บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 500 ที่หนึ่ง
บทที่ 500 ที่หนึ่ง
เฟิงเจี้ยนไป๋ หลี่เซียวอวิ๋น สวี่ลั่ว
ชื่อที่ดูเรียบง่าย ทว่าเป็นชื่อผู้ครอบครองเมืองบรรพกาลทั้งสาม นับตั้งแต่เมืองบรรพกาลเปิดออกจนถึงตอนนี้ เวลาก็ผ่านไปกว่าครึ่งปีแล้ว แต่ทั้งสามชื่อนี้ก็ยังคงอยู่
ซึ่งมันไม่ใช่แค่สัญลักษณ์แห่งเกียรติยศ แต่ยังเป็นเครื่องหมายแสดงถึงความแข็งแกร่งเหนือชั้นด้วย
ทว่าตอนนี้มีม้ามืดจากราชวงศ์ระดับกลางรุดหน้าขึ้นมาคว้าตำแหน่งที่สี่เอาไว้ได้ แต่มันก็ยังไม่หยุดเท่านั้น ซ้ำยังมีแรงมุ่งหน้าต่อ ยังคงรุดหน้าขึ้นไปเรื่อย ๆ หมายจะเขย่าบัลลังก์ของสามอันดับแรก…
ทำให้ทุกคนตื่นเต้น ประหม่า กระวนกระวาย และตั้งตารอดู พวกเขารู้ชัดว่าหากเฉินซีรุดหน้าขึ้นอีกจะเป็นที่ร่ำลือกันแค่ไหน
หลายคนในตอนนี้กำหมัดแน่น เลือดในกายใกล้จะเดือดพล่าน รู้สึกตั้งตารอเป็นอย่างมาก!
…
“น่าสนใจ ดูท่าเฉินซีจะมีของดั่งที่ข่าวลือว่า หลังจากเอาชนะทัณฑ์สวรรค์วิหคอมตะแห่งการจุติก็ได้อะไรกลับมามาก ไม่เช่นนั้น เขาคงไม่อาจใช้เพียงพละกำลังตนประสบความสำเร็จได้ขนาดนี้” มีเงาร่างสองร่างพลันปรากฏขึ้นบนหอคอยที่ตั้งอยู่ไกลลิบจากศิลาจารึกวิญญาณแห่งการต่อสู้ของจักรพรรดิสงคราม คนที่พูดคือชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาในชุดเต๋าสีเหลืองเหมือนผลซิ่ง มีคิ้วเฉียงขึ้น และนัยน์ตากระจ่าง
หากคนอื่นอยู่ด้วย ก็คงจำได้ว่าคนพวกนี้คือหนึ่งในอัจฉริยะจากสามราชวงศ์ระดับสูงสุด สวี่ลั่วแห่งราชวงศ์ต้าโจวนั่นเอง
“มีของอย่างนั้นหรือ? ข้าไม่คิดเช่นนั้น” คนข้างกายสวี่ลั่วส่ายหน้า เขาสวมชุดสีน้ำเงินอ่อนดูธรรมดา ตัวใหญ่แต่ผ้าดูเนื้อบาง มัดผมเป็นมวยง่าย ๆ แต่ทั่วทั้งร่างกลับให้ความรู้สึกสะอาดและดูองอาจยิ่งนัก เหมือนเป็นเมฆเดี่ยวลอยเด่นอยู่บนยอดเขา เป็นสนบนหน้าผา ดูไว้ตัวและสง่างาม ส่วนท่วงท่านั้นไม่ด้อยกว่าสวี่ลั่วเลยสักนิด
คนพวกนี้คือหลี่เซียวอวิ๋น ยอดฝีมือจากราชวงศ์ต้าถัง
“อ้อ?” สวี่ลั่วเลิกคิ้วขึ้นมองหลี่เซียวอวิ๋นแล้วถามว่า “เช่นนั้นตามที่เจ้าว่ามา เด็กคนนี้ใช้พลังบ่มเพาะขอบเขตจุติขั้นต้นในการรุดหน้าเข้าไปเป็นที่สี่อย่างนั้นหรือ?”
“ไม่มีใครสามารถมุ่งสู่ห้าอันดับแรกจากการพึ่งเพียงพละกำลังของตนเองคนเดียวได้หรอก เจ้ากับข้าก็เช่นกัน” หลี่เซียวอวิ๋นยิ้ม จากนั้นว่าต่อ “ตอนที่ข้ารู้ว่าเด็กคนนี้ทำลายประกาศิตเซียนสวรรค์ ข้าก็เริ่มสนใจเขา รวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวกับเขามา ถึงได้สังเกตเห็นว่ากระทั่งราชวงศ์ระดับกลางก็ยังมียอดอัจฉริยะที่แท้จริงแฝงตัวอยู่”
“ยอดอัจฉริยะที่แท้จริงหรือ…” สวี่ลั่วพูดซ้ำคำ เขารู้ว่าคนที่หลี่เซียวอวิ๋นเรียกว่าเป็นยอดอัจฉริยะมีน้อยคนจนนับนิ้วได้ ในเมื่ออีกฝ่ายประเมินเฉินซีไว้เช่นนั้น สวี่ลั่วจึงรู้สึกประหลาดใจ อดถามขึ้นมาไม่ได้ว่า “ฝีมือเขาสูงส่งขนาดนั้นเลยหรือ?”
“เจ้านี่ เมื่อไรเจ้าจะเลิกมองแต่คนจากราชวงศ์ระดับสูงสุดของเรากัน? หงส์เพลิงทองคำก็อาจบินออกมาจากรังในหุบผาก็เป็นได้” หลี่เซียวอวิ๋นยิ้มพลางกล่าวล้อ จากนั้นจึงหุบยิ้มลง จ้องมองร่างสูงที่อยู่ไกล ๆ แล้วเอ่ยเสียงจริงจัง “จะพูดเรื่องประสบการณ์ของเด็กคนนี้ก็คงจะซับซ้อนไป จำไว้ว่าเด็กคนนี้มีความสามารถไม่ด้อยไปกว่าเฟิงเจี้ยนไป๋ก็พอ!”
“เฟิงเจี้ยนไป๋!” ไม่ว่าสวี่ลั่วจะมีความสุขุมแค่ไหน ก็อดหรี่ตาลงเล็กน้อยไม่ได้ ร่องรอยความกลัวเบาบางวาบผ่านในดวงตาเมื่อได้ยินชื่อนั้น
แต่เขาตกใจมากกว่าที่หลี่เซียวอวิ๋นนำเฉินซีไปเทียบกับเฟิงเจี้ยนไป๋ แทบไม่อยากเชื่อสองหูตนเองด้วยซ้ำ
เฟิงเจี้ยนไป๋ เป็นศิษย์ตระกูลเฟิงแห่งแคว้นอวิ๋นคง เขามีพลังบ่มเพาะขอบเขตจุติระดับที่หกเกิดมาพร้อมกับเนตรวิญญาณที่สามารถมองวิชาต่าง ๆ ออก และคาดเดากระบวนท่าของศัตรูได้ เว้นเสียแต่ว่าอีกฝ่ายจะมีฝีมือโดดเด่นกว่าถึงจะดูไม่ออก ไม่เช่นนั้นเขาก็สามารถเอาชนะได้โดยง่าย ดังนั้นจึงนับเป็นตัวตนที่น่ากลัวอีกคนหนึ่ง
ความสามารถของเฉินซีไม่ได้ด้อยไปกว่าเฟิงเจี้ยนไป๋อย่างนั้นหรือ? ก็หมายความว่า… กระทั่งตัวข้าและหลี่เซียวอวิ๋นก็ยังอาจเทียบคนผู้นั้นไม่ได้เลยหรือ?
“ฟังนะ เขาเหนือกว่าเจ้าแล้ว” เป็นจังหวะนั้นเองที่หลี่เซียวอวิ๋นยกมือขึ้นชี้ศิลาจารึกวิญญาณแห่งการต่อสู้ของจักรพรรดิสงครามที่ตั้งอยู่ไกล ก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย
สวี่ลั่วตกตะลึง แต่ก็ดึงสติกลับมาได้ทันที ก่อนจะมองไปยังจารึกนั่น เขาหรี่ตาลง สีหน้าพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย
…
“เขาเหนือกว่าอันดับสามแล้วหรือ!”
“สวรรค์โปรด!”
“นี่มัน…เรื่องจริงหรือนี่!”
บรรยากาศเบื้องหน้าศิลาจารึกที่เคยเงียบสงบพลันถูกทำลาย ทุกคนอดร้องตกใจขึ้นมาไม่ได้เมื่อเริ่มเห็นว่ามีชื่อใหม่พุ่งเข้ามาในสามอันดับแรกที่สลักไว้บนผิวศิลา ล้วนมีสีหน้าตื่นตกใจจนไม่อาจปิดบังอารมณ์ได้
ผู้เยี่ยมยุทธ์จากราชวงศ์ต้าโจว สวี่ลั่ว ผู้ไม่เคยมีใครสะเทือนตำแหน่งได้มานาน กลับถูกเฉินซีบีบให้ร่วงลงจากอันดับสาม!
ทุกคนมองภาพนั้นอย่างไม่อยากเชื่อ เห็นได้ชัดว่านึกไม่ถึงว่าชายหนุ่มจากราชวงศ์ระดับกลางจะสามารถเข้ามาทำลายอันดับที่เคยมั่นคง แล้วรุกขึ้นมาอยู่ในสามอันดับแรกได้ เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ฟึ่บ!
ฟึ่บ!
ทว่าก่อนที่ทุกคนจะหายตกใจ ชื่อของเฉินซีบนศิลาจารึกก็พลันสว่างวาบขึ้นเป็นแสงสีทอง ในชั่วพริบตาเดียวก็รุดหน้าขึ้นแซงอันดับสอง หลี่เซียวอวิ๋น และผลักเฟิงเจี้ยนไป๋ที่อยู่อันดับหนึ่งให้ร่วงลงมา
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ความเร็วที่ชื่อของเขาพุ่งสู่อันดับสูงขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นพอทุกคนเงยหน้าขึ้นมองอีกที ชื่อเฉินซีก็ไปปรากฏอยู่อันดับแรกแล้ว!
บรรยากาศพลันเงียบสนิทเมื่อทุกคนเห็นภาพนี้ สีหน้าพลันเครียดขึง สติอื้ออึงไปหมด จากนั้นลมหายใจก็พลันถี่แรงขึ้น
“อันดับแรก! เฉินซี!” ผ่านไปไม่รู้เท่าไร น้ำเสียงแหบห้าวก็ดังขึ้นทำลายความเงียบ ทำให้หัวใจของทุกคนบีบตัวอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นทุกคนก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“ปาฏิหาริย์! นี่มันปาฏิหาริย์จริง ๆ!”
“กระทั่งหลี่เซียวอวิ๋นกับเฟิงเจี้ยนไป๋ยังไม่อาจหยุดยั้งเฉินซีได้ นี่เขาอยู่ขอบเขตจุติขั้นต้นจริงหรือ?”
“ราชวงศ์ซ่งมีวิชาอะไรถึงได้มียอดอัจฉริยะเช่นนี้ได้ น่าอิจฉาจริงเชียว”
เสียงอึกทึกครึกโครมดังขึ้นทั่วทุกมุม สั่นสะเทือนไปทั่วทุกทิศ หลังจากได้เห็นเฉินซีรุดหน้าขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งด้วยสองตาแล้ว ผู้บ่มเพาะทั้งหมดก็เผยสีหน้าตกตะลึงระคนตื่นเต้น
พวกเขารู้ดีว่าประวัติศาสตร์เมืองบรรพกาลคงถึงกาลเปลี่ยนผัน อันดับหนึ่งไม่ใช่อันดับที่มีแต่คนจากตระกูลอันทรงเกียรติและราชวงศ์ระดับสูงสุดเท่านั้นที่จะสามารถครองไว้ได้ คนจากราชวงศ์ระดับกลางก็มีความสามารถเช่นเดียวกัน!
สีหน้าเย็นยะเยือกของเซวียหรานเฉินเต็มไปด้วยความตกตะลึงและความพ่ายแพ้ ชื่อ ‘เฉินซี’ ตอกย้ำลงมาจนเขาหายใจไม่ทัน หากอีกฝ่ายแค่พุ่งขึ้นมาอยู่อันดับที่สี่ ถึงเขาจะรู้สึกหวาดกลัว แต่ก็คงไม่รู้สึกเหมือนตอนนี้ น่าเสียดายที่ผลลัพธ์สุดท้ายออกมาคือ เฉินซีไม่เพียงหยุดอยู่อันดับที่สี่ แต่กลับพุ่งมาเป็นอันดับที่หนึ่ง!
เซวียหรานเฉินไม่ใช่คนโง่ รู้ดีว่าอันดับเหล่านี้หมายความว่าอย่างไร ฉะนั้นนอกจากความรู้สึกพ่ายแพ้แล้ว เขาก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจแต่อย่างใด เพราะเฟิงเจี้ยนไป๋ หลี่เซียวอวิ๋น และสวี่ลั่ว เจ้าเหนือหัวทั้งสามล้วนถูกเฉินซีโค่นไปได้ทั้งหมด จึงไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องแค้นใจ
“ไม่คาดคิดเลย ไม่คิดเลยจริง ๆ…” ดวงตากระจ่างของซูชิงเยียนเป็นประกาย ขณะมองร่างสูงด้วยนัยน์ตางดงามเป็นพิเศษ ไม่ใช่พระนางสนใจเฉินซีหรอก แต่เป็นเพราะความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นในความแข็งแกร่งที่เฉินซีเปิดเผยออกมานั่นเอง
“ไปเสีย รายงานทุกรายละเอียดที่เกิดขึ้นให้นายน้อยฟัง!” ซางเชวี่ยสูดลมหายใจเข้าลึก กดความรู้สึกตกตะลึงที่อยู่ภายในเอาไว้ แล้วหันไปออกคำสั่ง
“ขอรับ!” ในขณะเดียวกันนั้น คนตระกูลซางก็เลิกล้มความคิดในการสู้กับเฉินซีไป และน้อมรับคำสั่งโดยไม่ลังเล
“ดูท่าคำทำนายของนายน้อยจะถูกต้องจริง ๆ สหายเฉินซีผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดาที่เราสามารถเทียบด้วยได้…” ซางเชวี่ยลูบหน้าที่ค่อนข้างเกร็งเล็กน้อยของตน รู้สึกโชคดีอยู่ที่ก่อนหน้านี้ไม่หุนหันลงมือ
“ไปกันเถอะ” หลี่เซียวอวิ๋นเหลือบมองเฉินซีที่อยู่ไกล ๆ นิ่ง จากนั้นก็หันร่างกลับและเดินจากไปโดยไม่ลังเล
“จะจากไปทั้งอย่างนี้น่ะหรือ?” สวี่ลั่วส่ายหน้า พยายามคุมอารมณ์ตนเองให้สงบ แล้วถามขึ้นด้วยน้ำเสียงประหลาดใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายตัดสินใจจากไปเช่นนั้น
“แล้วเจ้าจะอยู่ทำอะไรเล่า? หรือเจ้าอยากไปผูกมิตรกับเฉินซี?” หลี่เซียวอวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ “อย่าไปให้ความสำคัญกับเรื่องอันดับมากนักเลย มันมีไว้ก็แค่ให้ทูตแดนภวังค์ทมิฬเห็นเท่านั้น สำหรับเราแล้ว มีแต่การต่อสู้ที่แท้จริงเท่านั้นถึงจะสามารถตัดสินระดับความแข็งแกร่งได้ แม้ว่าศิลาจารึกจะน่าสะพรึงกลัวแค่ไหน แต่ก็แค่ในระดับหนึ่งเท่านั้น เพราะอย่างไรความแข็งแกร่งระหว่างการต่อสู้ก็เป็นอะไรที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเลยไม่ใช่หรือ?”
“พี่หลี่พูดถูก ข้าเพียงแต่ยึดมั่นในหลักการเกินไป ทำให้ถูกมารในจิตใจครอบงำ” สวี่ลั่วครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้ากับตนเอง เดินตามหลังหลี่เซียวอวิ๋นจากไป
“เฉินซี ยินดีด้วย”
“เยี่ยมไปเลย นับว่าเจ้าสร้างปาฏิหาริย์โดยแท้ อีกทั้งยังเป็นปาฏิหาริย์ที่น่าเหลือเชื่ออีกต่างหาก”
“อันดับแรก! เฉินซี ต่อไปก็อย่าได้ทำตัวแปลกแยกเล่า? ไม่เช่นนั้นแรงกดดันที่พวกเราต้องเผชิญเวลาติดตามข้างกายเจ้าคงหนักหนายิ่งนัก”
ขณะเดียวกันนั้น หวงฝู่ฉิงอิง หลิงเจ๋อ นายน้อยโจว และคนอื่น ๆ ก็เดินตามกันเข้ามา พวกเขาล้วนแย้มยิ้มแสดงความยินดีแก่เฉินซีที่เดินออกมาจากศิลาจารึก
ทุกคน ณ ตรงนั้นต่างตกตะลึงไปอีกครั้งเมื่อเห็นภาพนี้ เพราะเพิ่งจะรู้ว่าหวงฝู่ฉิงอิงและคนอื่น ๆ ก็ล้วนมาจากราชวงศ์เดียวกันกับเฉินซี ซึ่งก็คือราชวงศ์ซ่ง!
ในฐานะราชวงศ์ระดับกลาง คนกลุ่มนี้มีสมาชิกห้าคน ติดยี่สิบอันดับแรกในศิลาจารึกวิญญาณแห่งการต่อสู้ของจักรพรรดิสงคราม ทั้งยังมีหนึ่งในนั้นได้อันดับแรกมาครอง กลุ่มที่มีความแข็งแกร่งเช่นนี้น่ากลัวไม่น้อยเลยทีเดียว
“หรือรอบนี้จะเป็นจังหวะโชคของราชวงศ์ซ่งกัน? เหตุใดจึงมีผู้เลิศล้ำมากมายปรากฏขึ้นในราชวงศ์นั่นขนาดนี้เนี่ย?” ทุกคนมองภาพนั้นด้วยความตกใจ ล้วนมีความคิดนี้อยู่ในหัวทั้งสิ้น
“ที่หนึ่งหรือ…” หลังจากเอ่ยทักทายหวงฝู่ฉิงอิงและคนอื่น ๆ ด้วยรอยยิ้มแล้ว เฉินซีก็มองไปยังอันดับแรกบนศิลาจารึกวิญญาณแห่งการต่อสู้ของจักรพรรดิสงคราม ในใจอดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้ จากนั้นก็กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง
เขาไม่เคยคิดว่าตนเองจะสามารถอยู่เหนือกว่าทุกคนในเมืองบรรพกาลหลังจากได้อันดับหนึ่งมาครองเช่นนี้ ด้วยรู้ดีว่านี่เป็นเพียงการแสดงความแข็งแรงและความสามารถของตนเองเท่านั้น ไม่ได้พิสูจน์สิ่งใด อีกทั้งมันยังแตกต่างจากการต่อสู้จริงอย่างสิ้นเชิง