงและไม่ใช่คนที่ผู้บ่มเพาะธรรมดาจะสามารถเปรียบเทียบได้
แม้ว่าพวกเขาจะเคยได้ยินมาก่อนว่าเฉินซีเคยสังหารผู้เยี่ยมยุทธ์ไปเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังทำลายประกาศิตเซียนสวรรค์ได้ ทว่าเขาก็มีตัวคนเดียวเท่านั้น ไม่ว่าคนคนนี้จะแข็งแกร่งสักแค่ไหน แต่เขาจะทำสิ่งใดได้อีก?
“น่าสงสารจริง! ไม่ว่าความสามารถจะโดดเด่นเพียงใด เศษสวะจากราชวงศ์ระดับกลางก็ยังเป็นกบในบ่อน้ำที่ไม่รู้จักความยิ่งใหญ่ของจักรวาลอยู่เสมอไป มันช่างน่าขันยิ่งนัก!” ทันใดนั้น ผู้เยี่ยมยุทธ์อัจฉริยะจากราชวงศ์ต้าเสวียนได้ก้าวไปข้างหน้าและจ้องมองไปยังเฉินซีอย่างเย็นชา “เอาล่ะ ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกสักครั้ง จงทิ้งสมบัติทั้งสามชิ้นไว้ซะ แล้วข้าจะไม่ทำให้เจ้าต้องทุกข์ทรมานและได้ตายอย่างรวดเร็ว ข้อเสนอเช่นนี้เป็นอย่างไร? มันมีความปรานีเพียงพอแล้วหรือไม่?”
เมื่อผู้เยี่ยมยุทธ์ที่มาจากราชวงศ์ระดับกลางได้ยินคำพูดของผู้เยี่ยมยุทธ์จากราชวงศ์ต้าเสวียนที่กล่าววาจาดูถูกพวกเขา สีหน้าของคนเหล่านั้นพลันเคร่งขรึมทันที และกำลังจะกล่าวอะไรบางอย่างออกไป แต่เมื่อเห็นรูปลักษณ์ของคนผู้นี้อย่างชัดเจน พวกเขาก็ต้องหุบปากสนิท ใบหน้าของพวกเขาพลันถูกปกคลุมด้วยความหวาดกลัวและดูจะจดจำตัวตนของคนผู้นี้ได้
“ศิษย์พี่เซี่ยงเหิง เหตุใดถึงต้องกล่าววาจาไร้สาระกับเขาตั้งมากมายขนาดนี้ ฆ่าเขาซะ!” มีคนร้องออกมาจากกลุ่มผู้เยี่ยมยุทธ์ของราชวงศ์ต้าเสวียน
“เซี่ยงเหิง? เป็นเขานี่เอง! ผู้เป็นปีศาจในร่างมนุษย์จากราชวงศ์ต้าเสวียน เขาเป็นคนนอกกฎหมายที่มีนิสัยโหดร้ายและเข่นฆ่าผู้คนเป็นผักปลา ทำให้มือของคนคนนี้แปดเปื้อนด้วยเลือดของผู้คนนับไม่ถ้วน ยิ่งไปกว่านั้น ความแข็งแกร่งของเขายังทรงพลังถึงขีดสุด!” ในขณะเดียวกัน ผู้บ่มเพาะบางคนที่ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้ พอได้ยินคำอธิบายก็เกิดความเข้าใจในทันที และจดจำได้ทันทีว่าคนผู้นี้คือใคร
เฉินซีก็ได้ยินการสนทนาของทุกคนเช่นกัน แต่เขาเพียงเหลือบมองไปยังคนที่ชื่อเซี่ยงเหิง จากนั้นจึงส่ายหน้าไปมา และกล่าวคำสี่คำออกมาอย่างแผ่วเบา “ตัวตลกโง่งม!”
“เจ้ากำลังรนหาที่ตาย!” เซี่ยงเหิงตกตะลึงและดูจะไม่เคยคิดมาก่อนว่าเฉินซีจะกล้ากล่าวกับตนเช่นนี้ กลิ่นอายอันทรงพลังในร่างกายของเขาพวยพุ่งขึ้นมาทันที จากนั้นเจ้าตัวจึงฟาดฝ่ามือใส่เฉินซีโดยตรง ฝ่ามือนี้เปี่ยมไปด้วยปราณแท้และเต๋ารู้แจ้ง ซึ่งเพียงพอที่จะบดขยี้เนินเขาให้เป็นจุณ
ทุกคนถอยกลับด้วยความเร็วสูงสุดและไม่กล้ายืนอยู่ที่นี่อีกต่อไป เพราะเมื่อเซี่ยงเหิงคนนี้คลุ้มคลั่ง อีกฝ่ายจะไม่แยะแยะว่าใครเป็นศัตรูหรือสหาย หากได้รับผลกระทบจากการกระทำนี้ ก็คงได้แต่ยอมรับความโชคร้ายของตนเอง
ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปนี้ ทำให้ทุกคนต้องตกใจเป็นอย่างมาก
เฉินซียืนเด่นเป็นสง่าอยู่กลางอากาศโดยไม่หลบหรือหลีกเลี่ยง เขาไม่ได้ขยับแม้แต่น้อยก่อนที่จะฟาดฝ่ามือออกไปเบา ๆ เพื่อปะทะกับฝ่ามือของเซี่ยงเหิง ในระหว่างนี้ ดวงแสงสีแดงเข้มที่ไม่มีใครเทียบได้และมีขนาดใหญ่ราวกับพระอาทิตย์ได้พุ่งออกมาจากฝ่ามือเฉินซี และบดขยี้เข้าใส่เซี่ยงเหิงโดยตรง!
ตู้ม!
พร้อมกับเสียงดังโครมคราม เสียงร้องโหยหวนดังออกมาจากปากของเซี่ยงเหิง ก่อนที่ร่างกายของเขาจะระเบิดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่างรวดเร็ว ทำให้เลือดเนื้อสาดกระเซ็นไปทั่วทุกทิศทุกทาง ปรากฏเป็นภาพที่งดงาม แต่ก็น่าสะพรึงกลัวและน่าสลดใจ
“มันเป็นไปได้อย่างไร? เขาเพิ่งพิชิตทัณฑ์สวรรค์และอยู่ในสภาพอ่อนแอไม่ใช่หรือ? เขาจะมีพลังต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ได้อย่างไร?” ทุกคนล้วนตกตะลึงเมื่อฝ่ามือที่ดูเหมือนจะถูกฟาดออกไปเบา ๆ กลับทำลายผู้เยี่ยมยุทธ์อัจฉริยะของราชวงศ์ระดับสูงได้ ช่างร้ายกาจและน่าสะพรึงกลัวเสียจริง!
“ข้าจะเป็นกบในบ่อน้ำหรือไม่นั้นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าตัดสินใจได้ แต่ข้าแน่ใจว่าเจ้าตาบอดและดูถูกทุกคนอย่างแน่นอน” เฉินซีกล่าวอย่างเฉยเมยก่อนจะหันไปกวาดสายตามองคนอื่น ๆ
“เจ้า…” ทุกคนต่างตกใจและหวาดกลัวมาก เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้? โดยปกติแล้ว ใครก็ตามที่เพิ่งพิชิตทัณฑ์สวรรค์แห่งการจุติจะอ่อนแอเหมือนคนธรรมดาทั่วไปและสามารถถูกบดขยี้ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งนี่เป็นความรู้ทั่วไปที่ทราบกันดี แต่ดูเหมือนมันจะพลิกกลับเป็นตาลปัตร เฉินซีไม่เพียงแค่ไม่อ่อนแอเท่านั้น ความแข็งแกร่งของเขายังทรงพลังยิ่งขึ้น!
ตู้ม!
สมบัติเรืองแสงที่ไร้ขอบเขตพวยพุ่งขึ้นและโหมกระหน่ำลงไปที่เฉินซี
ในขณะนี้ ทุกคนไม่ลังเลที่จะเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย พวกเขาได้เปลี่ยนรูปแบบจากการโจมตีเป็นการป้องกัน ก่อนจะถอยกลับอย่างรวดเร็ว เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ทำให้พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องยอมรับว่าเฉินซีบรรลุสู่ขอบเขตจุติได้สำเร็จแล้ว และอีกนัยหนึ่งคือพวกเขาไม่มีโอกาสที่จะฆ่าชายหนุ่มได้อีกต่อไป
เพราะแม้ว่าขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์จะอยู่ห่างจากขอบเขตจุติเพียงขอบเขตเดียว แต่มันก็เหมือนกับความแตกต่างระหว่างสวรรค์และโลก ซึ่งแทบจะเทียบกันไม่ได้เลย
ไม่ต้องกล่าวถึงว่าเฉินซีนั้นไม่ใช่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตจุติทั่วไป เขาได้พิชิตทัณฑ์สวรรค์ทั้งการขัดเกลากายาและการบ่มเพาะปราณแท้ แต่เขายังสามารถฆ่าผู้เยี่ยมยุทธ์จำนวนมากก่อนที่จะพิชิตทัณฑ์สวรรค์ได้ แล้วนับประสาอะไรกับตอนนี้อีก?
ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจสิ่งที่เฉินซีกล่าวก่อนหน้านี้ ไม่ใช่ว่าชายหนุ่มโอ้อวดอย่างไร้ยางอาย แต่คนคนนี้มีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะสนับสนุนคำกล่าวเหล่านั้น!
เฉินซีคำรามอย่างเย็นชา ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยแสงสีทองเรืองรอง และวงล้อศักดิ์สิทธิ์ที่ดูเหมือนพระอาทิตย์ได้ลอยขึ้นที่ด้านหลัง จากนั้นมันก็เปล่งแสงสีแดงเข้มที่กว้างใหญ่เพื่อย้อมท้องฟ้าที่สดใส ทำให้ตัวคนดูเหมือนกับเทพเจ้า และการโจมตีที่พุ่งเข้ามาพลันไร้ประโยชน์และสลายหายไปโดยสิ้นเชิง
โอม!
ในเวลาเดียวกัน เขารวบนิ้วเข้าด้วยกันเพื่อสร้างกระบี่ ซึ่งในขณะที่ปลายนิ้วฉีกทะลุท้องฟ้า มันทำให้เกิดแสงสีแดงเข้มพุ่งออกมาและเปลี่ยนเป็นปราณกระบี่ที่พร่างพรายนับไม่ถ้วน ปราณกระบี่ทุกเล่มดูเหมือนวัตถุอุบัติขึ้นมาจริง ๆ มันคมกริบอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ อีกทั้งยังเยือกเย็นเสียดแทงและทำให้รู้สึกกดดัน
ปราณกระบี่เหล่านี้ถูกใช้ด้วยการบ่มเพาะขอบเขตจุติของชายหนุ่ม ซึ่งอาบไปด้วยเต๋ารู้แจ้งและเปี่ยมไปด้วยพลังดาราจักร ทำให้มันเหมือนกับลำแสงจากพระอาทิตย์ที่มีพลังอันน่าสะพรึงกลัว
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
ปราณกระบี่สีแดงเข้มฉีกผ่านท้องฟ้าอย่างต่อเนื่องและปลดปล่อยคลื่นกระแทกที่คมชัดราวกับสัตว์ร้ายกัดที่แก้วหู
ปราณกระบี่พุ่งเข้าใส่ฝูงชนที่กำลังหลบหนีโดยตรง ทำให้เลือดสีแดงสดพุ่งออกมาเป็นน้ำพุเลือดและสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณโดยรอบ ปรากฏเป็นภาพที่งดงามทว่าโหดร้ายดั่งโศกนาฏกรรม เพียงแค่ชั่วพริบตา ผู้เยี่ยมยุทธ์กว่าสิบคนก็ถูกแทงศีรษะทะลุ ใบหน้าของพวกเขายังแสดงถึงความไม่เต็มใจและความหวาดกลัวก่อนที่จะเสียชีวิต
ซึ่งนับจากนี้เป็นต้นไป เฉินซีได้เปิดฉากโต้กลับอย่างแท้จริง!
ภายในป่าบนภูเขาที่แห้งแล้งและสูงตระหง่าน เสียงของการต่อสู้สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งสวรรค์และโลก จนกลิ่นเลือดโชยเข้าจมูก และเสียงร้องโหยหวนที่น่าอนาถมากมายก็ดังออกมาบ่อยครั้ง ร่างของเฉินซีเป็นเหมือนลำแสงที่เคลื่อนผ่านป่าภูเขา และด้วยปีกนภาดารกะที่อยู่ด้านหลัง เขาจึงสามารถปรากฏตัวต่อหน้าศัตรูราวกับว่าได้เคลื่อนย้ายมิติมา จากนั้นจึงฟาดฝ่ามือออกไป ทำให้ปลิดชีวิตของศัตรูคนหนึ่งลงอย่างง่ายดาย ทั้งรวดเร็ว ไร้ความปรานี และปราศจากความเมตตา
ในขณะเดียวกัน ความรู้สึกเย็นชา ไร้อารมณ์ และเฉยเมยของเขาก็ไม่ได้สั่นคลอนเลยแม้แต่น้อย และชายหนุ่มก็เป็นดั่งเทพแห่งความตายที่ผุดขึ้นมาจากขุมนรก พร้อมกับภารกิจในการเก็บเกี่ยวชีวิตของเหล่าคนบาป
เนื่องจากคนเหล่านี้มาเพื่อฆ่าหรือแย่งชิงสมบัติที่เขาครอบครองอยู่ เฉินซีจึงไม่แสดงความเมตตาใด ๆ เขาสังหารศัตรูด้วยเคล็ดวิชาต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดและพลังอิทธิฤทธิ์ที่เขาเชี่ยวชาญตลอดทาง รวมถึงบดขยี้ทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าโดยไม่มีการต่อต้านเลยแม้แต่น้อย
ชั่วขณะหนึ่ง ทำให้สถานที่นี้ดูจะกลายเป็นขุมนรก เสียงร้องคร่ำครวญดังก้องไปทั่วทุกหนทุกแห่ง เนื่องจากผู้คนที่หลบหนีเอาชีวิตรอดล้วนตระหนักได้เป็นอย่างดีว่า ไม่ว่าพวกเขาจะรวมพลังกันอย่างไร พวกเขาก็ไม่สามารถต้านทานเฉินซีได้
“เกิดอะไรขึ้น?” กลุ่มผู้เยี่ยมยุทธ์อัจฉริยะพุ่งเข้ามาจากระยะไกล พวกเขามาจากราชวงศ์อื่น ซึ่งได้ยินมาว่าเฉินซีได้รับบาดเจ็บสาหัสและใกล้จะตายแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงตั้งใจจะมีส่วนร่วมในการแย่งสมบัติที่เฉินซีครอบครองอยู่ แต่เนื่องจากพวกเขาทราบข่าวช้า จึงต้องเร่งรุดมาถึงที่นี่ และเพิ่งมาถึงที่นี่ จึงเพิ่งได้เห็นเหตุการณ์ดังกล่าว!
ตู้ม!!
ดวงตาของเฉินซีเย็นยะเยือกในขณะที่เขาโบกพัดนกยูงเพลิง ทำให้เกิดเปลวเพลิงที่เหมือนหินหลอมเหลวที่ลุกโชนและกลายเป็นคลื่นเพลิงที่พลุ่งพล่านปกคลุมไปทั่วทั้งฟ้าดิน ทำให้กลุ่มผู้เยี่ยมยุทธ์ถูกไฟคลอกตายในทันที ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวน คนทั้งหมดถูกเผาเป็นเถ้าถ่านและหายไปชั่วนิรันดร์
หลังจากลงมือเสร็จแล้ว เฉินซีไม่แม้แต่จะเหลือบมอง ก่อนจะทะยานออกไปอีกครั้ง
เขาเป็นเหมือนเทพปีศาจที่กระหายเลือด เข้าเข่นฆ่าศัตรูจนเลือดไหลเป็นทางและเหยียบย่ำศพของพวกมันในขณะที่ก้าวไปข้างหน้า ซึ่งไม่มีใครสามารถหยุดเขาได้ และอย่างน้อยในเวลานี้ เขาก็แทบอยู่ยงคงกระพัน
การไล่ล่าเช่นนี้แพร่กระจายไปทั่วทั้งเกาะสมบัติที่ร่วงหล่นอย่างรวดเร็ว ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่หลบหนีเอาชีวิตรอดสามารถพบเห็นได้ทุกหนทุกแห่ง เลือดเนื้อและซากศพกองเกลื่อนกลาดอยู่ทั่วพื้นดิน ทำให้ทั้งเกาะตกอยู่ในความโกลาหลครั้งใหญ่
ด้วยความตั้งใจเดิมที่จะสังหารเฉินซี ราชวงศ์ต่าง ๆ จึงได้ส่งคำสั่งให้ผู้เยี่ยมยุทธ์ ไล่ล่าเขาไปทั่วทั้งเกาะสมบัติที่ร่วงหล่น คนทั้งหมดเคลื่อนตัวเป็นกลุ่มที่ทรงพลัง อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความมั่นใจและความเย่อหยิ่ง เนื่องจากพวกเขารู้สึกว่าการสังหารเฉินซีนั้นง่ายดายราวกับหยิบของออกจากถุงย่าม
แต่ตอนนี้พวกเขากลับตื่นตระหนกอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับสุนัขที่สูญเสียเจ้านายไป และคนทั้งหมดก็วิ่งหนีอย่างอลหม่าน นอกจากจะทำให้คนอื่นรู้สึกตกใจแล้ว รูปลักษณ์ที่น่าสังเวชของคนพวกนั้นยังทำให้คนอื่นไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องถอนหายใจ เพราะการกระทำอันชั่วร้ายของพวกเขาได้ชักนำหายนะครั้งใหญ่มาสู่ตนจนยากจะทานทนได้
การไล่ล่ายังคงดำเนินต่อไป
ในระหว่างทาง เฉินซียังคงถูกผู้เยี่ยมยุทธ์หลายคนที่บรรลุขอบเขตจุติโจมตี แต่พวกเขาทั้งหมดก็ต้องล้มตายด้วยน้ำมือของชายหนุ่มภายในไม่กี่กระบวนท่า
ไม่ใช่ว่าพวกมันไม่แข็งแกร่ง แต่ความแข็งแกร่งของเฉินซีในปัจจุบันนั้นน่าสะพรึงกลัวเกินไป
เมื่อตอนที่เขายังไม่ได้เข้าสู่สมรภูมิบรรพกาล ชายหนุ่มก็มีโอกาสที่จะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตจุติแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น การบ่มเพาะในสระมังกรแปลงและการดูดซับแก่นแท้ต้นกำเนิดมังกรเป็นเวลาเจ็ดวันเจ็ดคืน ได้ทำให้พลังแฝงในร่างกายของเขาถูกควบแน่นจนถึงขีดสุด
หลังจากเข้าสู่สมรภูมิบรรพกาล ชายหนุ่มได้ต่อสู้กับอสูรทะเลที่น่าสะพรึงกลัวมากมายตลอดทางในทะเลบรรพกาล และเขายังขัดเกลาความแข็งแกร่งจนถึงจุดที่แทบไม่มีใครต่อกรได้ แม้แต่คลั่งกระบี่น้อย ไท่ชูฮวาหรง ผู้บรรลุขอบเขตจุติแล้วก็ยังต้องล้มตายด้วยน้ำมือของเฉินซีในท้ายที่สุด และในตอนนั้นเขายังไม่ได้บรรลุสู่ขอบเขตจุติเสียด้วยซ้ำ!
เมื่อตอนนี้เขาได้ประสบกับทัณฑ์สวรรค์ ทำให้ประสบกับความตายและเกิดใหม่ เขาจึงสามารถควบแน่นกงล้อสังสารวัฏและร่างเซียนจุติได้สำเร็จ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังประสบกับสายฟ้าลงทัณฑ์ทั้งสี่ระลอก จากนั้นเขาจึงสามารถสร้างร่างกายขึ้นมาใหม่ในหมู่เมฆทัณฑ์สวรรค์ ทำให้ชายหนุ่มได้บรรลุสู่ขอบเขตจุติโดยสมบูรณ์ ดังนั้นความแข็งแกร่งของเขาจะเพิ่มขึ้นเพียงสองเท่าของก่อนหน้านี้ได้อย่างไร?
สรุปแล้ว เนื่องจากพลังแฝงของเฉินซีนั้นน่าสะพรึงกลัวเกินไป ปรากฏการณ์จากสวรรค์ เช่น ทัณฑ์สวรรค์วิหคอมตะแห่งการจุติที่จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่โลกก่อกำเนิดเท่านั้น จึงปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งเขาสามารถพิชิตมันได้อย่างราบรื่นและมีโอกาสที่จะกลายเป็นสุดยอดฝีมือ!
นับตั้งแต่สมัยโบราณจะมีสุดยอดฝีมือเช่นเขาสักกี่คน?
แน่นอนว่าการกลายเป็นสุดยอดฝีมือนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ทว่าเส้นทางนี้กลับเต็มไปด้วยภยันตรายมากมาย แต่เมื่อสามารถกลายเป็นสุดยอดฝีมือแล้ว ก็จะมีพลังที่สามารถต่อกรกับทวยเทพและยังสามารถดูแคลนไปทั้งสามภพ ซึ่งนี่คือสุดยอดฝีมือที่แท้จริง!
แต่จากสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ มันยังห่างไกลสำหรับเฉินซี ถึงกระนั้น เขาก็มีพลังแฝงดังกล่าวแล้ว ตราบใดที่ชายหนุ่มยังคงเดินหน้าต่อไปและมีชีวิตรอดอยู่บนเส้นทางสู่มหาเต๋า เขาจะกลายเป็นสุดยอดฝีมือในอนาคตอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้น เหล่าทวยเทพทั้งสามภพจะต้องสั่นสะเทือน!